ในที่สุดเมื่อหวังหูจำเย่เชียนได้แล้ว เย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยจากนั้นก็พูดว่า “นี่..แค่เรียกฉันพี่สองเหมือนแต่ก่อนก็พอแล้ว”
ในช่วงวัยเด็กของพวกเขาหวังหูและเย่เชียนอาศัยอยู่ในเมืองเดียวกันพวกเขาทั้งสองมีความคล้ายคลึงกันตั้งแต่เด็กๆ พวกเขาทั้งสองออกจากโรงเรียนและหวังหูก็ไปติดตามหัวหน้าแก๊งของแก๊งหนึ่งในเมืองแต่หัวโจกคนนั้นไม่เพียงแต่ทำผิดกฏหมายเท่านั้นเขายังชอบทำร้ายร่างกายหวังหูอยู่เป็นประจำ มีอยู่ครั้งหนึ่งเพราะหวังหูขโมยเงินมาให้เขาไม่ได้เขาจึงซ้อมหวังหูจนเลือดตกยางออก เมื่อเย่เชียนเห็นเหตุการณ์นั้นเขาก็ตำหนิหวังหูอย่างดุเดือดว่า “ฉันบอกนายแล้วว่าอย่าไปตามชายคนนั้นและนายก็ไม่เชื่อฉัน! ดูนายตอนนี้สิ! มาเดี๋ยวฉันจะแก้แค้นให้นายเอง”
เมื่อก่อนหวังหูเขาเป็นแค่เด็กอ่อนแอและขี้ขลาดมาก เมื่อเขาได้ยินคำพูดของเย่เชียนเขาก็พูดทันทีว่า “พี่สองอย่างเลย เขามีคนติดตามเขาตั้งเยอะ เราสู้เขาไม่ได้หรอก”
เย่เชียนยิ้มอย่างแน่วแน่พูดว่า “ลูกน้องของเขาอยู่กับเขาตลอดทั้งวันไหมล่ะ? ไม่ต้องกังวลไปสิ่งที่เขาติดค้างนายไว้ฉันจะไปเอาคืนให้เอง”
หลังจากนั้นเย่เชียนก็คอยตามคอยสอดส่องหัวหน้าแก๊งของหวังหูเป็นเวลาหนึ่งวันเต็มๆโดยมองหาโอกาสที่จะแก้แค้นอย่างเยือกเย็น
คืนหนึ่งหัวหน้าแก๊งของหวังหูออกมาจากผับบาร์หลังจากที่ดื่มเหล้าเสร็จเย่เชียนก็พุ่งไปข้างหน้าทันทีและแทงเขาด้วยมีดแปดครั้งแต่ทว่าหัวหน้าแก๊งคนนั้นก็รอดชีวิตออกมาได้แต่นับจากวันนั้นเขาก็ได้ใช้ชีวิตในฐานะคนพิการไปตลอด หลังจากเหตุการณ์นั้นหวังหูก็ติดตามเย่เชียนไปตลอดจนกระทั่งเหตุการณ์ที่เย่เชียนไปช่วยหลี่ฮาวน้องสามของเขาจนเกิดเรื่องใหญ่ที่ต้องทำให้เย่เชียนต้องหนีออกจากประเทศไปจากนั้นเขาก็ไม่ได้เจอเย่เชียนอีกเลย
ตัดภาพกลับมาที่เหตุการณ์ปัจจุบันเมื่อลำลึกถึงเรื่องราวต่างๆได้ หวังหูก็พูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นๆว่า “พี่สอง!” หวังหูกอดเย่เชียนอย่าแน่นแฟ้นเขาไม่สามารถทำอะไรได้มีเพียงน้ำตาที่ไหลออกมา
เย่เชียนยิ้มแล้วตบไหล่ของเขาเบาๆพร้อมพูดว่า “ตอนนี้นายเป็นพี่ใหญ่ของน้องๆของนายแล้ว นายยังร้องไห้อยู่อีกหรือนายไม่กลัวน้องๆจะหัวเราะเยาะนายเหรอ”
“ถ้าพวกเขาอยากจะหัวเราะก็ปล่อยให้พวกเขาหัวเราะไปเถอะตอนนี้ผมไม่สนใจหรอก” หวังหูโอบกอดเย่เชียนอย่างแน่นแฟ้น และไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรทุกคนก็เข้าใจ
อู่หยางเทียนหมิงไม่สามารถช่วยได้ ได้แค่จ้องมองอย่างว่างเปล่าและเขาไม่เคยคิดเลยว่าเย่เชียนจะรู้จักกับหวังหูและยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาทั้งสองก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันจนหน้าเหลือเชื่อ เดิมทีอู่หยางเทียนหมิงต้องการใช้หวังหูเพื่อจัดการเรื่องนี้กับเย่เชียนแต่ทว่าตอนนี้ทุกอย่างกลับกลายเป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการอย่างยิ่งและมันก็คงหนีไม่พ้น ในใจของอู่หยางรู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตามเขาคิดในใจอย่างลับๆว่าเย่เชียนมีความสัมพันธ์กับหัวหน้ามาเฟียของย่านนี้และนอกจากนี้ทักษะการต่อสู้ของเย่เชียนก็ดีมากเช่นกันเย่เชียนเป็นแค่ยามรักษาความปลอดภัยจริงๆงั้นเหรอ?
และดูเหมือนว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทดสอบเย่เชีนยอีกครั้ง
หลินโรวโร่วเห็นว่าหวังหูรู้สึกดีใจและปลื้มปริ่มอย่างหาที่เปรียบมิได้เพราะพบเย่เชียนอย่างไม่คาดคิด เธอก็ทำอะไรไม่ถูกแต่เธอแค่รู้สึกอิจฉาเล็กน้อย ในโลกแห่งความเป็นจริงในปัจจุบันการมีความสนิทสนมแบบพี่น้องเช่นเขาสองคนนี้ยากมากที่จะพบเจอ
“พี่สอง..พี่กลับมาเมื่อไหร่? ทำไมพี่ไม่มาหาผมล่ะ” หวังหูถามในขณะเขาปล่อยกอดเย่เชียน
“ฉันเพิ่งจะกลับมาเมื่อสองสามวันก่อนเอง ฉันเลยไม่มีเวลา” เย่เชียนตอบ
“เอาล่ะเรื่องนั้นมันไม่สำคัญแล้วแต่พี่ต้องอยู่ก่อนนะอย่าเพิ่งหนีกลับล่ะ เอ้า!พี่น้องพ้องเรา..เราจะไม่กลับบ้านจนกว่าเราจะเมา!!” หวังหูตะโกนอย่างร่าเริง
เย่เชียนหันหน้าไปมองหลินโรวโร่วและเตรียมที่จะปฏิเสธหวังหู แต่หลินโรวโร่วก็รีบพูดออกมาว่า “ดี..ให้ฉันร่วมด้วยได้ไหม?”
หวังหูจ้องอย่างงุนงงหลังจากนั้นก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วพูดว่า “แน่นอนถ้าพี่สองตกลงก็ไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้แล้ว ถ้าเขาเมากลับบ้านเขาจะต้องคุกเข่าขอโทษคุณ”
หลินโรวโร่วยิ้มพร้อมพูดว่า “ฉันจะให้เขาทำอย่างนั้นได้อย่างไร!” ทั่วใบหน้าของเธอดูเป็นความสุขอย่างมาก แต่อู่หยางเทียนหมิงที่อยู่ไม่ไกลดูโกรธแค้นอย่างมาก
หวังหูหันหน้าของเขาเพื่อมองอู่หยางเทียนหมิงและพูดว่า “นายน้อยอู่หยาง..ผมไม่สนใจว่าใครถูกหรือผิดเรื่องของวันนี้หรอกนะ เย่เชียนคือพี่สองของผมแน่นอนว่าปัญหาของเขาก็คือปัญหาของผมเช่นกัน เดี๋ยวผมจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายการรักษาของคนพวกนี้ให้ก็แล้วกัน..ถ้านายน้อยอู่หยางรู้สึกไม่สบายใจก็มาพบผมในคราวหน้าแล้วเราค่อยมาคุยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้!”
อู่หยางเทียนหมิงพูดอย่างเย้ยหยันว่า “หวังหู!!คุณคิดว่าคุณสามารถรับมือกับคนอย่างฉันได้งั้นเหรอ!”
หวังหูตอบอย่างเยือกเย็นว่า “นายน้อยอู่หยางคุณอย่าล้ำเส้นเกินไปดีกว่าคุณกำลังทำให้สุนัขอยากจะกระโดดข้ามกำแพงถ้าคุณตั้งใจที่จะทำให้สถานการณ์นี้มันบานปลายจริงๆแล้วล่ะก็ บนดินกับใต้ดินมันมีแค่เส้นบางๆกั้นอยู่ แล้วก็รู้ไว้ซ่ะว่าผมไม่ได้กลัวคุณ และถ้าหากคุณเดินๆอยู่ในตอนกลางคืนคุณอาจจะพบกับยมทูตก็ได้นะ” หวังหูตอบอย่างไม่แยเสแต่ดูเหมือนว่าเสียงนี้มีความหมายเพื่อตักเตือน เขาประกาศศักดาอย่างชัดเจนว่าถ้าอู่หยางเทียนหมิงต้องการก่อให้เกิดปัญหาแล้วล่ะก็เขาควรจะระวังในครั้งต่อไปเพราะเขาอาจจะถูกฆ่าในคืนๆหนึ่งก็เป็นได้..
สำนวน : สุนักกระโดดข้ามกำแพง หมายถึง การยั่วยุที่ไม่สมควรเพราะอาจจะทำให้ใครบางคนพร้อมที่จะทุ่มแบบสุดกำลังโดยไม่มีข้อจำกัดใดๆอีกต่อไป
“ได้พวกเราจะออกไป” อู่หยางเทียนหมิงตะคอกอย่างเย็นชาในขณะที่เขายืนขึ้น ตั้งแต่ต้นจนจบเขาเพิ่งจะขยับตัวเขาไม่ได้เป็นคนหุนหันพลันแล่นแบบนั้นแต่เขากลับกลายเป็นตัวละครที่ขี้ขลาดตาขาว แต่สำหรับเขาแล้วเหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้เขาเสียหน้าและเสียเกียรติอย่างยิ่ง เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ถ้าคนในเซี่ยงไฮ้ได้รับรู้แล้วล่ะก็เขาจะรักษาตำแหน่งของเขาในฐานะหนึ่งในสี่หนุ่มผู้เกรียงไกรของเซี่ยงไฮ้ได้อย่างไร
เขาเดินไปทางเย่เชียนไม่กี่ก้าวสีหน้าของอู่หยางเทียนหมิงก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยเขาเอนตัวไปกระซิบข้างๆหูของเย่เชียนเบาๆว่า “ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ฉันหมายปองจะหนีรอดจากเงื้อมมือของฉันไปได้ ฉันจะทำให้นายต้องคุกเข่าขอร้อง ฉันจะเอาแฟนของนายไป จำคำของฉันไว้!”
เย่เชียนยิ้มร้ายๆและตอบไปว่า “คุณควรทักทายแม่ของคุณเมื่อกลับถึงบ้านนะ ไม่อย่างงั้นเมื่อถึงเวลาคุณจะต้องอ้อนวอนให้ผมพาเธอไปส่งให้แต่เธอคงไม่พร้อมที่จะกลับไปเพราะเธอคงจะเหมือนปลาที่แห้งตายแล้วมันคงไม่น่าดู”
ใบหน้าของอู่หยางเทียนหมิงหันไปด้วยความหวาดกลัวราวกับว่ามีพายุเมฆหมอกปรากฏขึ้นในใจ “เฮ้ย!” เขาตะคอกอย่างเดือดดาลจากนั้นอู่หยางเทียนหมิงก็ออกจากผับบาร์ไปและลูกกระจ๊อกที่คอยตามเลียแข้งเลียขาก็ตามหลังเขาไปเช่นกัน
เมื่ออู่หยางเทียนหมิงและคนอื่นๆออกไป หวังหูดึงความสนใจเย่เชียนและชวนให้นั่งลงแล้วพูดว่า “พี่สอง..พี่หายไปไหนมาตั้งหลายปี? พี่ไม่รู้หรอกว่าผมคิดถึงพี่มากแค่ไหน พี่จำไม่ได้เหรอตอนเราเป็นเด็กพี่ไปที่ไหนผมก็ตามพี่ไปทุกที่ ขนาดตอนที่พี่ไปแอบดูคุณนายหวางอาบน้ำผมก็คอยเฝ้าดูต้นทางให้พี่ ในสมัยนั้นผมคิดว่าพี่น้องของพวกเราจะอยู่ด้วยกันไปตลอดและมันจะยิ่งใหญ่มาก แต่เมื่อพี่กลับมาแล้วพวกเราพี่น้องทั้งหลายนี้ก็สามารถต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันอีกครั้ง”
หวังหูคนนี้พูดจาได้โผงผางโจ่งแจ้งมากเขาไม่ได้นึกถึงสถานการณ์ตอนนี้เลย มันทำให้เย่เชียนรู้สึกอึดอัดใจอย่างมาก เย่เชียนจึงรีบหัวเราะเจื่อนๆพร้อมอธิบายให้หลินโรวโร่วฟังว่า “ตอนนั้นผมเป็นแค่เด็กตัวน้อยๆและซุกซนน่ะ ผมแค่อยากรู้อยากเห็นเฉยๆ!”
หลินโรวโร่วจ้องมองเย่เชียนอย่างโหดเหี้ยมและตอบกลับว่า “โอ้..ฉันไม่ได้คิดอะไรมากหรอก” เธอไม่ได้โกรธที่ตอนเด็กเขาเป็นเด็กซุกซนเลย แต่เรื่องที่อยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเพศตรงข้ามนี่สิ แต่อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านั้นมันก็เกิดขึ้นในอดีตที่นานมาแล้ว
เมื่อหวังหูได้ยินการแลกเปลี่ยนการสนทนาเช่นนี้หวังหูก็ตระหนักได้ว่าเขาได้พูดสิ่งที่ผิดต่อเย่เชียนและหลินโรวโร่วไปแล้วและหัวเราะเพื่อกลบเกลื่อนจากนั้นก็พูดว่า “เขาเป็นวีระบุรุษในหมู่ของผู้หญิงน่ะและเรื่องเล็กๆน้อยๆนี้อย่าไปใส่ใจมันเลยนะพี่สะใภ้ผ่อนคลายเข้าไว้เนาะ!”
หลินโรวโร่วคิดในใจว่าวีระบุรุษในหมู่ผู้หญิงงั้นเหรอ เธอจะไม่ยอมรับคำเยินยอนี้ แต่หวังหูก็ทำให้เธอรู้สึกสบายใจอย่างมากโดยเฉพาะการเรียกเธอว่า “พี่สะใภ้” มันเป็นคำที่รื่นหูและน่าฟังอย่างมากสำหรับเธอ
.
.
.
.
.
.