ที่ทางเข้าหน้าประตูหวังฮุ่ยนำพนักงานและผู้จัดการของบริษัทออกมาต้อนรับโดยยืนแบ่งเป็นสองแถวที่ล็อบบี้ด้านหน้าราวกับว่าเขากำลังต้อนรับผู้นำจากส่วนกลางเพื่อลงพื้นที่ตรวจสอบ
รถขับตรงเข้าไปในลานจอดภายในของโรงงานซึ่งมีรถฮอนด้าคันหนึ่งจอดอยู่ในโรงงานซึ่งเย่เชียนก็เชื่อว่ารถคันนี้น่าจะเป็นรถของหวังฮุ่ย เมื่อคิดเช่นนั้นเย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและจอดรถไว้ด้านหลังรถของหวังฮุ่ย ซึ่งเสี่ยวอิ๋งที่นั่งอยู่จ้างๆ ก็ถึงกับผงะไปชั่วขณะและเธอก็จ้องมองไปเย่เชียนด้วยความประหลาดใจเพราะเธอเห็นว่าเย่เชียนนั้นมีรอยยิ้มที่กำลังยิ้มอย่างซุกซุนอย่างมากบนใบของเขา
หวังฮุ่ยก็ตกตะลึงเช่นกันเพราะเขาไม่เข้าใจว่าที่จอดรถมีพื้นที่ตั้งกว้างขวางแต่ทำไมพวกเขาถึงต้องมาจอดที่ด้านหลังรถของตัวเอง อย่างไรก็ตามที่แห่งนี้ก็เป็นพื้นที่ของเขาและใครก็ไม่สามารถที่จะมารุกรานพวกเขาได้ไม่เช่นนั้นโรงงานแห่งนี้จะอยู่รอดในเมืองเซี่ยงไฮ้จนถึงตอนนี้ได้อย่างไร?
ประตูรถถูกเปิดออกและเย่เชียนกับเสี่ยวอิ๋งและหนักงานหญิงจากแผนกธุรกิจที่มากับพวกเขาก็ได้ลงจากรถทีละคนและหวังฮุ่ยก็รีบเข้าไปทักทายพวกเขา และเมื่อหวังฮุ่ยเดินไปที่ด้านหน้าของเสี่ยวอิ๋งแล้วหวังฮุ่ยก็แสดงรอยยิ้มที่ประจบประแจงและพูดว่า “ยินดีต้อนรับทุกคนที่ทำเพื่อองค์กร” ในขณะที่พูดเขาก็เหลือบมองไปที่ด้านข้างของเย่เชียนโดยไม่รู้ตัวและเขาก็พบพนักงานจากแผนกธุรกิจที่ยืนเรียงกันอย่างเห็นได้ชัดและนอกจากนี้เขายังเห็นว่าเสี่ยวอิ๋งดูเหมือนจะเคารพชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ เธออย่างมาก
“คุณหวังคะ..คุณกำลังทำอะไรอยู่..รีบให้คนงานกลับไปทำงานเถอะค่ะ..วันนี้เรามาที่นี่เพื่อตรวจสอบโรงงานของคุณเป็นหลัก..ถ้าคนงานไม่ได้ทำงานแล้วเราจะตรวจสอบอะไรได้ล่ะ?” ใบหน้าของเสี่ยวอิ๋งจริงจังขึ้นเล็กน้อยและด้วยรูปลักษณ์ที่เข้มงวดของเธอนั้นก็ทำให้หวังฮุ่ยหวั่นเกรงอยู่เล็กน้อย
“เอ่อ..ได้ๆ ..ฉันจะให้คนงานไปทำงานเดี๋ยวนี้แหละ..” หวังฮุ่ยพูดอย่างเร่งรีบและประหม่า
เสี่ยวอิ๋งก็พยักหน้าเล็กน้อยและพูดว่า “เอาล่ะ..ทีนี้คุณก็ไปนำเอกสารรับรองของบริษัทของคุณออกมาให้เรา..เพราะเราต้องตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ด้วย” ในขณะที่เธอพูดเธอก็หันและเดินไปที่สำนักงานชั้นบน ส่วนหวังฮุ่ยก็ได้แต่เดินตามหลังเธอไปอย่างนอบน้อม
หวังฮุ่ยที่ดูเหมือนสุนัขรับใช้ต่อหน้าคนเหล่านี้นั้นและเมื่อเย่เชียนเห็นเขาเป็นเช่นนี้เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเล็กน้อย แต่ในใจของเขานั้นก็ไม่ได้มีความเห็นอกเห็นใจอะไรมากนักเพราะถ้าหวังฮุ่ยได้เข้าใจถึงความยากลำบากในชีวิตและได้รู้ว่าเมื่อตัวเองนั้นถูกดูถูกเมื่อต้องเผชิญหน้ากับลูกค้าแล้วเขาก็จะได้รู้ซึ้งเสียทีว่าเขาไม่ควรปฏิบัติต่อพนักงานของเขาอย่างรุนแรงแบบที่ผ่านๆ มาเลย
เมื่อเหล่าพนักงานในโรงงานเห็นท่าทางของหวังฮุ่ยแล้วพวกเขาเหล่านั้นก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสายตาที่ดูพึงพอใจอย่างมาก และพวกเขาต่างก็แอบมีความสุขกันอยู่อย่างลับๆ
เมื่อพวกเขานั่งลงในห้องประชุมของโรงงานแล้วเย่เชียนก็เดินออกไปทันที จึงทำให้หวังฮุ่ยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยแต่เขาก็ไม่กล้าที่จะถาม เขาเพียงหยิบเอกสารทั้งหมดที่เตรียมเอาไว้ก่อนหน้านี้และส่งให้เสี่ยวอิ๋งที่รออยู่ “คุณไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่หรอก..คุณไปทำงานของคุณเถอะ..เดี๋ยวเราจะเรียกคุณเองถ้าหากเรามีคำถามใดๆ” เสี่ยวอิ๋งพูด
หวังฮุ่ยพยักหน้าซ้ำๆ และพูดว่า “เอ่อคือ..เมื่อกี้ใช่เพื่อนร่วมงานในแผนกธุรกิจของคุณหรือเปล่า?”
เสี่ยวอิ๋งแน่นิ่งไปครู่หนึ่งและพูดว่า “คุณกำลังพูดถึงคุณเย่ใช่หรือเปล่า? ..ที่เขามาวันนี้ก็เพื่อตรวจสอบทั่วไปน่ะ..คุณไม่จำเป็นต้องต้อนรับเราเป็นพิเศษหรอก..ไปทำงานของคุณเถอะค่ะ”
“อ่อได้ๆ! ..เชิญพวกคุณตรวจสอบได้เลย” หวังฮุ่ยพยักหน้าซ้ำๆ จากนั้นเขาก็หันและเดินออกจากห้องประชุมไป
เย่เชียนเดินชมโรงงานในแผนกต่างๆ ของโรงงานซึ่งไม่มีเพื่อนร่วมงานของเขาในสมัยก่อนเลยมันมีแต่พนักงานหน้าใหม่ๆ เรื่องบุคลากรนั้นไม่ใช่สิ่งที่หัวหน้าที่มีเพียงแค่ความสามารถในการทำธุรกิจจะสามารถได้รับการสนับสนุนและความภักดีของบุคลากรอย่างแน่นอน ซึ่งคนอย่างหวังฮุ่ยก็คงจะไม่มีพนักงานที่พร้อมจะยืนหยัดทำงานให้เขาไปตลอดอย่างแน่นอนและนั่นก็คือความจริง
หลังจากเดินดูไปรอบๆ โรงงานแล้วเย่เชียนก็กลับไปที่ห้องประชุมและเห็นเสี่ยวอิ๋งกับพนักงานสาวแผนกธุรกิจอีกสี่คนกำลังดูเอกสารรับรองและข้อมูลต่างๆ ของโรงงานอย่างใจจดใจจ่อและถี่ถ้วน ซึ่งเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวเล็กน้อยเพราะถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้เลยก็ตาม แต่จากประสบการณ์ที่เขาเคยทำงานในโรงงานแห่งนี้มาก่อนนั้นเขารู้ดีว่าโรงงานผลิตเหล่านี้มักจะทำข้อมูลปลอมๆ เพื่อใช้อ้างอิงในการตรวจสอบซึ่งมันไม่สามารถนำไปใช้ได้อย่างจริงจังเลยแม้แต่น้อย
“พวกคุณไม่จำเป็นต้องไปอ่านมันหรอก..วางมันลงเถอะ..ข้อมูลพวกนี้มันเป็นของปลอม!” เย่เชียนพูด “ผมเพิ่งจะไปตรวจส่วนเวิร์กช็อปและโกดังมา..และมันก็มีช่องโหว่ในการบริหารจัดการอย่างมาก..ถึงผมจะไม่เข้าใจเรื่องของการจัดการธุรกิจต่างๆ ก็ตาม..แต่ผมก็เข้าใจถึงหัวอกของบุคลากรได้..คนงานเหล่านี้น่ะมีท่าทีเกียจคร้านและดูไม่มีชีวิตชีวากันเลย..เพราะงั้นผมก็ไม่มั่นใจว่าเขาจะรองรับคำสั่งซื้อจากเครือน่านฟ้ากรุ๊ปของเราได้อย่างไร”
เสี่ยวอิ๋งและพนักงานสาวคนอื่นๆ ก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปที่เย่เชียนด้วยความประหลาดใจ เย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “คุณไม่เชื่อผมหรอ..เหอะๆ..ด้วยความรู้และความสามารถระดับมืออาชีพของพวกคุณนั้นผมก็เชื่อว่าพวกคุณน่าจะเห็นร่องรอยความผิดปกติของข้อมูลในเอกสารเหล่านี้ได้..แต่ถึงยังไงก็ตามสิ่งเหล่านี้มันไม่ใช่ประเด็นสำคัญหรอก..เพราะที่สำคัญก็คือการผลิตของเราจะต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนและต้องไม่ปะปนไปกับของห่วยๆ”
เสี่ยวอิ๋งก็พยักหน้าด้วยเช่นกันเพราะอันที่จริงแล้วนอกจากโรงงานผลิตของบริษัทในเครือของตัวเองแล้ว เครือน่านฟ้ากรุ๊ปก็ยังมีโรงงานผลิตจากภายนอกอีกจำนวนมากและจะรับประกันได้อย่างไรว่าแต่ละแห่งจะมีการจัดการที่มีคุณสมบัติเหมาะสม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็เป็นช่องโหว่ของอุตสาหกรรมการผลิตของประเทศจีนเช่นกัน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเราต้องสามารถควบคุมคุณภาพของผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐานซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของผลิตภัณฑ์ทั้งหมด
หลังจากผ่านไปสักพักก็ถึงเวลาพักเที่ยงแล้วและหวังฮุ่ยก็เดินเข้ามาในห้องประชุมและพูดอย่างนอบน้อมว่า “คุณผู้จัดการทำไมเราไม่ไปพักทานข้าวเที่ยงกันก่อนล่ะ”
“ไม่! ..ให้ใครสักคนนำอาหารว่างมาให้พวกเราก็พอแล้ว” เย่เชียนพูด
หวังฮุ่ยก็ตกตะลึงไปชั่วขณะแต่เขาก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็นบุคลากรระดับสูงจากเครือน่านฟ้ากรุ๊ปและพวกเขาเหล่านี้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าบุคลากรจากองค์กรตรวจสอบคุณภาพ ISO เลย หวังฮุ่ยจึงพยักหน้าและโค้งคำนับสองสามครั้งก่อนจะถอยออกไป
คนเหล่านี้ล้วนเป็นบุคลากรที่สามารถตัดสินอนาคตของเขาได้เลยเพราะฉะนั้นหวังฮุ่ยก็ไม่สามารถที่จะทำให้พวกเขาขุ่นเคืองได้ ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะละเลยใดๆ ได้เลย และถึงแม้ว่าเย่เชียนจะบอกว่าแค่อาหารว่างและของรองท้องเพียงเท่านั้นก็ตาม แต่หวังฮุ่ยก็ไม่สามารถละเลยได้ ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ไม่กล้าที่จะปล่อยหน้าที่เหล่านี้ให้อยู่ในมือของลูกน้องของเขาได้เลย ดังนั้นเขาจึงต้องทำมันด้วยตัวเอง แต่เมื่อเขาเดินลงไปที่ชั้นล่างแล้วเขาก็ต้องตกตะลึงเพราะรถ Lamborghini ของเย่เชียนนั้นจอดอยู่ด้านหลังรถของเขาและรถของเขาก็ไม่สามารถถอยออกไปได้เลย
คนระดับนี้คงจะกินอาหารธรรมดาๆ ตามข้างทางไม่ได้อย่างแน่นอน หวังฮุ่ยจึงถอนหายใจและเรียกรถแท็กซี่ไปยังโรงแรมใกล้ๆ
หลังจากรับประทานอาหารกลางวันแบบเรียบง่ายแล้วเสี่ยวอิ๋งและคนอื่นๆ ก็ไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลอีกเลยและหวังฮุ่ยก็สั่งให้ผู้จัดการโรงงานพาพวกเขาไปตรวจสอบเชิงปฏิบัติการ ส่วนเย่เชียนก็เดินเข้าไปในออฟฟิศของหวังฮุ่ยและเมื่อเห็นเย่เชียนเข้ามาหวังฮุ่ยก็ลุกขึ้นยืนอย่างเร่งรีบและพยักหน้าและโค้งคำนับทักทาย
ขณะที่เย่เชียนนั่งลงบนโซฟาแล้วเขาก็พูดว่า “คุณหวัง..เศรษฐกิจก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ..และยุครุ่งเรืองของประเทศจีนก็ใกล้เข้ามาแล้ว”
มีความคาดหวังและความกังวลเผยอยู่บนใบหน้าของหวังฮุ่ยในทันทีและเขาก็ยิ้มอย่างเชื่องช้าและพูดว่า “ฉันต้องการให้คุณช่วยฉันอย่างมากเลย..สำหรับการเพิ่มคำสั่งซื้อน่ะ”
เย่เชียนหยิบบุหรี่ขึ้นมาและคาบเข้าปากส่วนหวังฮุ่ยก็หยิบไฟแช๊กขึ้นมาเพื่อจะจุดให้แต่ทว่าเย่เชียนก็ไม่ได้สนใจเขาและหยิบไฟแช๊กของตัวเองออกมาจากกระเป๋าเสื้อ “ฟู่..” เย่เชียนก็จุดไฟบุหรี่ของเขาเองและพูดว่า “คุณหวัง..คุณยังจำผมได้มั้ย?”
หวังฮุ่ยมองไปที่เย่เชียนด้วยความประหลาดใจและส่ายหัวอย่างว่างเปล่าและพูดว่า “ขอโทษที..เราเคยเจอกันแล้วหรือ”
เย่เชียนยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “ก็แปดปีที่แล้วผมเป็นลูกจ้างพาร์ทไทม์ของคุณหวังไง..ขอบคุณจริงๆ ที่คุณหวังมีน้ำใจในตอนนั้น..ไม่งั้นผมก็คงจะไม่มีวันนี้”
หวังฮุ่ยถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะและเขาก็อดไม่ได้ที่จะเริ่มกระวนกระวายอย่างมากเพราะเขารู้ดีว่าเขานั้นปฏิบัติต่อผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างไรมาโดยตลอด ซึ่งเขาก็รู้ดีว่าคำพูดของเย่เชียนนั้นเป็นการประชดประชันตัวเองอย่างเห็นได้ชัด แต่เขาก็จำไม่ได้ว่าเย่เชียนเคยทำงานในโรงงานของเขาเมื่อใด
“ฮ่าฮ่า..ผมยังจำได้เลยว่าเงินเดือนในตอนนั้นมันแค่เดือนละ 700 หยวนเอง..และถ้าหักค่าอาหารและค่าที่พักแล้วเดือนๆ นึงก็เหลือแค่ 200 หยวนเอง..ผมยังจำได้ดีเลยว่าคุณหวังปฏิบัติกับผมในตอนนั้นยังไง” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้ม “ตอนที่ผมทำงานผิดพลาดเพียงแค่ครั้งเดียวน่ะ..ตอนที่ผมไม่ได้นำวัตถุดิบที่สั่งซื้อจากโรงงานกลับมาได้ทันเวลาและตามกำหนดตารางของเวลา..ยังไงก็เถอะผมอุตส่าห์ทำงานนอกเวลาชดใช้เนื่องจากคุณหวังสั่งอย่างนั้นผมก็ต้องทำหลัง..และหลังจากนั้นถึงแม้ว่าผมจะทำทุกอย่างได้ทีและไม่มีความล่าช้าในสิ่งต่างๆ เลย..ผมก็ยังจำสิ่งที่คุณหวังพูดกับผมได้เสมอ..ซึ่งในตอนนั้นคุณชี้มาที่หน้าของผมว่า..เอ็งเป็นแค่คนที่ถูกกำหนดให้ได้ค่าจ้างขั้นต่ำที่สุดในสังคม..และเอ็งจะไม่สามารถพลิกชีวิตทั้งชีวิตของเอ็งได้..เอ็งถูกกำหนดให้เป็นได้แค่ลูกจ้างเท่านั้น”
“ฉัน …” หวังฮุ่ยกำลังจะพูดบางอย่างแต่เย่เชียนโบกมือเพื่อขัดเขาเอาไว้และเย่เชียนก็พูดต่อไปว่า “อันที่จริงจุดประสงค์ในการทำงานก็คือหาเงินเลี้ยงชีพ..เจ้านายอย่างคุณก็ควรที่จะสนับสนุนและอย่างน้อยๆ ก็ไม่เอาเปรียบพวกเรา..แต่กลับดูถูกพวกเราและยังมีความภาคภูมิใจในตัวเองอีก..หลังจากนั้นมาผมก็สาบานกับตัวเองเอาไว้ว่าเมื่อไหร่ที่ผมเป็นใหญ่เป็นโตผมจะทำให้ทุกคนที่ดูถูกผมต้องชดใช้และให้ผมตัดสินชีวิตและความตายของพวกเขา..และตอนนี้ผมก็ทำมันได้สำเร็จแล้ว..ในอดีตผมที่ไม่สามารถไต่เต้าเป็นราชาได้..แต่ในตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างมันอยู่ในกำมือของผมแล้ว..คุณคิดว่าผมควรจะขอบคุณสำหรับความอัปยศครั้งใหญ่ที่คุณมอบให้ในตอนนั้นหรือเปล่าล่ะ?”
หวังฮุ่ยถอนหายใจเฮือกใหญ่เพราะหลังจากที่เขาทำงานหนักมานานหลายปีเพื่อแสวงหาความมั่งคั่งนั้นเขาไม่เพียงแค่สูญเสียการสนับสนุนที่และความภักดีของผู้ใต้บังคับบัญชาเท่านั้นแต่เขาต้องยังสูญเสียความไว้วางใจจากญาติของเขาทั้งหมดอีก เพราะมีญาติของเขามากมายที่ทำงานอยู่ในโรงงานแห่งนี้ แต่พวกเขาต่างก็โดนดูถูกและดูหมิ่นการกระทำของเขา และแล้วในตอนนี้เขากลับสิ้นหวังเพราะเขาก็รู้ดีว่าถ้าหากไม่มีคำสั่งซื้อจากเครือน่านฟ้ากรุ๊ปแล้วล่ะก็ถึงแม้ว่าโรงงานจะไม่ล้มละลายก็ตาม แต่กำไรต่อปีก็จะน้อยลงอย่างมากและที่สำคัญไปกว่านั้นคือถ้าหากเย่เชียนต้องการที่จะตอบโต้เขาแล้วล่ะก็เขากลัวว่าเขาจะไม่สามารถอยู่ในเซี่ยงไฮ้ได้อีกต่อไป
“คุณต้องนึกถึงใจเขาใจเราสิ..เพราะลูกจ้างก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน..แต่คุณไม่เคยปฏิบัติต่อพวกเขาในฐานะมนุษย์เลย..คุณหวังที่เป็นดั่งหัวหน้าที่ประสบความสำเร็จแล้วก็ไม่ควรทำ..คุณไม่คิดอย่างงั้นเหรอ?” เย่เชียนพูด
“ใช่ใช่!” หวังฮุ่ยพยักหน้าและตอบกลับอย่างกระวนกระวาย
.
.
.
.
.
.