ตอนที่ 274 อนาคตของเด็กน้อย
เมื่อเย่เชียนมาถึงบ้านของจีเมิงฉิงแล้วเขาก็เห็นจีเมิงฉิงนอนเปลือยอยู่ในอ่างอาบน้ำและมีบาดแผลที่ข้อมืออย่างลึกและตัวเธอก็แข็งทื่อซึ่งน้ำในอ่างน้ำก็เต็มไปด้วยเลือด เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างว่างเปล่าและรีบไปตรวจชีพจรของจีเมิงฉิงแต่ก็ไม่มีชีพจรการเต้นของหัวใจเลย
เบงเบ็งก็สั่นไปหมดทั้งตัวพร้อมกับน้ำตาบนใบหน้าของเด็กน้อยที่น่าสงสารคนนี้เพราะเธอได้เห็นภาพและเหตุการณ์เหล่านี้ด้วยตาของเธอเองและเย่เชียนก็กลัวว่ามันจะส่งผลกระทบต่อจิตใจของเธออย่างมากในอนาคต ดังนั้นเย่เชียนจึงค่อยๆ กอดเบงเบ็งเอาไว้แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วโทรไปที่สถานณาปนกิจศพและโรงพยาบาล
“พี่ชายคะ..แม่เขาเป็นอะไรหรอคะ..แม่เขาจะตื่นขึ้นมามั้ย?” เสียงเล็กๆ ของเบงเบ็งนั้นเต็มไปด้วยความตกใจและเสียใจเพราะกลัวว่าเธอจะต้องสูญเสียคนที่เธอรักไป
เย่เชียนก็ไม่รู้วิธีปลอบใจเด็กที่น่าสงสารเช่นนี้เขาเพียงอุ้มเธอขึ้นมาแล้วพูดว่า “แม่ของหนูไปอีกโลกนึงแล้วนะ..มันไม่มีความเจ็บปวดหรือความเศร้าที่นั่นเลย..มันมีแต่ความสุขและความสบาย”
เบงเบ็งไม่สามารถเข้าใจในสิ่งที่เย่เชียนพูดได้เธอเพียงกะพริบตาและเบิกตากว้างและจ้องมองไปที่เย่เชียนด้วยความสงสัยว่ามันจะเป็นโลกแบบไหนกัน เห็นได้ชัดเลยว่าเธอนั้นไม่รู้อะไรเลยเพราะมันมีเพียงแค่ความว่างเปล่าเมื่อผู้คนเสียชีวิตและไม่มีโลกใดๆ อื่นทั้งสิ้น
เย่เชียนเดินเข้าไปในห้องนอนและพบจดหมายฉบับหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งซึ่งมันเป็นจดหมายลาตาย และเมื่อเป็นเช่นนี้แม้แต่ร่องรอยของความเห็นอกเห็นใจและความสงสารครั้งสุดท้ายของเย่เชียนที่มีต่อจีเมิงฉิงก็หายไปในทันทีหลังจากที่เย่เชียนเห็นจดหมายลาตายฉบับนี้ เพราะไม่ว่าจะลำบากหรือจนตรอกสักแค่ไหนและไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามแต่ในฐานะที่จีเมิงฉิงเป็นแม่ของเบงเบ็งแล้วเธอก็ไม่ควรที่จะเลือกจุดจบเช่นนี้เลย การทิ้งเด็กน้อยแบบนี้เอาไว้ในโลกแบบนี้แล้วเบงเบ็งจะต้องทรมานขนาดไหนที่ต้องถูกทิ้งเอาไว้ในโลกใบนี้เพียงลำพัง
เนื้อหาของจดหมายลาตายก็คือจีเมิงฉิงถูกผู้ชายคนนั้นหลอกลวงและทรัพย์สินทั้งหมดของเธอก็ตกไปอยู่ในกำมือของชายคนนั้นและเธอก็เสียใจอย่างมากและเธอก็ละอายใจตัวเองจนไม่อยากที่จะอยู่ในโลกนี้อีกต่อไปแล้ว ซึ่งเมื่อเห็นเช่นนี้ดวงตาของเย่เชียนก็ปะทุออกมาพร้อมกับเจตนาฆ่าและจิตสังหารที่รุนแรง เพราะถึงแม้ว่าจุดจบของจีเมิงฉิงจะถือได้ว่าเป็นการทำร้ายตัวเองและคิดสั้นเพียงเท่านั้นก็ตามแต่ผู้ชายคนนั้นก็ไม่สามารถให้อภัยได้เลยเพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับจีเมิงฉิงนั้นมันไม่ควรจะไปเป็นของใครก็ได้และไม่สามารถพรากจากเบงเบ็งไปได้
หลังจากนั้นไม่นานรถจากสถานฌาปนกิจงานศพก็มารับร่างของอันไร้วิญญาณของจีเมิงฉิงไป จากนั้นเย่เชียนก็จ้องมองไปที่เบงเบ็งและพูดว่า “เบงเบ็ง..หลังจากนี้หนูจะไปอยู่กับพี่ชายนะ..หนูตกลงมั้ย?”
เบงเบ็งกระพริบตาและมองไปที่เย่เชียนและถามว่า “แล้วคุณแม่ล่ะ..แม่จะไปอยู่กับพี่ชายด้วยมั้ย?”
เย่เชียนยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “แม่ไม่ได้มาอยู่กับพวกเราแล้ว..แม่เขาไปขึ้นสวรรค์แล้ว..และแม่เขาก็จะอยู่ที่นั่นเพื่อปกป้องเบงเบ็งไงล่ะ”
“แต่ว่า..หนูจะเจอแม่ได้ยังไงอ่า” เบงเบ็งพูดพร้อมกับดวงตาที่แดงก่ำพร้อมกับน้ำตาไหลรินออกมาอย่างไม่หยุดไม่หย่อน ซึ่งบางทีเด็กน้อยที่ฉลาดคนนี้อาจจะรู้แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เป็นเพราะเธอนั้นยังไม่เต็มใจที่จะยอมรับความจริงเช่นนี้
“ก็เมื่อไหร่ที่หนูคิดถึงแม่ของหนูล่ะก็..หนูก็แค่มองขึ้นไปบนท้องฟ้าในตอนกลางคืนเพราะนั่นก็คือดวงตาของแม่ที่กำลังคอยเฝ้าดูพวกเราอยู่นั่นเอง” เย่เชียนพูด ซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่าเขาเป็นคนที่โกหกไม่เก่งและเขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรเพื่อปลอบโยนเด็กที่น่าสงสารเช่นนี้
เบงเบ็งจ้องมองไปที่เย่เชียนในอ้อมแขนของเย่เชียนและในที่สุดร่างกายที่อ่อนแอของเด็น้อยก็ค่อยๆ หยุดสั่น ซึ่งบางทีอ้อมกอดของเย่เชียนนั้นสามารถทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยและทำให้เธอรู้สึกถึงความสุขที่เธอมีเหลืออยู่ “พี่ชายคะ..คือเบงเบ็งไม่มีพ่ออ่า..เบงเบ็งอยากมีพ่อ..ให้เบงเบ็งเรียกพี่ชายว่าพ่อได้มั้ยคะ” เบงเบ็งจ้องมองไปที่เย่เชียนด้วยความคาดหวังและพูด
เย่เชียนชะงักไปครู่หนึ่งและพูดว่า “ได้สิๆ ..และต่อจากนี้ไปในอนาคตจะไม่มีใครมารังแกหนูได้อีก”
“พ่อคะ!” เบงเบ็งตะโกนอย่างไพเราะและน่ารักซึ่งคำพูดนั้นก็ตื้นตันอย่างมากในหัวใจของเบงเบ็งและทำให้เย่เชียนรู้สึกถึงความรับผิดชอบอันใหญ่หลวง อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็ไม่ได้เสียใจเลยเพราะเด็กน้อยที่น่าสงสารคนนี้ควรจะมีอนาคตที่สดใสและมีความสุข และยิ่งไปกว่านั้นเย่เชียนก็ยังเชื่อว่าเขาสามารถสร้างเส้นทางที่รุ่งโรจน์และยอดเยี่ยมให้กับเบงเบ็งได้ อย่างไรก็ตามไม่ว่าอะไรจะเกิดอะไรขึ้นมันก็ไม่สามารถลบล้างความบอบช้ำทางจิตใจที่จีเมิงฉิงทำให้เบงเบ็งที่เธอมาล่วงลับต่อหน้าเบงเบ็งที่เป็นลูกสาวแท้ๆ ของตัวเอง
เย่เชียนยิ้มเล็กยิ้มน้อยและเดินจูงเบงเบ็งออกมาและทันทีที่ทั้งสองมาถึงหน้าประตูบ้านจู่ๆ ประตูก็ถูกผลักเปิดออกและพบชายวัยกลางคนเดินเข้ามาพร้อมกับหญิงสาววัยเยาว์ที่ทรงเสน่ห์ในอ้อมแขนของเขา ซึ่งชายคนนั้นก็คือคนที่เย่เชียนเห็นเมื่อครั้งที่แล้วที่มาพร้อมกับจีเมิงฉิง ซึ่งเมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็ขมวดคิ้วแน่นและเจตนาฆ่ากับจิตสังหารก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง
หญิงสาวผู้มีเสน่ห์จ้องมองไปที่เย่เชียนและเบงเบ็งจากนั้นเธอก็โน้มตัวไปกระซิบข้างหูของจางห่าวแล้วพูดว่า “คุณสามีคนพวกนี้เป็นใครกัน..คุณบอกว่าที่นี่เป็นบ้านของคุณไม่ใช่เหรอ?”
“ใช่สิ! ..นี่เป็นบ้านของฉัน..ฉันจะไล่พวกมันออกไปเดี๋ยวนี้แหละ” จางห่าวพูดและหลังจากพูดจบเขาก็เหลือบมองไปที่เย่เชียนอย่างดูถูกเหยียดหยามและพูดว่า “แกเป็นผู้ชายของยัยผู้หญิงนั่นเหรอ..ดี..พาไอ้เด็กนี่ไปซ่ะ..เพราะยัยผู้หญิงนั่นได้โอนทรัพย์สินทั้งหมดให้ฉันแล้วและรวมไปถึงฉโนดของบ้านหลังนี้ด้วยก่อนที่เธอจะตายน่ะ..เพราะงั้นฉันก็เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้แล้ว”
เย่เชียนก็ขมวดคิ้วและกำลังจะเอ่ยปากพูดบางอย่าง แต่ทว่าเบงเบ็งก็ปล่อยมือออกจากเย่เชียนและวิ่งเข้าไปหาจางห่าวและคว้าแขนของจางห่าวเอาไว้จากนั้นก็กัดลงไปอย่างดุเดือด ด้วยความเจ็บปวดจากการกัดของเบงเบ็งนั้นจางห่าวก็ได้สะบัดแขนอย่างรุนแรงและกำลังจะตบเบงเบ็งแต่ทว่าเย่เชียนก็ได้เตะจางห่าวไปอย่างรุนแรงจนกระเด็นออกจากประตูบ้านไปในทันที
“อ๊าย!” หญิงสาวผู้มีเสน่ห์ก็กรีดร้องพร้อมกับจ้องมองไปที่เย่เชียนด้วยความหวาดกลัวและพูดว่า “นี่คุณทำแบบนี้ได้ยังไง!” หลังจากพูดเสร็จเธอก็รีบวิ่งไปหาจางห่าวและช่วยพยุงเขาขึ้นมา
จางห่าวก็เดินเข้าไปหาเย่เชียนและพูดอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “นี่แกกล้าทำฉันงั้นเหรอ?”
เย่เชียนก็หัวเราะเยาะและพูดว่า “คิดและหนักตระหนักให้ดีก่อนเถอะว่าชีวิตของแกน่ะ..จะอยู่จนได้ใช้เงินพวกนั้นหรือเปล่า!” หลังจากพูดจบเย่เชียนก็อุ้มเบงเบงขึ้นมาและเดินออกไป เพราะท้ายที่สุดแล้วต่อหน้าของเบงเบ็งนั้นเย่เชียนไม่ต้องการให้เธอเห็นภาพที่นองเลือดเพราะมันจะไม่ดีต่อการเติบโตของเธอ
“พ่อคะ..เขาทำร้ายแม่หนูทุกวันเลย..เบงเบ็งเกลียดเขา” เมื่อเย่เชียนเดินออกไปนอกประตูบ้านแล้วแต่เบงเบ็งก็ยังคงหันกลับไปและจ้องเขม็งไปที่จางห่าวอย่างเดือดดาลซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่าเธอมีความเกลียดชังและเคียดแค้นอย่างมากในสายตาที่ไร้เดียงสาของเธอ ซึ่งเมื่อเย่เชียนเห็นเบงเบ็งแสดงออกแบบนี้แล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจอย่างมากพลางคิดว่า ‘นี่เธอเป็นเด็กอยู่หรือเปล่าเนี่ย?’ ซึ่งบางทีเด็กคนนี้อาจจะรู้แล้วว่าแม่ของเธอได้ตายไปแล้วและอาจจะรู้แล้วว่าแม่ของเธอต้องตายไปเพราะจางห่าวคนนั้น
จู่ๆ เย่เชียนก็รู้สึกได้ว่าในอนาคตนั้นเบงเบ็งคนนี้จะต้องคนที่ไม่ธรรมดาและต้องตกใจไปกับเธอในอนาคตอย่างแน่นอน
เย่เชียนกลับไปที่บ้านของซ่งหลันพร้อมกับเบงเบ็งแต่ทว่าซ่งหลันยังไม่ได้กลับมา เมื่อมาถึงแล้วเย่เชียนก็ยิ้มให้เบงเบ็งและพูดว่า “หนูดูทีวีไปก่อนนะ..ฉันจะไปทำอาหารก่อน”
เบงเบ็งเพียงพยักหน้าแต่ไม่ได้พูดอะไรใดๆ เพราะเธอยังคงมีความเกลียดชังและความโศกเศร้าอยู่ภายในดวงตาของเธอ
จากนั้นเย่เชียนแอบถอนหายใจอย่างเงียบๆ และเดินเข้าไปในห้องครัว
เป็นเวลาหกโมงเย็นซ่งหลันก็กลับมาที่บ้านและเธอก็เห็นเด็กน้อยคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นที่บ้านของเธอเองและเธอก็ตะลึงอย่างมาก จากนั้นซ่งหลันก็รีบถอดรองเท้าและเดินเข้าไปนั่งข้างๆ เบงเบ็งและซ่งหลันก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยแล้วพูดว่า “หนูน้อย..หนูชื่ออะไรจ๊ะ?”
เบงเบ็งกลอกตาไปมาและหันหน้าไปมองซ่งหลันแล้วถามกลับว่า “เบงเบ็งค่ะ..พี่สาวเป็นแฟนของคุณพ่อหรอคะ?”
“พ่อ?” ซ่งหลันถึงกับผงะไปชั่วขณะและถามด้วยความประหลาดใจว่า “พ่อของหนูคือใครหรอ”
“พี่หลันกลับมาแล้วหรอ..รอผมแปปนึง” เย่เชียนโผล่หัวออกมาจากห้องครัวและพูดด้วยรอยยิ้ม
ทันใดนั้นซ่งหลันก็ดูเหมือนจะเข้าใจแล้วว่าพ่อที่เด็กน้อยคนนี้หมายถึงก็คือเย่เชียนนั่นเอง แต่เย่เชียนจะไปมีลูกสาวที่โตแล้วแบบนี้ได้อย่างไรเขาไปมีตอนไหน? เพราะเย่เชียนนั้นอยู่ต่างประเทศมาโดยตลอดแล้วเขาจะไปมีลูกสาวชาวจีนได้อย่างไร? “แล้วหนูอยากให้พี่สาวเป็นแฟนของพ่อหนูหรือเปล่าล่ะจ๊ะ?” ซ่งหลันถามด้วยรอยยิ้ม
“พี่สาวสวยมากเลยค่ะ..ถ้าพี่สาวมาเป็นแม่เบงเบ็งจะชอบมาก” เบงเบ็งพูด
รอยยิ้มที่แสนมีความสุขแผ่กระจายไปทั่วใบหน้าของซ่งหลันและเธอก็ลูบหัวของเบงเบ็งแล้วพูดว่า “เบงเบ็งก็สวยมากเหมือนกันนะ” ผู้หญิงทุกคนบนโลกใบนี้นั้นต่างก็ชอบให้คนอื่นชมว่าตัวเองนั้นสวยและถึงแม้ว่าจะเป็นเด็กก็ตามเพราะสิ่งเหล่านี้สามารถทำให้พวกเธอมีความสุขอย่างมาก
เย่เชียนเตรียมอาหารมาอย่างรวดเร็วด้วยเซ็ตอาหารแคริบเบียนแท้ๆ และทั้งสามคนก็ร่วมรับประทานอาหารเย็นกันอย่างมีความสุขเหมือนครอบครัวอันแสนสุขสามคน
เย่เชียนนั้นไม่เคยเลี้ยงเด็กมาก่อนเลยแต่ทว่าเบงเบ็งนั้นก็เชื่อฟังและเป็นเด็กดีอย่างมากเพราะหลังจากกินข้าวเสร็จและนั่งฟังเพลงและดูการ์ตูนกันแล้วซ่งหลันก็พาเบงเบ็งไปอาบน้ำและหลังจากนั้นก็พาเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เข้านอนอย่างง่ายดาย หลังจากนั้นเย่เชียนและซ่งหลันก็นั่งกันอยู่ในห้องนั่งเล่นและเย่เชียนก็เล่าเรื่องเหล่านี้ให้ซ่งหลันฟัง ซึ่งหลังจากที่ซ่งหลันได้ฟังเรื่องราวแล้วเธอก็ถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆ และรู้สึกว่าเด็กน้อยเบงเบ็งคนนี้ช่างเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่น่าสงสารอย่างแท้จริง
เช้าวันรุ่งขึ้นจางห่าวถูกพบเป็นศพในบ้านของตัวเองและทรัพย์สินทั้งหมดที่เขาได้รับมาจากจีเมิงฉิงก็ได้ถูกฉีกสัญญาและถูกจดเป็นมรดกตกทอดให้แก่เบงเบ็งเมื่อเธออายุครบ 18 ปีและอยู่ในการเลี้ยงดูของเย่เชียน ซึ่งการตายของจางห่าวนั้นก็เหมือนกันกับจีเมิงฉิงอย่างสมบูรณ์เขานอนตายอยู่ในอ่างอาบน้ำและข้อมือของเขาก็มีบาดแผลลึกและเลือดไหลจนเสียชีวิต อย่างไรก็ตามแผนกสืบสวนอาชญากรรมก็ได้ตรวจและสืบสวนในสถานที่แล้วพบว่ามันไม่ใช่การฆ่าตัวตายแต่เป็นการฆาตกรรม แต่ทว่าพวกเขาก็ไม่ทราบแน่ชัดว่าฆาตกรนั้นคือใคร
หลังจากจัดการงานศพของจีเมิงฉิงแล้วเย่เชียนก็กลับไปที่บ้านพ่อของเขาพร้อมกับเบงเบ็งเพราะเย่เชียนยังคงต้องยุ่งอยู่กับเรื่องต่างๆ ส่วนซ่งหลันเองก็ยังต้องดูแลและจัดการเครือน่านฟ้ากรุ๊ปซึ่งทั้งสองนั้นก็ไม่มีเวลาดูแลเบงเบ็ง ซึ่งเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นจากการที่พ่อของเย่เชียนหวังที่จะได้อุ้มหลานมาโดยตลอดและในที่สุดเบงเบ็งก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมาจึงทำให้ชายชราคนหนึ่งผู้เป็นพ่อนั้นมีความสุขอย่างมากเมื่อได้เห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ และปากเล็กๆ ของเธอก็หวานมากและนิสัยดีเชื่อฟังอย่างนักรักน่าชังจนทำให้หัวใจของชายชราก็อิ่มเอมอย่างมาก ซึ่งหลังจากที่เย่เชียนได้เล่าประสบการณ์ชีวิตของเบงเบ็งให้พ่อฟังแล้วใบหน้าอันเหี่ยวย่นของพ่อก็เต็มไปด้วยความสงสารและเขาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ซึ่งเย่เชียนก้เชื่อมั่นว่าพ่อของเขาจะปฏิบัติต่อเบงเบ็งเหมือนกับหลานสาวแท้ๆ ของเขาเองและเหมือนกับที่เขาปฏิบัติกับเย่เชียนและพี่ๆ น้องๆ ของเขาในฐานะลูกๆ ของเขาเหมือนที่ผ่านมา
หลังจากนั้นเย่เชียนก็ได้ดำเนินการทำเรื่องขอเปลี่ยนชื่อของเธอและแล้วเบงเบ็งก็มีนามสกุลเดียวกันกับเย่เชียนและเธอก็มีชื่อใหม่ว่า ‘เย่หลิน’ และท้ายที่สุดแล้วอย่างไรก็ตามก็ไม่มีใครสามารถคาดคิดได้ว่าหลังจากผ่านไปสิบปีหรือยี่สิบปีนั้นเด็กผู้หญิงคนนี้ที่มีนามว่าเย่หลินจะกลายเป็นสุดยอดกุลสตรีที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองเซี่ยงไฮ้และทั้งธรรมะและอธรรมต่างก็ต้องเกรงกลัวเธอผู้นี้!
หลังจากจัดการกับเรื่องราวเหล่านี้แล้วเย่เชียนก็ได้ทุ่มพลังทั้งหมดเพื่อจัดการกับตงเซียงกรุ๊ป ซึ่งการดำเนินโครงการบูรณาการเมืองใหม่ของตงเซียงกรุ๊ปนั้นก็พบการต่อต้านและอุปสรรคอย่างมากเนื่องจากค่าธรรมเนียมการรื้อถอนและการตั้งถิ่นฐานใหม่นั้นทำให้ผู้อยู่อาศัยแต่เดิมต่างก็ไม่เต็มใจที่จะย้ายออกและทำให้งานรื้อถอนก็ตกอยู่ในภาวะชะงักงันชั่วขณะ
.
.
.
.
.
.
.