“มันก็เป็นเรื่องธรรมดาของตลาดหุ้นแหละครับลุงเหมิง… ใคร ๆ ก็รู้ว่าการลงทุนโดยเฉพาะในตลาดหุ้นเนี่ยมันต้องพบกับความเสี่ยงอยู่แล้ว ยิ่งถ้าต้องเจอกับหุ้นตัวไหนที่มีความเสี่ยงสูง ผลกำไรหรือขาดทุนที่ตามมามันก็สูงด้วยเช่นกัน จริงมั้ยล่ะครับ ? อีกอย่าง… มันก็ไม่ได้มีใครไปบังคับคับให้นักลงทุนเอาเงินมาลงทุนด้วยซักหน่อย คนพวกนี้เขามาลงทุนกันด้วยความสมัครใจทั้งนั้น สุดท้ายแล้วจะได้หรือว่าจะเสียมันก็ขึ้นอยู่กับพวกเขาเองนั่นแหละ
ก่อนที่ผมจะมีทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนอย่างในวันนี้ได้ ผมเองก็ต้องผ่านเรื่องต่าง ๆ มาเยอะเหมือนกัน มีทั้งเรื่องดีแล้วก็เรื่องไม่ดี อย่างว่าแหละนะลุงทุกคนบนโลกต่างก็ต้องการที่จะแสวงหาความมั่งคั่ง ความเป็นอยู่ที่สุขสบายขึ้นกันทั้งนั้น ถ้าเลือกได้… มีเหรอที่คนเราจะเลือกอยู่อย่างลำบาก ?
เรื่องในตลาดหุ้นน่ะมันก็เป็นเรื่องของผลประโยชน์ด้วยกันทั้งนั้น พายุที่พัดผ่านเข้ามาในตลาดหุ้นครั้งนี้ มันทำให้คนหลายคนต้องสูญเสียและเจ็บไปตาม ๆ กัน เฮ้อ… แค่คนเห็นแก่ตัวเพียงไม่กี่คนเองนะลุง คนที่ไม่รู้เรื่องด้วยก็เลยต้องมาเดือดร้อนไปด้วยแบบนี้” เย่เชียนร่าย
“หลานเย่นี่คิดถึงส่วนรวมเสมอเลยสินะ ยอดเยี่ยมไปเลย!” เหมิงฉางเต๋อชมเย่เชียนจากใจจริง จากนั้นก็หันหน้าไปคุยกับอู๋จื้อปิง “แล้วนายกอู๋ล่ะ ? คุณมีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไงมั่ง ?”
“ส่วนตัวแล้วผมคิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดในตลาดหุ้นนั้นเป็นการรวมหัวกันของซูเจี้ยนจุนกับจู้ซาน พวกเขาทั้งสองคนพยายามที่จะโจมตีคุณเย่เพื่อครอบครองส่วนแบ่งทางการตลาดที่มากขึ้นหลังจากที่ท่านประธานเฉินจากไป แต่น่าแปลกที่ขนาดว่าพวกเขาทำสำเร็จจนได้ครอบครองส่วนแบ่งทางธุรกิจมากขึ้นแท้ ๆ แต่เงินภาษีที่พวกเขาจ่ายคืนให้กับรัฐบาลนั้นมันกลับน้อยกว่าที่ควรจะเป็นมากเลยครับ” อู๋จื้อปิงพูดออกไปตามตรง
เหมิงฉางเต๋อขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งที่อู๋จื้อปิงพูด “อ้าว ?! แต่ทางรัฐบาลน่ะมีนโยบายในการสนับสนุนการแข่งขันทางธุรกิจให้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายไม่ใช่เหรอ ? ในเมื่อเรื่องนี้มันส่งผลกระทบต่อสาธารณะชนด้วย แบบนี้ทางเราควรเข้าไปจัดการดีหรือเปล่า ?”
“คือเอาจริง ๆ แล้วนะครับ… การปั่นราคาในตลาดหุ้นเนี่ยมันก็เป็นการละเมิดหลักการของตลาดกลางนะครับ แต่หากทางเราต้องการที่จะเข้าไปแทรกแซง ผมว่ามันก็จะเป็นเรื่องที่ทำได้ยากอยู่ เพราะการแข่งขันกันในตลาดหุ้นนั้นมันก็ยังอยู่ในขอบเขตของกฎหมายและเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ ผมว่าวิธีการที่ดีที่สุดที่ทางเราสามารถทำได้ในตอนนี้ก็คือ การเจรจาไกล่เกลี่ยครับ” อู๋จื้อปิงพูด
เหมิงฉางเต๋อได้ฟังก็พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นเขาก็หันไปมองเย่เชียนแล้วถามว่า “แล้วหลานเย่ล่ะว่ายังไง ?”
“สำหรับเรื่องนี้ผมเองก็คิด ๆ ไว้อยู่เหมือนกันครับ แต่ทางบริษัทของผมเองก็ได้มีการวางแผนในการรับมือแล้วเช่นกัน” เย่เชียนตอบด้วยรอยยิ้ม
“ดูท่า… หลานเย่จะมั่นใจในแผนการในครั้งนี้มากสินะ” เหมิงฉางเต๋อพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจ
ทางด้านของอู๋จื้อปิงเองก็รู้สึกประหลาดใจไม่แพ้เหมิงฉางเต๋อเช่นกัน เขาคิดว่าเด็กหนุ่งคนนี้นั้นไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ นี่ขนาดเขาต้องมานั่งคุยกันอย่างซึ่ง ๆ หน้ากับท่านผู้ว่าการมลฑลขนาดนี้แล้ว แต่เขาก็ยังคงนิ่งได้อยู่
“พูดตรง ๆ นะลุงเหมิง จริง ๆ แล้วผมน่ะไม่ได้มีความรู้อะไรเกี่ยวกับตลาดหุ้นเลย แต่ผมโชคดีที่ผมมีเพื่อนพี่น้องที่คอยช่วยเหลือและสนับสนุนผมอยู่ อะไร ๆ มันก็เลยง่ายขึ้นเยอะ ผมก็เลยฝากให้พวกเขาช่วยจัดการเรื่องต่าง ๆ ให้น่ะ เพราะผมเชื่อว่าพวกเขาจะไม่ทำให้ผมผิดหวังและตัวผมเองก็จะไม่ทำให้พวกเขาผิดหวังด้วยเช่นกัน” เย่เชียนพูดอย่างภาคภูมิใจ
“ที่หลานเย่ทำแบบนั้นมันก็ถูกแล้วล่ะ เพราะการที่เราได้มีโอกาสขึ้นมาเป็นเจ้าคนนายคนนั้น เราต้องรู้จักวางคนให้ถูกกับงาน แล้วอะไร ๆ มันก็จะง่ายขึ้น” เหมิงฉางเต๋อเห็นด้วย
“ลุงเหมิงครับ ผมอยากให้ลุงเชื่อใจผมนะ ลุงมั่นใจได้เลยว่าภายในหนึ่งอาทิตย์นี้เรื่องที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นมันจะกลับมาเป็นปกติ แต่มันจะไม่เหมือนเดิมหรอกนะครับ เพราะมันจะดียิ่งกว่าเดิมเสียอีก! ผมกล้ารับปากกับลุงได้เลย” เย่เชียนพูดอย่างมั่นใจ เขาเชื่อใจในความสามารถของซ่งหลันร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเธอนั้นจะสามารถจัดการกับเรื่องทุกอย่างให้เสร็จสิ้นได้ในเร็ววัน
“ถ้าเป็นอย่างที่หลานพูดมันก็ยอดเยี่ยมไปเลย! ฉันจะรอดูวันนั้นนะ เพราะสำหรับคนอย่างฉันแล้ว ถ้าเศรษฐกิจของบ้านเมืองเรามันไปได้สวย ผู้คนที่อยู่ที่นี่ก็จะมีชีวิตที่สุขสบายขึ้น และมันก็เป็นสิ่งที่ฉันอยากจะเห็นมากที่สุด” เหมิงฉางเต๋อพูดด้วยแววตาแห่งความหวัง
“แหม… ลุงนี่คิดถึงประชาชนตลอดเวลาเลยสินะครับ คนหนานจิงนี่โชคดีจริง ๆ ที่มีผู้ว่าการดี ๆ แบบลุงเหมิง” เย่เชียนพูด “แต่แค่เรื่องของตลาดหุ้นอย่างเดียวมันคงจะไม่เพียงพอหรอกนะครับ เพราะการที่ชีวิตความเป็นอยู่ของคนหนานจิงจะดีขึ้นได้หรือไม่นั้น มันก็ขึ้นอยู่กับทางภาครัฐด้วย ถ้าทางรัฐบาลมีนโยบายดี ๆ ที่คอยส่งเสริมและขับเคลื่อนเศรษฐกิจบ้านเมืองให้ดำเนินต่อไปข้างหน้า และสามารถปราบปรามธุรกิจใต้ดินและการฉ้อโกงทุจริตต่าง ๆ ได้ ผมก็มั่นใจได้ว่าเศรษฐกิจของเมืองหนานจิงแห่งนี้จะต้องดีขึ้นมากอย่างแน่นอนครับ”
สิ่งที่เย่เชียนพูดออกมานั้นมันสามารถตีความได้สองอย่าง ทั้งด้านที่เขามีความคาดหวังกับทางภาครัฐในการดำเนินกิจการต่าง ๆ กับด้านที่เสียดสีการฉ้อฉลของเจ้าหน้าที่รัฐเอง ซึ่งทั้งเหมิงฉางเต๋อและอู๋จื้อปิงนั้นก็ไม่สามารถมั่นใจได้เลยว่าเย่เชียนจะหมายถึงแบบไหน
เส้นทางการเมืองของเหมิงฉางเต๋อในวัยห้าสิบปีนั้นเหลือเวลาให้ทำอะไรได้อีกไม่มากนัก ถ้าหากว่าเวลาที่เขาเหลืออยู่ เขาไม่สามารถไต่เต้าให้ตัวเองขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่านี้ได้ อาชีพทางการเมืองของเขาก็คงจะจบลงตรงนี้ นับตั้งแต่ที่เหมิงฉางเต๋อถูกย้ายมาที่มลฑลเจียงซูในฐานะผู้ว่าการ เขานั้นก็มักจะมีความกังวลอยู่เสมอว่าเขานั้นจะทำอย่างไรเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและทำให้รายได้รวมหรือจีดีพีของมลฑลเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งถ้าหากเขาทำได้ เขาถึงจะรู้สึกว่าตัวเองนั้นได้ประสบความสำเร็จบนเส้นทางการเมืองของตัวเองเพื่อประชาชนแล้วอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตามการที่จะประสบความสำเร็จได้อย่างที่ใจคิดนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะปัญหาการทุจริตของเจ้าหน้าที่ในมณฑลเจียงซูนั้นเป็นปัญหาใหญ่ปัญหาหนึ่งเลยทีเดียว แม้ว่าท่านผู้ว่าการคนก่อน ๆ ก็ต้องการที่จะแก้ไขปัญหาเดียวกัน แต่ท้ายที่สุดปัญหานี้มันก็ยังคงยืดเยื้อมาจนถึงยุคของเหมิงฉางเต๋อจนได้อยู่ดี ซึ่งบางครั้งมันก็เป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะต้องเลือกและตัดสินใจเช่นกัน ทว่าเขานั้นก็ยังคงมีหลักการของตัวเองในประเด็นสำคัญต่าง ๆ อยู่ อีกทั้งเจ้าหน้าที่หลายคนที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขาก็เริ่มที่จะหันมาให้ความสนกับปัญหานี้กันมากขึ้น ส่วนผลกำไรและผลประโยชน์ต่าง ๆ เพียงเล็กน้อยเหล่านั้น เหมิงฉางเต๋อไม่ได้สนใจเลยเพราะเขาไม่ใช่คนที่ละโมบโลภมาก
“เอาล่ะ… หลานเย่ ฉันขอถามตรง ๆ เถอะนะว่าหลานไปถูกผู้อำนวยการเจียงจับกุมตัวมาได้ยังไง ? มีเรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับโลกใต้ดินรึเปล่า ?” เหมิงฉางเต๋อถามเข้าประเด็น
“ในเมื่อลุงให้เกียรติถามผมตรง ๆ แบบนี้ ผมก็จะพูด แต่ถ้าผมพูดแล้วลุงเหมิงอย่าถือโทษโกรธผมก็แล้วกันนะ” เย่เชียนตอบ
“หลานไม่ต้องกังวลไป… ทุกคนก็มีสิทธิ์ที่จะพูดสิ่งที่คิดออกมาทั้งนั้นแหละ” เหมิงฉางเต๋อพูด
“ที่จริงความสัมพันธ์ระหว่างซูเจี้ยนจุนกับจู้ซานน่ะ ใคร ๆ ก็รู้กันดีอยู่แล้วว่าพวกเขาเป็นพันธมิตรกัน” เย่เชียนเริ่ม “แต่พอผมได้ยินคำพูดบางอย่างของผู้อำนวยการเจียงแล้ว มันก็ยังมีบางสิ่งที่น่าสนใจอยู่ในคำพูดเหล่านั้น”
“ในเมื่อหลานคิดแบบนั้น ทำไมหลานยังยืนยันที่จะเผชิญหน้ากับเขาอยู่ล่ะ ? ไม่กลัวว่าเขาจะกลับมาเอาคืนงั้นเหรอ ?” เหมิงฉางเต๋อถามพลางขมวดคิ้ว
เย่เชียนยิ้มเล็กน้อยก่อนที่จะตอบเหมิงฉางเต๋อไปว่า “กลัวสิ… ผมต้องกลัวอยู่แล้ว เพราะถึงยังไงผมก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่ดีว่าผมน่ะเกิดมาท่ามกลางความยากจน ตั้งแต่ตอนที่ผมยังเป็นเด็ก ผมจำได้ว่าพวกเจ้าหน้าที่หลายคนต่างก็เป็นคนละโมบโลภมาก พวกเขาถึงขนาดมีความกล้าไปยักยอกเงินบรรเทาทุกข์ของคนยากไร้ที่รัฐบาลจัดสรรโครงการให้เลยเชียวนะ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะได้รับการลงโทษตามกฎหมายทีหลังก็เถอะ แต่ชีวิตของคนธรรมดา ๆ อย่างเรามันก็ต้องตกอยู่ในความยากลำบากมากขึ้นไปอีก มันเลยทำให้ตลอดชีวิตของผมนั้นไม่เคยมีความประทับใจที่ดีใด ๆ กับเจ้าหน้าที่ที่ทุจริตเลย ยิ่งไปกว่านั้นมาตอนนี้ผมเองก็ต้องพยายามอย่างหนักเพื่อเปลี่ยนธุรกิจต่าง ๆ ของประธานเฉินที่ทิ้งเอาไว้ให้ผมดูแลให้เป็นไปสู่รูปแบบอย่างเป็นทางการและถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งแน่นอนว่าผลประโยชน์ระหว่างทางนั้นมันก็ช่างล่อตาล่อใจมาก แต่สำหรับผมแล้ว ผมคิดมาเสมอว่าคนเราไม่ควรที่จะเป็นคนโลภ เพราะโลกนี้มันจะน่าอยู่ขึ้นถ้าหากว่าเราช่วยเหลือกัน และคนอย่างผมนั้นถ้าผมทำอะไรที่มันจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้คนได้ ผมก็อยากที่จะทำมัน!”
เมื่อเหมิงฉางเต๋อและอู๋จื้อปิงได้ฟังสิ่งที่เย่เชียนพูดแล้ว พวกเขาก็รู้สึกยกย่องและชื่นชมเด็กหนุ่มคนนี้จากใจจริง เพราะฟังจากน้ำเสียงและท่าทางของเขา มันล้วนเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและความจริงใจ ไม่ได้มีท่าทีของการเสแสร้งหรือเย่อหยิ่งใด ๆ ปนอยู่เลย
“หลานเย่พูดได้ดีมาก! สิ่งที่หลานพูดมาฉันจะเก็บเอาไปคิดต่อและลงมือตรวจสอบกันอย่างรอบคอบแน่นอน ขอให้หลานมั่นใจได้เลยว่าถ้าหลานไม่ได้ทำอะไรผิดจริง ๆ พวกเราก็ยินดีและพร้อมที่จะสนับสนุนอย่างเต็มที่ ลุงเหมิงคนนี้รับปากเลยว่าจะไม่มีใครเข้ามาคุกคามหลานได้!” เหมิงฉางเต๋อพูดอย่างหนักแน่น “แต่ตอนนี้มันก็ใกล้จะค่ำแล้ว หลานคงเหนื่อยมาทั้งวัน เพราะงั้นกลับไปพักผ่อนเถอะ”
พูดจบเหมิงฉางเต๋อก็ลุกขึ้นยืน
เย่เชียนเห็นดังนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน เขายิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ถ้างั้นผมขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะครับ ลุงเหมิงเองก็อย่าหักโหมงานซะจนลืมดูแลตัวเองล่ะ ถึงยังไงสุขภาพต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก ไม่อย่างงั้นจะเอาแรงที่ไหนไปพัฒนาบ้านเมืองจริงมั้ยครับ ? ท่านนายกอู๋ก็เช่นกันนะครับ! ผมต้องขอบคุณท่านทั้งสองมากสำหรับวันนี้”
เมื่อฟังคำพูดเหล่านั้นของเย่เชียนแล้ว เหมิงฉางเต๋อและอู๋จื้อปิงต่างก็รู้สึกชุ่มชื่นในหัวใจ หลังจากมองดูเย่เชียนเดินออกไปแล้ว จู่ ๆ ใบหน้าของเหมิงฉางเต๋อก็มืดมนลง จากนั้นเขาหันไปพูดกับอู๋จื้อปิงว่า “นายกอู๋… คุณช่วยไปเรียกเจียงเจิ้งยี่ให้เข้ามาพบผมที!”
……
แน่นอนว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากที่เย่เชียนแยกตัวออกมาจากเหมิงฉางเต๋อและอู๋จื้อปิงแล้ว เขานั้นไม่ได้รู้เรื่องด้วยเลยแม้แต่น้อย ซึ่งเย่เชียนเองก็ไม่ได้คิดว่าผู้ใหญ่ทั้งสองท่านจะจัดการอะไรกับเจียงเจิ้งยี่ เมื่อคิดเช่นนั้นเขาก็คิดว่าเขาควรที่จะต้องจัดการกับเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
เย่เชียนจึงกดโทรศัพท์หาอู๋หวนเฟิง ซึ่งไม่นานหลังจากนั้นอู๋หวนเฟิงก็ขับรถมาถึงที่สถานีตำรวจ
“บอส! พวกนั้นทำร้ายบอสด้วยเหรอ ?” อู๋หวนเฟิงถามขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจหลังจากที่เขาสังเกตเห็นบากแผลบนใบหน้าของเย่เชียน
“ฮ่า ๆ ๆ เปล่าหรอก แผลพวกนี้มันเป็นฝีมือฉันเองแหละ ว่าแต่ทนายหลู่บอกนายแล้วหรือยัง ? แล้วนายหาที่อยู่ของเธอเจอรึยัง ?” เย่เชียนพูดพลางหัวเราะ
“บอกแล้วบอส… มันอยู่ในโครงการหมู่บ้านวิลล่าคอมเพล็กซ์ที่พัฒนาโดยจู้ซานน่ะ” อู๋หวนเฟิงตอบ
เย่เชียนพยักหน้าและเดินเข้าไปในรถ จากนั้นก็พูดว่า “งั้นไปดูกันเถอะ!”
อู๋หวนเฟิงพยักหน้าและสตาร์ทรถ จากนั้นก็ขับตรงไปยังจุดหมายปลายทาง ซึ่งไม่นานรถก็มาหยุดที่ทางเข้าโครงการที่ป้อมรปภ.ของชุมชน ซึ่งหลังจากที่พวกเขาได้เห็นป้ายทะเบียนรถแล้ว พวกเขาก็อนุญาตให้ขับผ่านเข้าไปอย่างง่ายดาย เพราะมันคือป้ายทะเบียนรถของเฉินฟู่เฉิงผู้ยิ่งใหญ่นั่นเอง
เมื่อมาถึงที่ประตูบ้านพักสามชั้นสุดหรู อู๋หวนเฟิงก็หยุดรถ ส่วนเย่เชียนก็ลดกระจกรถลงมาดูแล้วพูดว่า “นี่เหรอโครงการบ้านหรู ? บ้านหลังนี้มันมีมูลค่าหลายสิบล้านเลยใช่มั้ย ? งั้นเราเข้าไปดูกันเถอะ!”
ทั้งสองลงจากรถแล้วเดินไปที่บ้านทันหลังนั้น ซึ่งทันทีที่พวกเขาเดินไปถึงที่ประตู พวกเขาก็เห็นสุนัขตัวหนึ่งวิ่งเข้ามาเห่าใส่พวกเขา วินาทีถัดมาก็มีหญิงสาวคนหนึ่งวิ่งตามออกมา ดูท่าแล้วเธอน่าจะอายุเพียงแค่ยี่สิบต้น ๆ
“ราชาหมาป่า! อย่าวิ่งสิ! อย่าวิ่ง!” หญิงสาวคนนั้นพยายามตะโกนห้ามสุขนัขของตัวเอง
ชื่อของสุนัขตัวนั้นทำให้เย่เชียนและอู๋หวนเฟิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกตะลึงอย่างมาก!
ทว่าทางด้านของอู๋หวนเฟิงนั้นกำลังขมวดคิ้วแน่นและแววตาของเขาก็ดูเย็นยะเยือกอย่างยิ่ง เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้ เขาก็เห็นว่ามันเป็นสุนัขพันธุ์ทิเบตันมาสทิฟฟ์ ทั้งที่มันเป็นแค่สุนัขตัวหนึ่งแท้ ๆ แต่เธอกลับกล้าเรียกมันว่าราชาหมาป่าได้ยังไง ? อู๋หวนเฟิงคิดว่านี่มันเป็นการดูถูกเย่เชียนและดูถูกเขี้ยวหมาป่าอย่างมหันต์
ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว หญิงสาวคนนั้นจะไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะเธอเพียงแค่เห็นสุนัขพันธุ์ทิเบตันตัวนี้มันดุร้ายยิ่งนัก เธอจึงตั้งชื่อนี้ให้กับมันเพียงเท่านั้น
ทันใดนั้นเองอู๋หวนเฟิงก็วิ่งเข้าไปตะครุบสุนัขตัวนั้นอย่างดุเดือด จากนั้นเขาก็คว้ามีดออกมาแทงเข้าไปที่คอของสุนัขทิเบตันตัวนั้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง ทำให้มันล้มลงกับพื้นและเลือดก็ไหลออกมาจนท่วม…