“พี่สอง..พี่กลับมาแล้วนั่นคือสิ่งที่สำคัญ พี่น้องเหล่านี้จะเป็นผู้ติดตามใหม่ของพี่ แค่พี่พูดคำเดียวพี่สองพวกเราจะตามพี่ไปแม้กระทั่งไปเยือนนรก” หวังหูพูดอย่างจริงใจและดุดัน หลังจากเขาพูดเช่นนี้เขาก็สบตากับพวกลูกน้องที่อยู่ข้างหลังเขาและตะโกนว่า “พวกนายกำลังมองอะไรกันอยู่? ทำไมยังไม่ทักทายพี่สองอีก!“
“พี่สอง!” น้องๆทั้งหลายพยักหน้าและพูดพร้อมๆกัน
เย่เชียนพยักหน้าเบาๆแล้วพูดว่า “ไอ้เสือ..ตอนนี้ฉันกลับมาแล้วก็จริงแต่ว่าฉันแค่ต้องการหางานทำและใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาๆ ฉันไม่ต้องการให้พ่อกังวลน่ะ”
เย่เชียนพูดยังไม่ทันจบหวังหูก็พูดอย่างใจจดใจจ่อ “พี่สอง”
เยเชียนโบกมือเพื่อหยุดเขาและพูดว่า “ไม่ว่านายจะพูดยังไงมันก็เท่านั้น ฉันตัดสินใจเรื่องนี้ด้วยตัวเองแล้ว นอกจากนี้เราพี่น้องก็ไม่ควรกระทำการใดๆที่โจ่งแจ้งเกินไป แต่ไม่ว่าฉันจะไปทำอะไรก็แล้วแต่เรื่องระหว่างพวกเรามันก็ยังคงเหมือนเดิมและแน่นอนหากพวกนายมีปัญหาอะไรแล้วล่ะก็ฉันจะมาช่วยพวกนายเสมอ”
หวังหูเห็นว่าเย่เชียนได้ตัดสินไปใจแล้วและเขาจะไม่ตื้อเรื่องนี้อีกต่อไปเขารู้ว่าสิ่งที่เย่เชียนพูดนั้นไม่ใช่สิ่งจอมปลอมหากเขาต้องเจอกับปัญหาจริงๆล่ะก็เย่เชียนก็จะต้องมาช่วยอย่างแน่นอนและเขาก็จะทำเช่นเดียวกันถ้าเมื่อใดที่เย่เชียนมีปัญหาเขาจะไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย”
“พี่สองพวกเราไม่ได้เจอกันตั้งแปดปี เราต้องดื่มกันนะคืนนี้และอย่ากลับจนกว่าเราจะเมา”
เย่เชียนยิ้มและพูดว่า “ได้เราจะไม่กลับจนกว่าเราจะเมา”
เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว หวังหูดื่มมากจนเขาหลับคาโต๊ะและกรนอย่างสบายใจ เย่เชียนก็ดื่มมากเช่นกันแต่เขาไม่ได้เมาส่วนหลินโรวโร่วก็ดื่มมากเช่นกัน และก็ถึงเวลาที่จะแยกย้ายกันกลับ เย่เชียนก็กำลังพาเธอไปส่งที่บ้านของเธอในระหว่างทางเธอก็พึมพำพูดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอย่างน่ารักน่าเอ็นดู
หลังจากที่เย่เชียนส่งหลินโรวโร่วถึงบ้านแล้ว เขาก็ขับรถกลับ ในด้านของหลี่ตงนั้นเมื่อคืนเขาวางแผนที่จะมอบเงินให้เย่เชียนแต่เขาเห็นว่าหวังหูและเย่เชียนก็คุยกันอย่างมีความสุขเขาไม่ต้องการเข้าไปรบกวนพวกเขาทั้งสองคนตอนนั้น เขาเป็นนักเลงเขาไม่ใช่อาชญากรหรือมาเฟีย อย่างน้อยเขาก็อยู่ระหว่างสีเทากับธรรมดา ยิ่งในย่านนี้อิทธิพลของหวังหูนั้นยอดเยี่ยมมาก หลี่ตงจึงไม่สามารถทำอะไรได้ ได้แต่คิดในใจว่าเขาจะติดตามเย่เชียนได้อย่างไร อย่างน้อยๆก็ให้ตัวของเขาเองได้ติดตามหวังหูในภายภาคหน้าแต่เย่เชียนจะยอมช่วยเขาในการพูดกับหวังหูในเรื่องนี้หรือไม่เขาไม่แน่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย
บ้านของหลินโรวโร่วเป็นอพาร์ตเมนต์ที่เธออยู่กับพี่สาว มันมีสองห้องนอนและหนึ่งห้องนั่งเล่นหนึ่งห้องน้ำ หลังจากที่เย่เชียนกำลังขึ้นไปส่งเธอพี่สาวของเธอก็ยิ้มอย่างมีพิรุธและแซวว่า “โรวโร่วนั่นแฟนของเธอหรือ หล่อเริ่ดมาก”
หลินโรวโร่วดื่มมากเกินไปจนเธอไม่สามารถเข้าใจอะไรได้เธอแค่มองเย่เชียนตอนกลับเข้าไปในรถและเผยรอยยิ้มอันแสนสุขกระจายไปทั่วใบหน้าของเธอ
เย่เชียนไม่ได้เสแสร้งว่าเป็นคนมีคุณธรรมหรือมีศีลธรรม เขาไม่ต้องการอยู่ในโลกของอาชญากรรม เขาเข้าใจชัดเจนว่าในประเทศจีนนั้นโลกอาชญากรรมร้ายแรงอย่างมาก อีกอย่างเขาก็เพิ่งจะกลับมายังประเทศนี้เขาจึงยังไม่อาจเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันในเซี่ยงไฮ้ได้นัก คิดได้แค่ว่าทุกอย่างล้วนไม่คุ้นเคยกับเขา ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการทำอะไรอย่างหุนหันพันแล่น
ก่อนที่จะออกจากผับบาร์หวังหูได้บอกกับเย่เชียนว่าเขาควรระวังอู่หยางเทียนหมิงให้มาก อิทธิพลของบุคคลนี้กว้างขวางมาก ไม่ว่าเย่เชียนจะทำอะไรในอนาคตก็ต้องทำอย่างระมัดระวังให้ถี่ถ้วน เพราะอู่หยางเทียนหมิงเป็นถึงลูกชายของรองผู้ว่าเทศบาลเมืองเซี่ยงไฮ้ แต่เย่เชียนไม่ได้ให้ความสำคัญกับเขาเลย หากเขาตัดสินใจที่จะจัดการกับอู่หยางแล้วล่ะก็มันก็จะเป็นเรื่องที่ง่ายมาก ไม่ว่าจะผ่านเบื้องบนของประเทศจีนหรือใช้วิธีการทางการทูตหรือแม้แต่ทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าของเขาในการจัดทำข้อมูลและการเชื่อมต่อทางธุรกิจเพื่อสร้างแรงกดดันในประเทศจีนหรือจะจัดการกับอู่หยางโดยตรงก็ย่อมได้ ทั้งหมดแล้วสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับเขา แต่เย่เชียนไม่ต้องการให้เบื้องบนของจีนรู้ว่าเขากลับมาเยือนยังที่แห่งนี้แล้ว และเขาก็ไม่ต้องการให้หน่วยเขี้ยวหมาป่ารู้เช่นกัน ไม่เช่นนั้นพวกเขาทั้งหมดจะยกทัพแห่กันมาที่ประเทศจีนเหมือนฝูงผึ้งเพื่อมาหาราชันของพวกเขาและทำให้เย่เชียนต้องปวดหัว
เมื่อรุ่งอรุณสาดแสงเย่เชียนก็ลุกออกจากเตียงในเวลาหกโมงเช้าจากนั้นเขาก็ไปวิ่งและกลับมาในเวลาเจ็ดโมงเช้าเพราะนี่เป็นนิสัยและกิจวัตรประจำวันของเขามาหลายปีแล้วในฐานะผู้นำของกองทัพทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าไม่เพียงแต่เขาที่เป็นแกนหลักและเป็นดั่งหัวใจของกลุ่มเขายังเป็นจิตวิญญาณของมัน เช่นนั้นแล้วสภาพร่างกายของเขาจะต้องไร้คู่แข่งอย่างไร้ที่ติ ด้วยเช่นนี้ร่างกายของเขาจึงกำยำและสามารถต้านทานสภาพแวดล้อมทุกประเภทในจักรวาลนี้ได้อย่างสมบูรณ์
สำหรับมื้อเช้าเขากินเพียงขนมปังง่ายๆ จากนั้นเย่เชียนก็ขึ้นรถประจำทางไปยังบริษัทเทียนหยากรุ๊ป วันนี้เป็นวันแรกของการทำงานเย่เชียนไม่อยากไปสาย แน่นอนว่าเขาไม่อยากขับรถไปเองเพราะคนอื่นอาจเรียกเขาว่าทำตัวเหมือนเป็นคนโอ้อวดที่ขับรถแล้วทำไมต้องมาเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
การรักษาความปลอดภัยของกลุ่มเทียนหยานั้นก็ง่ายๆ ทุกๆวันนอกเหนือจากการตรวจตราอาคารของบริษัทต่างๆในพื้นที่ที่กำหนดก็ไม่มีอะไรให้ทำอีกแล้ว นอกจากนี้แล้วเทียนหยากรุ๊ปยังเป็นบริษัทใหญ่โตในเซี่ยงไฮ้ไม่มีใครกล้าที่จะสร้างปัญหาที่นี่ ดังนั้นโดยรวมแล้วงานรักษาความปลอดภัยนี้ก็เข้มงวดมาก
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของเทียนหยากรุ๊ปนั้นทำงานไม่หนักเท่าไหร่ และประโยชน์ที่มาพร้อมกับมันก็ไม่เลว บริษัทเทียนหยากรุ๊ปนั้นครอบคลุมห้าประกันภัยและสามกองทุนและอาหารฟรีสองมื้อต่อวัน ถ้าประพฤติดีและได้รับการพิจารณาจากผู้ใหญ่ในบอร์ดบริหารก็สามารถเป็นเลื่อนผู้จัดการได้ในเวลาไม่กี่ปีทุกสิ่งที่พิจารณาด้วยงานนี้ล้วนมีโอกาสในอนาคตและเส้นทางอาชีพที่ดีขึ้น
โดยรวมแล้วมีบุคลากรประมาณสิบคนในแผนกรักษาความปลอดภัย แต่บางคนก็เป็นเพียงหน้าที่กะกลางคืนดังนั้นเย่เชียนจึงไม่เคยเห็นพวกเขาเหล่านั้น หลังจากหัวหน้าเจิ้งซินชายผู้ที่สัมภาษณ์เย่เชียนเสร็จแล้วก็พาเขาไปที่แผนกอย่างเป็นทางการเพื่อลงทะเบียนเข้าเป็นบุคลากร เขาพาเย่เชียนไปยังรับชุดพนักงานรักษาความปลอดภัยและอาวุธชุดกองกำลังพิเศษมาตรฐาน 511 เมื่อเขาเห็นมันก็ไม่ได้ดูแย่เลย ในขณะที่เขาสวมเครื่องแบบนั้นเย่เชียนมีภาพลวงตาผุดขึ้นมาในหัวชั่วครู่หนึ่งราวกับว่าเขายังอยู่ในทวีปแอฟริกาที่นำทหารหน่วยเขี้ยวหมาป่าของเขาบุกตลุยฝ่าแดนทมิฬนั้น
หลังจากที่เย่เชียนได้รับการแนะนำให้รู้จักกับเพื่อนร่วมงานทั้งหลายแล้วเจิ้งซินก็แค่บอกหน้าที่และความรับผิดชอบของเขาในฐานะเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและกำชับให้เขารู้ว่าหากมีสิ่งใดที่เขาไม่เข้าใจเขาก็สามารถถามตนหรือเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆได้ จากนั้นเขาก็เดินออกไปอย่างสง่าผ่าเผยและมีพลัง แต่เย่เชียนไม่ได้มีปฏิกิริยาใดๆต่อทัศนคติของเจิ้งซิน อย่างมากถ้าเย่เชียนไม่ชอบเขาก็จะเสวนากับหัวหน้าน้อยลง
เมื่อเขาเห็นว่าเจิ้งซินออกไปแล้วเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนหนึ่งก็พูดอย่างเก็บกดว่า “อะไรเนี่ย? เขาแสร้งทำตัวอยู่เหนือกว่าทุกคนเมื่อเขารู้ว่าเขามีอำนาจมากกว่าพวกเรา”
เย่เชียนยิ้มอ่อนๆเมื่อพวกเขาเพิ่งจะนินทาหัวหน้าให้เย่เชียน เขาคนนั้นคือหวันชุนหัวเป็นชายร่างเตี้ยที่ดูตลกนิดหน่อย “ดูเหมือนว่าคุณเกลียดหัวหน้าเจิ้งซินจริงๆสินะ” เย่เชียนพูดพร้อมยิ้มเจื่อนๆ
“นายพูดอย่างงี้ก็ไม่ถูก ฉันไม่ได้เกลียดเขาขนาดนั้น เขาแค่เผด็จการอย่างสม่ำเสมอในแบบของหัวหน้า หากมีอันตรายใดๆเขาจะแอบอยู่ที่ข้างหลังเสมอ แต่หากมีสิ่งใดที่จะทำให้เขาได้หน้าหรือได้ประโชยน์เขาจะโผล่หัวมาอย่างสม่ำเสมอ ถ้ามันไม่ได้ลำบากที่จะหางานใหม่ทำฉันก็อยากจะงัดกับเขาสักตั้งฮ่าๆ” หวันชุนหัวตอบด้วยความโกรธเกรี้ยวและหยอกล้อเล็กน้อย เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆแสดงท่าทีที่เห็นด้วยยกเว้นชายหนุ่มคนหนึ่งอายุประมาณ 27-28 ปีซึ่งนั่งเงียบๆโดยไม่พูดไม่จาอะไรสักคำ
.
.
.
.
.