เย่เชียนนั้นก็ไม่ใช่เด็กๆ อีกต่อไปแล้วเขารู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร แต่ตัวตนของหลินไห่นั้นเปิดเผยต่อสาธารณชนอย่างมากในฐานะรองเลขาธิการคณะกรรมการพรรคประจำมณฑลและถ้าหากว่าเขามีลูกเขยที่ทำสิ่งที่ผิดกฎหมายและเป็นอันตรายต่อประเทศชาติล่ะก็หลินไห่ก็จะถูกฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองปราบปรามและกวาดล้างอย่างแน่นอน ซึ่งเย่เชียนก็ตระหนักดีถึงความหมายในคำพูดของหลินไห่ซึ่งบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ควรมาสร้างปัญหาในเมืองหางโจวมากเกินไป และถึงแม้ว่าหลินไห่จะไม่ได้พูดก็ตามถึงยังไงแล้วเย่เชียนก็ไม่ต้องการที่จะสร้างปัญหาอะไรในเมืองหางโจวเลยเพราะนั่นมันไม่ใช่เป้าหมายของเขาซึ่งเป้าหมายของเขาก็คือเฝิงเฝิงเพียงเท่านั้น
สิ่งที่เย่เชียนกังวลมากที่สุดในตอนนี้ก็คือการจัดการกับเฝิงเฝิงโดยเร็วที่สุดเพื่อที่เขาจะได้รีบกลับไปที่เมืองเซี่ยงไฮ้เพราะสถานการณ์กำลังตึงเครียดอย่างมาและเรื่องของหมาป่าผีไป๋ฮวยที่คอยทำงานให้เฝิงเฝิงมาโดยตลอด และถ้าหากว่าไป๋ฮวยรู้ว่าเย่เชียนจะไปจัดการกับเฝิงเฝิงแล้วไป๋ฮวยจะมีปฏิกิริยาเช่นไร เย่เชียนก็ทำได้เพียงแค่ภาวนาอย่างลับๆ ว่าจะไม่เผชิญหน้ากับหมาป่าผีไป๋ฮวย
เย่เชียนไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ในเมืองหางโจวนัก เขารู้แค่ว่าเฝิงเฝิงมีฉายาคือราชาแห่งขุนเขาเท่านั้น หลังจากที่ออกจากบ้านของหลินไห่แล้วเย่เชียนก็ได้โทรไปหาเฉินเซิงเพราะเย่เชียนยังคงรู้สึกว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นเพื่อนที่ดีเพราะอย่างน้อยๆ ท่าทางและท่าทีที่เขาแสดงออกมานั้นก็ไม่เหมือนเหล่าทายาทผู้หยิ่งผยองคนอื่นๆ เลย เฉินเซิงนั้นเป็นสุภาพบุรุษที่สุภาพเรียบร้อยอย่างแท้จริง
เมื่อเฉินเซิงได้รับโทรศัพท์ของเย่เชียนแล้วเห็นได้ชัดเลยว่าเขาก็ดูประหลาดใจเล็กน้อย แต่เขาก็ตอบตกลงอย่างรวดเร็วกับการนัดพบของเย่เชียน ซึ่งนับตั้งแต่ที่ยี่จุนหลูแฟนสาวของเขาจำได้ว่าเย่เชียนนั้นเป็น CEO ที่แท้จริงของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปเฉินเซิงก็ยิ่งยินดีที่จะสนิทสนมกับเย่เชียนอย่างยิ่ง สำหรับคนที่เคยไปอยู่ต่างประเทศมาเป็นเวลานานนั้นเขารู้จักเครือน่านฟ้ากรุ๊ปมากกว่าคนทั่วไปและอาจพูดได้ว่าเครือนานฟ้ากรุ๊ปนั้นเป็นอาณาจักรแห่งธุรกิจที่สามารถทำลายและกวาดล้างเศรษฐกิจของประเทศได้โดยสิ้นเชิงด้วยความแข็งแกร่งทางการเงินและความสามารถของบุคลากรในองค์กรและบริษัท
สถานที่นัดพบคือร้านกาแฟชื่อดังและเมื่อเย่เชียนมาถึงแล้วก็เห็นเฉินเซิงรออยู่ที่นั่นแล้วและมีชายคนหนึ่งอายุประมาณสามสิบต้นๆ อยู่ข้างๆ เฉินเซิงด้วยเขาอยู่ในชุดสูทสีขาวและแว่นตาสีทองพร้อมกับใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ซึ่งทำให้เย่เชียนชะงักไปชั่วขณะเพราะรู้สึกได้เลยว่าผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
หลังจากทักทายกันง่ายๆ แล้วเย่เชียนก็นั่งลงและเฉินเซิงก็พูดขึ้นมาว่า “เย่เชียน..ให้ฉันแนะนำนะ..นี่คุณหลี่จื้อเทียน”
หลี่จื้อเทียนยื่นมือออกมาอย่างสุภาพและพูดว่า “สวัสดีคุณเย่คนดังที่กำลังร้อนแรง..ฉันอยากรู้จักกับคุณมานานแล้ว..ฉันไม่ได้คาดคิดเลยว่าเฉินเซิงจะเป็นเพื่อนกับคุณ..มันช่างเป็นเรื่องบังเอิญซะจริง”
บางคนอาจไม่รู้ว่าหลี่จื้อเทียนคือใครซึ่งว่ากันว่าเขาเป็นคนลึกลับและนี่ก็เป็นความจริงบางอย่าง ดั่งความจริงที่ว่าบิลเกตส์เป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกแต่ทว่าจริงๆ แล้วก็เป็นเพียงแค่ตัวเลขที่แสดงทรัพย์สินของตระกูลเพียงเท่านั้น และหลี่จื้อเทียนนั้นก็เป็นบุคคลสำคัญที่ลึบลักและซ่อนอยู่เบื้องหลังของมณฑลเจียงซูรวมไปถึงในประเทศจีนเลยด้วยซ้ำ
ในเมืองหางโจวนั้นไม่มีใครไม่รู้จักเฝิงเฝิงราชาแห่งขุนเขาเลย แต่ทว่าอิทธิพลและความยิ่งใหญ่ของเฝิงเฝิงนั้นเทียบไม่ได้กับหลี่จื้อเทียนเลยและไม่ได้อยู่ในสายตาของหลี่จื้อเทียนเลยแม้แต่น้อย หลี่จื้อเทียนนั้นอายุ 34 ปีและเป็นแบบอย่างให้กับคนรุ่นใหม่ที่เชี่ยวชาญด้านการลงทุนทางการเงินและการพัฒนาสิ่งต่างๆ ในต่างประเทศและเป็นถึงสมาชิกอาวุโสผู้ทรงเกียรติขององค์กรการลงทุนชั้นนำในประเทศและต่างประเทศ เขานั้นอาศัยอยู่ในต่างประเทศตลอดทั้งปีและไม่ค่อยจะมาเยือนเมืองหางโจวบ่อยนัก
เหล่าเจ้าหน้าที่รัฐและคนระดับสูงต่างก็รู้ดีว่าหลี่จื้อเทียนนั้นเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง ส่วนเฝิงเฝิงนั้นก็เป็นเพียงแค่มดตัวเล็กๆ ในสายตาของพวกเขา อย่างไรก็ตามมันก็ไม่มีนักธุรกิจที่ขาวสะอาดในยุคสมัยนี้มากนักและบางทีเหล่าทายาทของนักธุรกิจและเจ้าหน้าที่ระดับสูงต่างก็ไม่ได้สืดทอดเจตจำนงของรุ่นก่อนๆ มากนัก หลี่จื้อเทียนที่อายุเพียงแค่ 34 ปีแต่เขาก็ได้กลายเป็นคนที่ยิ่งใหญ่เหนือเฝิงเฝิงและเป็นดั่งราชาแห่งเมืองหางโจว ความสามารถและพรสวรรค์ของเขานั้นทำให้เขาก้าวเข้าสู่ประตูแห่งสวรรค์ได้
เย่เชียนยื่นมือออกไปและจับมือกับหลี่จื้อเทียนและพูดว่า “ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณหลี่”
หลังจากนั่งลงแล้วเฉินเซิงก็แนะนำและอธิบายเกี่ยวกับตัวตนของลี่จื้อเทียนสั้นๆ แล้วพูดว่า “เย่เชียน..นี่ถ้านายไม่ได้มาเมืองหางโจวล่ะก็ฉันก็คิดว่าจะไปหานายที่เมืองหนานจิงซะหน่อยน่ะ..ตอนนี้นายกลายเป็นบุคคลสำคัญของเมืองหนานจิงแล้วสินะ”
เย่เชียนยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “โถ่..คุณพยายามทำให้ผมหัวเราะรึไง” เฉินเซิงถึงกับผงะไปเล็กน้อยจากนั้นเขาก็หัวเราะ
หลี่จื้อเทียนก็ยิ้มและพูดว่า “จริงๆ แล้วฉันขอให้น้องเฉินช่วยแนะนำคุณเย่ให้น่ะ..ฉันชื่นชมคุณเย่จริงๆ เลยอยากที่จะไปหาสักหน่อย”
เย่เชียนยิ้มอย่างแผ่วเบาและพูดว่า “คุณหลี่ก็ชื่นชมผมเกินไป”
หลี่จื้อเทียนมองไปที่เด็กหนุ่มเย่เชียนที่อายุเพียงยี่สิบต้นๆ ที่มีจุดยืนอยู่ในระดับเดียวกันกับเขา จึงมีภาพลวงตาเกิดขึ้นในจิตใจของเขาแล้วคิดว่าเขาเอาอายุตั้งสามสิบปีกว่าแต่เด็กหนุ่มคนนี้กลับอายุเพียงแค่ยี่สิบต้นๆ ก็สำเร็จเหมือนตัวเขาเองแล้วเขาไม่ได้แก่เกินไปหรอกใช่มั้ย! ในแวดวงของเขานั้นมีชาวจีนจำนวนไม่มากนักที่บรรลุความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย และที่ผ่านมาเขาก็มักจะมีความสุขเพราะแวดวงคนที่สำเร็จในสิ่งต่างล้วนมีแต่บุคคลรุ่นลุงและป้ารวมไปถึงปู่ย่าตายาย ซึ่งเขาก็ไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะมีเด็กหนุ่มที่สามารถบรรลุความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่อายุน้อยกว่าตัวเองถึงสิบปี และยิ่งไปกว่านั้นเด็กหนุ่มคนนี้ยังเป็นคนที่ยืนอยู่บนตำแหน่งที่เท่าเทียมกับเขาอีกด้วย และเมื่อเป็นเช่นนี้จะไม่ให้เขารู้สึกว่าตัวเองนั้นแก่ได้อย่างไร? “ก็ในเมื่อพวกเราเป็นพี่น้องและผองเพื่อนของเฉินเซินพวกเราทุกคนก็สนิทกันได้..ไม่ต้องสุภาพหรอกมันอึดอัดน่ะ..เราคนกันเอง”
ก่อนที่หลี่จื้อเทียนจะพูดจบเย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและขัดจังหวะว่า “ถ้างั้นผมจะเรียกคุณว่าพี่ใหญ่หลี่ก็แล้วกัน”
หลี่จื้อเทียนถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะพลางคิดว่าเด็กหนุ่มคนนี้ทำตัวสบายๆ และเป็นมิตรอย่างมาก “งั้นฉันจะขอเรียกว่าน้องเย่นะ..ฮ่าฮ่า” หลี่จื้อเทียนพูดและหัวเราะด้วยรอยยิ้ม
“เอาล่ะ..พี่ใหญ่หลี่เราไม่ต้องพูดถึงเรื่องมารยาทกันแล้ว..พี่มีเรื่องอะไรที่อยากจะคุยหรอ” เย่เชียนนั้นมักจะคิดว่าการพูดคุยแบบสุภาพนั้นมักจะเป็นแค่เบื้องหน้าที่ไร้สาระในบางครั้งเพราะถ้าหากเข้าใจกันดีก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดคำพูดที่ดูสุภาพและสนิทสนมกันเหล่านั้นเลย
“ฮ่าฮ่า..น้องเย่เนี่ยเป็นคนง่ายๆ สบายๆ จริงๆ” หลี่จื้อเทียนยิ้มและพูดว่า “จริงๆ แล้วฉันคิดว่าน้องเย่น่ะมีบางอย่างในเมืองหนานจิง..เพราะงั้นฉันจึงขอให้น้องเฉินเป็นคนกลางให้ในครั้งนี้..เพราะที่จริงฉันอยากคุยกับน้องเย่เรื่องการร่วมมือกันน่ะ”
“การร่วมมือ? ..เรื่องอะไรหรอ..แล้วทำไมพี่ใหญ่หลี่ถึงคิดว่าผมเหมาะสมล่ะ” เย่เชียนขมวดคิ้วเล็กน้อยและถาม เย่เชียนนั้นไม่ใช่คนที่ง่ายเลยที่จะยอมร่วมมือกับใครสักคนซึ่งเขาต้องพิจารณาและไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนก่อนว่ามันจะมีปัญหาอะไรใดๆ ตามมาหรือไม่ เพราะท้ายที่สุดแล้วมันไม่มีสิ่งไหนที่ได้มาฟรีๆ ในโลกใบนี้และก็ไม่มีใครที่ให้ผลประโยชน์โดยไม่มีเหตุผล
“ถ้าฉันบอกว่าฉันต้องการให้น้องเย่ร่วมมืออย่างบริสุทธิ์ใจเพราะฉันชื่นชมในตัวน้องเย่จะเชื่อมั้ย” หลี่จื้อเทียนยิ้มและไม่สามารถบอกได้เลยว่าเขากำลังล้อเล่นหรือจริงใจในสายตาของเขา
“ผมฉันยังคิดไม่ออกเลยว่าผมจะไปมีอะไรที่ทำให้คุณชื่นชมสำหรับผม” เย่เชียนพูด บางครั้งเราก็ต้องระวังที่จะไม่ทำลายตัวเองเพราะความโลภในการต่อรองบางสิ่งบางอย่างซึ่งมันอาจไม่คุ้มเสีย
“แล้วทำไมต้องมีเหตุผลด้วยล่ะ..ฉันไม่จำเป็นที่จะต้องโกหกเลย” ริมฝีปากของหลี่จื้อเทียนค่อยๆ มาบรรจบกันเป็นรอยยิ้มและสัมผัสแห่งความโศกเศร้าก็ปรากฏขึ้น การมุ่งเน้นไปที่การลงทุนทางการเงินนั้นมันต้องการการคำนวณที่แม่นยำและการวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยมีความรู้สึกที่แท้จริงสักเท่าไหร่และถึงแม้ว่าเขาจะมีในบางครั้งแต่เขาก็ถูกมองว่าเป็นการกระทำที่เสแสร้งเสียมากกว่า
สำหรับการเจรจาเช่นนี้เย่เชียนก็คงจะด้อยกว่าหลี่จื้อเทียนอย่างมากเป็นแน่ และถ้าหากเปลี่ยนจากเย่เชียนเป็นซ่งหลันล่ะก็สถานการณ์ที่จะต้องเดือดดาลและโต้เถียงกันอย่างดุเดือดแน่นอน อย่างไรก็ตามด้วยประสบการณ์ของเขาในการจัดการและการรับมือกับผู้คนนั้นเย่เชียนก็ยังคงยึดมั่นในความคิดของเขาอยู่อย่างต่อเนื่องและเขาก็จะไม่ลังเลใจง่ายๆ โดยประมาท จากการแนะนำหลี่จื้อเทียนของเฉินเซิงในตอนนี้นั้นเย่เชียนสามารถสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่างเนื่องจากเขาอยู่ในแวดวงเช่นนี้มามากกว่าสิบปีแล้วแต่ก็ไม่ชัดเจนเกี่ยวกับการเมืองของหางโจวนักและแม้แต่รัฐบาลกลางเอง เห็นได้ชัดเลยว่าการที่หลี่จื้อเทียนกำลังหาคนมาร่วมมือกับเขานั้นค่อนข้างไม่ค่อยน่าเชื่อถือสักเท่าไหร่
เย่เชียนก็ยังไม่ได้พูดอะไรใดๆ แต่รอให้หลี่จื้อเทียนพูดต่อ
“ถ้าพูดแบบนี้บางทีน้องเย่อาจจะยอมรับได้ในเร็วๆ นี้..เรื่องธุรกิจในเมืองหนานจิงน่ะที่น้องเย่สามารถรวมเหล่าผู้บริหารกันได้เป็นหนึ่งเดียวและโค่นล้มจู้ซานและซูเจี้ยนจุนและเป็นเจ้าของอุตสาหกรรมใหญ่ๆ ทั้งหมดของเมือง..สิ่งนี้แหละที่ทำให้ฉันชื่นชม..ฉันคิดว่าความสามารถของน้องเย่นะยอดเยี่ยมมาก..และฉันก็มั่นใจว่าน้องเย่นั้นสามารถไต่ขึ้นไปสู่ตำแหน่งที่สูงกว่านี้ได้..เพราะงั้นฉันจึงต้องการร่วมมือกับน้องเย่ก่อนที่คนอื่นจะคิดแบบเดียวกันและดึงตัวน้องเย่ไป” หลี่จื้อเทียนพูด
เย่เชียนยิ้มอย่างแผ่วเบาโดยไม่ได้พูดอะไรใดๆ และจู่ๆ หลี่จื้อเทียนก็รู้สึกเหมือนกับโดนต่อยจนขาดสมาธิ ในช่วงขาขึ้นและลงของทะเลแห่งธุรกิจมากว่าสิบปีของหลี่จื้อเทียนนั้นเขาเคยได้เจรจาต่อรองมาไม่น้อยกว่าพันครั้งแล้ว อาจพูดได้ว่าเขาเป็นยอดฝีมือด้านการเจรจาเชิงธุรกิจก็ว่ได้ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเย่เชียนในวันนี้แล้วเขาก็รู้สึกว่ากลยุทธ์ทั้งหมดของเขาดูเหมือนจะไร้ประโยชน์ไปโดยสิ้นเชิง
นี่คือจุดที่เย่เชียนนั้นเหนือกว่าเพราะเย่เชียนด้อยกว่าหลี่จื้อเทียนในเรื่องของการเจรจา ซึ่งเย่เชียนก็ไม่ได้สนใจผลประโยชน์ต่างๆ มากเกินไป ดังนั้นเย่เชียนจึงดูไม่ง่ายเลยที่จะจัดการและนี่ก็อาจเป็นไปได้ว่าหลี่จื้อเทียนนั้นไม่มีทางชนะเย่เชียนได้เลย
หลังจากเงียบไปชั่วครู่หลี่จื้อเทียนก็พูดต่อ “น้องเย่สามารถปีนขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของธุรกิจพร้อมกับฉันได้และฉันก็สามารถทำกำไรจากการพัฒนาของน้องเย่ต่อไปเรื่อยๆ ..นี่คือการลงทุนของฉัน..ทั้งน้องเย่และฉันต่างก็ได้รับสิ่งที่ต้องการไม่ใช่เหรอ”
เย่เชียนก็ยอมรับในมุมมองนี้และเหตุผลนี้อย่างไม่เต็มใจเช่นกัน อย่างไรก็ตามเงื่อนไขต่างๆ นั้นเป็นข้อต่อรองที่แข็งแกร่งที่สุดในการสร้างความสัมพันธ์แบบร่วมมือกัน เพราะตราบใดที่มีผลประโยชน์ร่วมกันความสัมพันธ์แบบร่วมมือกันก็ไม่สามารถที่จะทำลายได้ อย่างไรก็ตามตอนนี้เย่เชียนก็ยังรู้น้อยเกินไปเกี่ยวกับข้อมูลและตัวตนของหลี่จื้อเทียน และถึงแม้ว่าเขาจะเรียนรู้เกี่ยวกับข้อมูลของเขาผ่านการเจรจาในตอนนี้ก็ตาม แต่ทว่าเย่เชียนก็ยังไม่รู้อะไรเลย
ความจริงก็คือผลประกอบการของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปเพียงอย่างเดียวนั้นก็ยอดเยี่ยมมากอยู่แล้วและเย่เชียนก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปร่วมมือกับหลี่จื้อเทียนเลย เพราะเนื่องจากปัจจัยต่างๆ ที่ยังไม่ชัดเจนและแน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเย่เชียนนั้นไม่รู้ว่าหลี่จื้อเทียนเป็นใครและมีอิทธิพลมากแค่ไหนในประเทศจีนและเย่เชียนจะได้รับประโยชน์จากเขามากสักแค่ไหน ซึ่งนี่ก็คือกุญแจที่สำคัญที่สุด
เย่เชียนก็ส่ายหัวเบาๆ ส่วนหลี่จื้อเทียนก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย “อะไรนะ..ไม่สนใจหรอ?” หลี่จื้อเทียนถามอย่างตื่นตระหนกและนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าเขานั้นน่ากลัวกว่าที่เขาคิดและยังประเมินเย่เชียนต่ำเกินไปอย่างมาก และตอนนี้เขาก็ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป เพราะเมื่อเผชิญหน้ากับเย่เชียนแล้วการเตรียมการก่อนหน้านี้ทั้งหมดดูเหมือนจะไร้ประโยชน์อย่างเห็นได้ชัด
.
.
.
.
.
.
.
.