สำหรับความฝันในวัยเด็กของเย่เชียนนั้นเขาก็ไม่ได้พูดซึ่งซ่งหลันก็เองไม่ได้ถามอะไรเช่นกัน เพราะสำหรับหลายๆ คนแล้วความฝันของวัยเด็กและวัยรุ่นนั้นไม่สำคัญสักเท่าไหร่เพราะเมื่อเติบโตขึ้นมาความฝันก็ยิ่งเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่แน่นอนว่าหลังจากผ่านไปหลายปีบางคนก็อาจนึกถึงความฝันของตัวเองตอนวัยเด็กและรู้สึกว่ามันช่างสวยงามอย่างมาก
เย่เชียนเองก็ไม่เคยคิดว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษเลยเพราะถ้าหากมีใครมาทำร้ายเขาล่ะก็เขาจะตัดมือของคนคนนั้นทิ้งเสีย ซึ่งหลายปีที่ผ่านมาบางครั้งเย่เชียนก็คิดถึงประสบการณ์ที่ได้ทำงานเพื่อค่าจ้างอันน้อยนิดของเขาเมื่อเขายังเป็นเด็กวัยรุ่นและมันก็ยังคงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความโหดร้ายในเวลาเดียวกัน
ถึงแม้ว่าสิ่งต่างๆ จะเปลี่ยนไปก็ตามแต่หวังฮุ่ยก็เป็นหวังฮุ่ยคนเดิมตัวเล็กๆ เพราะเมื่อเทียบกับเย่เชียนในตอนนี้แล้วเย่เชียนนั้นก็ต้องการเห็นปฏิกิริยาของหวังฮุ่ยเมื่อเขารู้ว่าตัวเองนั้นเป็นใคร
หลังจากรับประทานอาหารค่ำกับซ่งหลันแล้วเย่เชียนก็กลับไปที่บ้านของฉินหยู และเมื่อซ่งหลันเห็นเย่เชียนลงจากรถและเดินไปที่บ้านพักฉินหยูแล้วซ่งหลันก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาและไม่ได้พูดอะไรใดๆ เพราะสำหรับซ่งหลันแล้วเธอก็รู้ดีและไม่ได้คาดหวังว่าเย่เชียนจะมาอยู่เคียงข้างเธอตลอดเวลา ซึ่งเธอก็แค่หวังว่าเย่เชียนคงจะมีที่ของเธอในหัวใจของเขาบ้างและแค่นั้นก็เพียงพอสำหรับเธอแล้ว นั่นเป็นความรู้สึกของซ่งหลันที่มีให้กับเย่เชียนมานานแล้ว
เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็มีเพียงแค่ฉินหยูเท่านั้นที่นั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นและดูทีวีอยู่และไม่เห็นจ้าวหยาเลยซึ่งทำให้เย่เชียนแน่นิ่งไปชั่วขณะและเดินเข้าไป
“เธอกลับมาเมื่อไหร่?” ฉินหยูหันไปมองเย่เชียนจากนั้นก็รีบหันกลับไปดูละครโทรทัศน์และถาม
“ผมเพิ่งจะกลับมาเมื่อเช้านี้..แต่ผมไม่เห็นคุณผมเลยไปเดินเล่นมา” เย่เชียนพูดขณะที่เขาเดินเข้าไปหาฉินหยูและนั่งลงจากนั้นก็พูดว่า “จ้าวหยาอยู่ไหนหรอ..ทำไมผมไม่เห็นเธอ..และหูวเค่อล่ะทำไมไม่อยู่ที่นี่”
ฉินหยูจ้องมองไปที่เย่เชียนด้วยความประหลาดใจและพูดว่า “เอ้า..นี่เธอไม่รู้หรอ..หยาเอ๋อออกเดินทางไปแล้วเมื่อสองสามวันก่อน..ส่วนเค่อเอ๋อก็กลับไปที่เกียวโตเรื่องงานน่ะ”
“เธอไปไหน?” เย่เชียนถามด้วยความประหลาดใจ
“เห้อ..ดูเหมือนว่าเธอจะไม่รู้เรื่องเลยสินะ” ฉินหยูตกตะลึงและพูดว่า “หยาเอ๋อไปเรียนต่อที่ประเทศฝรั่งเศสแล้ว..แต่หยาเอ๋อฝากจดหมายกับฉันให้มอบมันให้กับเธอเมื่อเธอกลับมา..ฉันเกือบลืมไปแล้ว”
“ไปเรียนหนังสือ?” เย่เชียนอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงอย่างมากเพราะจู่ๆ ผู้หญิงคนนี้คิดจะไปเรียนที่ประเทศฝรั่งเศสได้ยังไง? แต่เมื่อเย่เชียนกำลังจะเอ่ยปากถามฉินหยูแต่ทว่าฉินหยูก็ลุกขึ้นแล้วรีบเดินขึ้นไปชั้นบนอย่างเร่งรีบ
ไม่นานหลังจากนั้นฉินหยูก็หยิบจดหมายมาส่งให้เย่เชียนและพูดว่า “เธอดูมันด้วยตัวเองเถอะ..อ๋อใช่..คือฉันมีอะไรจะบอกเธออีกอย่างนึงน่ะ..ฉันเองก็ต้องไปเหมือนกัน..ถ้าเธออยากอยู่ที่นี่ต่อเธอก็อยู่ได้นะ..แต่ถ้าไม่อยู่บ้านก็ล็อคบ้านดีๆ ด้วยล่ะ..”
เย่เชียนกำลังสูญเสียอาการไปอย่างเคว้งคว้างและถามด้วยความประหลาดใจว่า “คุณก็ด้วยหรอ..คุณจะไปไหน..คุณจะไปเรียนที่ต่างประเทศด้วยหรอ?”
“ไม่ๆ ..ฉันจะไปสอนหนังสือในพื้นที่ภูเขาที่ห่างไกลน่ะ” ฉินหยูพูด
เย่เชียนรู้สึกถึงช่วงเวลาแห่งการสูญเสียอาการและอารมณ์ต่างๆ ภายในหัวใจของเขา เพราะหลินโรวโร่วก็เดินทางจากไปไกลและจ้าวหยาเองก็จากไปไกลเช่นกันและตอนนี้แม้แต่ฉินหยูก็ต้องจากเขาไปอีกเช่นกัน ซึ่งทำให้เย่เชียนรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไป “คุณไม่ไปได้มั้ย” เย่เชียนถามอย่างอ่อนแรง เย่เชียนรู้สึกอ่อนไหวอย่างมากเมื่อเขาพูดแบบนี้ เพราะถึงแม้ว่าเขาจะอยู่กับฉินหยูได้ไม่นานก็ตามแต่เขาก็มีความรู้สึกดีๆ กับฉินหยูอย่างมาก ถึงยังไงแล้วการตัดสินใจอะไรใดๆ ของฉินหยูนั้นไม่ง่ายเลยที่จะเปลี่ยนแปลงได้ ไม่เช่นนั้นเธอก็คงจะไม่มาเลือกที่จะเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยอย่างแน่นอนเพราะด้วยอิทธิพลและอำนาจของฉินเทียนผู้เป็นพ่อของฉินหยูแล้วเธอก็สามารถเลือกชีวิตที่ดีกว่านีได้อย่างง่ายดาย ซึ่งบางทีสิ่งเหล่านี้อาจเป็นอุดมคติและความฝันของฉินหยูและความคงอยู่และการมีตัวตนของเธอก็เป็นได้
เห็นได้ชัดเลยว่าฉินหยูกำลังรู้สึกท่วมท้นอยู่ภายในหัวใจของเธอเพราะเธอมีน้ำตาหยดลงมาบนใบหน้าที่เย็นชาเหมือนราชินีภูเขาน้ำแข็งของเธอ จากนั้นเธอก็ยิ้มอย่างแผ่วเบาและพูดว่า “เธอจะอยู่ไม่ได้ถ้าหากฉันไปน่ะหรอ..เธอไม่เห็นด้วยกับฉันงั้นหรอ”
เย่เชียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และพยักหน้าจากนั้นก็พูดว่า “ใช่ผมทนไม่ได้..ฉินหยู! ..ผมรักคุณ!”
ร่างกายของฉินหยูสั่นไปทั้งตัวเพราะเธอรอคำพูดเหล่านี้มาตั้งเนิ่นนานแล้ว “แล้วโรวโร่วล่ะ! ..ห๊ะ! ..แล้วโรวโร่วล่ะ?” ฉินหยูถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นคลอน
เย่เชียนก็คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกันเพราะที่จริงเขานั้นรักหลินโรวโร่วอย่างสุดซึ้ง แต่ทว่าเขาเองก็รักฉินหยูอย่างหมดหัวใจด้วย ดั่งคำพูดที่หลี่เหว่ยเคยพูดเอาไว้ว่าเย่เชียนนั้นเป็นคนที่หลงใหลและลุ่มหลงในความรัก ซึ่งมันก็เป็นเรื่องจริงเพราะเย่เชียนนั้นหลงใหลในความรักมาเสมอแต่ที่ไม่เหมือนใครก็คือเย่เชียนนั้นรักพวกเธอจากใจจริง
เมื่อเห็นว่าเย่เชียนนั้นไม่ได้พูดอะไรต่อฉินหยูก็ยิ้มอย่างขมขื่น ซึ่งในความเป็นจริงแล้วฉินหยูนั้นรู้ดีว่าหลินโรวโร่วครอบครองตำแหน่งที่สำคัญที่สุดในหัวใจของเย่เชียน แต่ทว่าอย่างไรก็ตามแล้วเธอก็มีความสุขอย่างมากที่เย่เชียนสามารถพูดว่ารักเธอแบบนี้ได้ เพราะเมื่อเธอรู้ตัวว่าเธอหลงรักเย่เชียนเข้าแล้วและเธอก็รู้ว่าเย่เชียนมีแฟนแล้วในเวลาเดียวกันแต่เธอก็ยังตกหลุมรักเย่เชียนโดยไม่ลังเลใจใดๆ เพราะในใจของฉินหยูนั้นเธอไม่ได้คัดค้านที่เย่เชียนจะมีผู้หญิงคนอื่น ซึ่งบางทีเรื่องแบบนี้อาจเป็นเพราะสภาพแวดล้อมการเติบโตมาในครอบครัวของเธอเพราะพ่อของเธอมีภรรยาถึงสองคน ซึ่งพวกเขาทั้งหมดก็สามารถมีความรักและความสุขกันในครอบครัวได้อย่างเท่าเทียมกัน
เพราะไม่ว่าพวกผู้หญิงจะเข้มแข็งสักแค่ไหนแต่พวกเธอก็มีด้านที่เปราะบางและอ่อนไหวของตัวเองเช่นกัน โดยเฉพาะต่อหน้าชายอันเป็นที่รักพวกเธอแล้วพวกเธอก็ไม่สามารถควบคุมความเปราะบางและความอ่อนไหวของพวกเธอได้เลย และแล้วฉินหยูก็โน้มหัวของเธอวางเอาไว้บนไหล่ของเย่เชียนและพึมพำว่า “เย่เชียน..ฉันไม่สนว่าเธอจะมีผู้หญิงกี่คน..เพราะตราบใดที่เธอยังมีฉันอยู่ในหัวใจ..แค่นี้ฉันก็มีความสุขมากแล้ว”
เย่เชียนก็ไม่สามารถอดทนต่อความคิดภายในใจของเขาได้อีกต่อไปเขาจึงโอบหลังของเย่เชียนเบาๆ แล้วลูบหลังของเธอเบาๆ เพราะเขาไม่รู้จะพูดอะไรดีเขาแค่คิดว่าเขานั้นโชคดีและมีความสุขแค่ไหนแล้วที่ได้รับความรักจากผู้หญิงดีๆ อย่างหลินโรวโร่วและได้รับความรักจากผู้หญิงดีๆ อย่างฉินหยู
“การเป็นครูบาอาจารย์น่ะเป็นความฝันของฉันมาโดยตลอด..นอกจากนี้ฉันเองก็เหมาะสมที่จะไปยังพื้นที่ภูเขาอันห่างไกลเพื่อสนับสนุนการศึกษาของคนแถวนั้น..ฉันรู้ดีว่าเธอจะคอยสนับสนุนและเป็นกำลังใจฉันใช่มั้ย..เพราะฉันรู้ว่าเธอเองก็เข้าใจเด็กๆ ที่ต้องทนทุกข์และทรมานเหล่านั้น” ฉินหยูพูดเบาๆ อย่างอ่อนโยน ใครกันที่บอกว่าฉินหยูเป็นราชีนีแห่งภูเขาน้ำแข็ง เพราะเธอมีจิตใจที่โอบอ้อมอารีและจิตใจที่เลิศประเสริฐยิ่งอย่างมาก
เย่เชียนพยักหน้าเบาๆ และพูดว่า “ถ้างั้นคุณก็ต้องดูแลตัวเองด้วยนะ..” นอกเหนือจากคำเหล่านี้แล้วเย่เชียนก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะพูดอย่างไรดี และถึงแม้ว่าเขาจะไม่เต็มใจและไม่อยากให้เธอไปก็ตาม แต่เขาก็ไม่สามารถกีดกันผู้หญิงที่รักตัวเองและตัวเองรักได้อย่างสุดซึ้งและเพราะผู้หญิงที่เขารักนั้นมีสิทธิ์ที่จะใฝ่ฝันในสิ่งที่พวกเธอต้องการ
“เย่เชียน! ..ฉันอยาก…” ฉินหยูเงยหน้าขึ้นมองเย่เชียนอย่างคาดหวังซึ่งแก้มของเธอก็เริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมีคำบอกใบ้แห่งความคาดหวังและความต้องการและความสุขอยู่ภายในดวงตาของเธอ
เย่เชียนไม่ได้ตอบอะไรใดๆ เพียงแค่ยกคางของฉินหยูขึ้นและจูบเธอ จากนั้นทั้งสองก็เริ่มถอดเสื้อผ้าของกันและกันอย่างนุ่มนวลและอ่อนโยน หลังจากนั้นภายในบ้านทั้งบ้านก็เต็มไปด้วยเสียงครวญครางอันเร้าใจของผู้หญิงและกลิ่นหอมของเธอก็ลอยฟุ้งไปทั่วบ้านจนผู้คนไม่สามารถที่จะจินตนาการได้เลย
…..
หากวันหนึ่งฉันจากคุณไป..ได้โปรดอย่าร้องไห้เพราะฉันจะรักคุณตลอดไป
..
หากวันหนึ่งคุณตื่นขึ้นมาและไม่เห็นฉัน..ได้โปรดอย่าเสียใจเพราะฉันจะคิดถึงคุณอยู่ห่างๆ เสมอ
..
หากวันหนึ่งคุณคิดถึงฉันในทันใด..ได้โปรดอย่าโศกเศร้าเพราะดวงจันทร์บนท้องฟ้าคือฉันที่ส่องสว่างถึงคุณ
..
หากปราศจากความโศกเศร้าจากการพรากจากกัน..แล้วความสุขของการกลับมาหากันมันจะเป็นอย่างไร!
เมื่อเย่เชียนตื่นขึ้นมาในตอนเช้าฉินหยูก็ไม่ได้อยู่เคียงข้างเขาอีกต่อไปและมีโน้ตทิ้งเอาไว้โดยฉินหยูที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงว่า “มีอาหารเช้าอยู่ในครัวนะ..ถ้าตื่นแล้วก็อุ่นให้ร้อนด้วย! ..จากฉินหยู!”
เย่เชียนยิ้มเล็กยิ้มน้อยและเต็มไปด้วยความสุขจนเขาเหยียดตัวออกอย่างเกียจคร้านและเย่เชียนก็ยังคงนอนลงต่อโดยกอดหมอนของฉินหยูเอาไว้เพราะดูเหมือนว่าจะมีกลิ่นกายของฉินหยูหลงเหลืออยู่ซึ่งทำให้เขาตกอยู่ในภวังค์อีกครั้ง
เมื่อกอดหมอนอย่างมีความสุขและลุกขึ้นนั่งจากนั้นก็เปิดจดหมายที่จ้าวหยาทิ้งเอาไว้ให้เขา
“เย่เชียน! ..ฉันกำลังจะไปเรียนต่อที่ประเทศฝรั่งเศส..เพราะฉันสัญญากับนายเอาไว้แล้วว่าฉันจะต้องกลายเป็นคนที่สามารถสนับสนุนนายได้เหมือนอาเจ๊หยู..และนี่ก็คือความฝันของและจุดมุ่งหมายของฉัน! ..นายยังจำครั้งแรกที่เราพบกันได้มั้ย? ..ตอนนั้นนายโกหกฉันว่านายเป็นคนที่พ่อของฉันหมั่นให้กับฉัน! ..ตอนนั้นเขาคนนั้นน่ะดูเหมือนนักเลง..และถึงแม้ว่าฉันจะโกรธและไม่สบอารมณ์อยู่เสมอก็ตาม..แต่ฉันก็ไม่สามารถอดกลั้นความสุขที่อยู่ในหัวใจของฉันได้เลย..ฉันรักนายมาตลอด..แต่ฉันไม่ได้อยากแต่งงานกับนายแบบนั้น..ฉันไม่ชอบที่ถูกผู้ชายไล่ตามจีบ..นายเองก็ไม่ได้ชอบแบบนั้นใช่มั้ยล่ะ..นายจำได้มั้ยตอนที่ฉันกัดแขนของนายน่ะ..ตอนนั้นน่ะฉันคิดว่าฉันจะเป็นคนที่สลักฉันเอาไว้ในร่างกายและในหัวใจของนายเอง..แต่ฉันไม่คิดเลยว่ามันจะกลายเป็นนายเองที่สลักเอาไว้และตราตรงอยู่ในหัวใจของฉันแทน…”
“หลังจากเหตุการณ์ต่างๆ ในเมืองหนานจิงจู่ๆ ฉันก็รู้สึกสูญเสียตัวตนของฉันไป..แต่ฉันก็ได้พบเป้าหมายของฉันแล้ว..พ่อของฉันเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมากและในฐานะลูกสาวของเขาฉันก็ไม่ควรทำให้เขาผิดหวัง..ฉันจึงเลือกไปเรียนต่อที่ประเทศฝรั่งเศส..ฉันก็แค่อยากต่อสู้เพื่อเป้าหมายของฉัน..และฉันก็เชื่อว่านายคงจะสนับสนุนฉันด้วยใช่มั้ยล่ะ..ถึงแม้ว่านายจะไม่เคยพูดและถึงแม้ว่าฉันจะคิดไปเองก็เถอะ..แต่ฉันก็คิดมาเสมอว่านายก็รักฉัน..”
“นายจำตอนที่นายแบกฉันลงมาจากภูเขาสีม่วงได้มั้ย..ฉันน่ะคิดว่านั่นคือสิ่งที่ฉันจะจดจำไปตลอดชีวิต..การได้ขี่หลังของนายน่ะฉันรู้สึกเลยว่าฉันเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดในโลกแล้ว..หลังของนายน่ะทั้งกว้างและอบอุ่นและมันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนนายห่วงใยและรักฉัน”
“ฉันตัดสินใจแล้ว..แต่นายก็ไม่ต้องห่วงฉันหรอกนะ..และถ้านายคิดถึงฉันล่ะก็..นายก็แค่นึกถึงช่วงเวลาที่เราอยู่ด้วยกันน่ะ..ฉันเองก็คิดว่าถึงแม้ว่าฉันจะอยู่ห่างไกลก็ตาม..แต่ฉันก็สัมผัสได้ถึงความคิดของนาย..ในครั้งนี้น่ะฉันไม่รู้ว่าฉันจะต้องจากไปอีกนานแค่ไหน..แต่ไม่ว่ามันจะนานแค่ไหนฉันก็จะจดจำนายและคิดถึงนายตลอดไป..และนายเองก็ต้องจำเอาไว้ด้วยนะว่ายังมีผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ห่างไกลที่กำลังคิดถึงนายอยู่อย่างเงียบๆ คนนี้”
“เย่เชียน! ..เมื่อเราได้พบกันอีกครั้งฉันหวังว่าทุกอย่างมันจะเปลี่ยนไปจากเดิม..ฉันหวังว่าเมื่อถึงตอนนั้นเราจะกอดกันและร้องไห้ด้วยกันและสัมผัสถึงความอบอุ่นของกันและกันได้นะ”
“รักนะ…จากจ้าวหยา!”
เย่เชียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และค่อยๆ พับจดหมายเก็บเอาไว้ เย่เชียนรู้สึกถึงความรู้สึกที่สั่นคลอนที่พุ่งเข้ามาอย่างไม่หยุด ยั้งทั้งความสุข..เศร้าโศก..ซาบซึ้ง..โหยหา..คิดถึง..ห่วงใย..สมองทั้งหมดปั่นป่วนด้วยความรู้สึกที่หลากหลายของจดหมายจากจ้าวหยาและเหมือนดั่งมีดที่เฉือนหัวใจของเย่เชียนและแกะสลักร่างของเธอเอาไว้ในหัวใจของเขา ช่วงเวลาหนึ่งเศษเสี้ยวของอดีตก็พุ่งทะยานขึ้นราวกับกระแสน้ำที่กระทบหัวใจของเย่เชียน
เย่เชียนเก็บจดหมายลงในซองจดหมายอย่างช้าๆ จากนั้นก็วางเอาไว้ในลิ้นชักและเมื่อไหร่ที่เขานึกถึงจ้าวหยาเขาก็จะหยิบมันออกมาดู และความรู้สึกในหัวใจของเย่เชียนนั้นก็ไม่สามารถบรรยายมันออกมาเป็นคำพูดใดๆ ได้เลย…
.
.
.
.
.
.
.