ตอนที่ 291 การฆ่าคือวิถีแห่งลูกผู้ชาย
เย่เชียนเองก็ไม่กล้าที่จะละเลยใดๆ เขาจึงรีบกินข้าวให้เสร็จแล้วลุกขึ้นยืนและเดินตามออกไป “อาจารย์! ..มีอะไรหรอครับ”
ก่อนที่เย่เชียนจะพูดจบหลินจินไท่ก็สวนเขากลับมาด้วยหมัดและเย่เชียนก็ตะลึงเล็กน้อยจากนั้นก็หลบหลีกหมัดของหลินจินไท่ ซึ่งเย่เชียนเองก็รู้ดีว่านี่คือสิ่งที่หลินจินไท่ที่ต้องการที่จะทดสอบทักษะและไหวพริบของเขาและเมื่อเป็นเช่นนี้เย่เชียนก็ไม่ลังเลใดๆ จึงรีบตั้งท่าและพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับหลินจินไท่
ส่วนหลินฟานเองก็ยืนอยู่ที่ประตูและกำลังเฝ้าดูเย่เชียนกับปู่ของเขาด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาและดวงตาของเขาก็กลอกไปมา เพราะหลินฟานนั้นถูกฝึกสอนศิลปะการต่อสู้โดยหลินจินไท่ตั้งแต่เขาอายุได้เพียงแค่ห้าขวบ ซึ่งเขานั้นก็มีทักษะการต่อสู้และความสามารถรอบด้านที่สูงมากและปัจจุบันก็สามารถบรรลุมวยปาจี๋ได้แล้ว อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่เคยเห็นการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมเท่าวันนี้มาก่อนเลยและตอนนี้เขาก็กำลังดูอยู่และจับจ้องและจดจำทุกท่วงท่าทักษะและทุกลีลาของการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายอย่างใจจดใจจ่อ
เย่เชียนนั้นก็รู้สึกได้ว่าการจู่โจมของหลินจินไท่นั้นกำลังรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และหมัดของหลินจินไท่ก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน ซึ่งทำให้เย่เชียนแอบตกใจเลยเพราะดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งของอาจารย์ของเขานั้นนับวันจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่เรียกว่ากำลังภายในนั้นเป็นแบบส่วนหนึ่งของการฝึกฝนพลังปราณซึ่งมันปลูกฝังพลังปราณเอาไว้ในร่างกายของมนุษย์ ซึ่งแม้แต่คนธรรมดาเองก็มีปราณชนิดนี้อยู่ในตัว เพราะฉะนั้นมันก็เหมือนกับว่าเวลาคนเราโกรธถึงขีดสุดก็มักจะมีพลังที่แข็งแกร่งกว่าปกตินั่นเองและนั่นก็คือพลังปราณ!
เย่เชียนก็ค่อยๆ ล่าถอยออกไปและถึงแม้ว่าเย่เชียนจะใช้พลังปราณก็ตามแต่ถึงยังไงเขาก็ยังไม่แข็งแกร่งเหมือนกับหลินจินไท่ “ปัง! ..” หลินจินไท่ต่อยเย่เชียนด้วยหมัดและเย่เชียนก็ก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวจากนั้นก็ทรงตัวเอาไว้ได้ หลังจากหยุดไปชั่วขณะเย่เชียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ลูกศิษย์ไม่สามารถเทียบอาจารย์ได้จริงๆ”
หลินจินไท่ก็หายใจเข้าออกอย่างช้าๆ และพูดว่า “มันเป็นเพราะเอ็งไม่มีสมาธิในการฝึกซ้อมและการต่อสู้..เพราะงั้นเอ็งจึงมีเรื่องให้คิดให้กังวลมากมายจนไม่อาจควบคุมสติและเป็นหนึ่งเดียวได้”
เย่เชียนก็ยิ้มเจื่อนๆ เพราะนี่ก็เป็นเรื่องจริงเพราะวิถีแห่งศิลปะการต่อสู้นั้นมันก็เหมือนกับการแล่นเรือสวนกระแสน้ำที่เชี่ยวแรง และเย่เชียนเองก็มัวแต่กังวลและครุ่นคิดอยู่กับการพัฒนาของเขี้ยวหมาป่าอยู่เสมอ และมันก็เป็นเวลานานมากแล้วที่เขาไม่ได้ฝึกซ้อมเหมือนแต่ก่อน “อาจารย์ผมมีเรื่องที่อยากจะปรึกษาอาจารย์ครับ!” เย่เชียนพูดอย่างสุภาพ
หลินจินไท่ก็พยักหน้าหันหลังกลับจากนั้นก็เดินกลับเข้าไปในบ้านและลากเก้าอี้ออกมาพร้อมกับกาน้ำชา หลังจากนั่งลงแล้วหลินจินไท่ก็จิบชาเบาๆ พลางจ้องมองไปที่หลินฟานและพูดว่า “เสี่ยวฟานไปนอนซะ!”
หลินฟานก็พูดขึ้นมาว่า “คุณปู่ผมยังไม่ง่วงเลย..ผมต้องไปเลาะหนังสัตว์พวกนั้นออกก่อนแล้วจะหมักเนื้อน่ะ” หลินฟานพูด
“เอาสิ..แต่เราคงกินกันไม่หมดหรอก..นำไปแบ่งลุงจ้าวด้วยก็แล้วกัน” หลินจินไท่พูดกับหลินฟาน
หลินฟานเองก็ดูเหมือนจะรู้หลินจินไท่กำลังหมายถึงอะไรเขาจึงยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “แบบก็คิดแบบนั้นเหมือนกันครับปู่..ผมขอไปก่อนนะ!” หลินฟานพูดขณะที่เขาลากร่างของสัตว์ลงไปจากภูเขา อย่างไรก็ตามเขาคนนั้นก็จะเป็นพ่อตาในอนาคตของหลินฟานเพราะฉะนั้นจึงต้องเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน
“เลื่อนเก้าอี้ออกมาแล้วนั่งลงสิ!” เมื่อเห็นหลินฟานออกไปแล้วหลินจินไท่ก็เหลือบมองไปที่เย่เชียนและพูด
เย่เชียนก็พยักหน้าและเลื่อนเก้าอี้ออกมาและนั่งลงฝั่งตรงข้ามของหลินจินไท่ จากนั้นหลินจินไท่ก็เอ่ยปากพูดขึ้นมาว่า “ที่มาหาฉันในครั้งนี้เนี่ยคงไม่ได้มาเยี่ยมฉันเฉยๆ หรอกใช่มั้ย..มีอะไรก็พูดออกมาเถอะ!”
เย่เชียนก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และพูดว่า “อาจารย์! ..พี่ไป๋ฮวยออกจากเขี้ยวหมาป่าไปแล้วและตั้งใจที่จะกวาดล้างเขี้ยวหมาป่าด้วย..อาจารย์คือผมจะทำยังไงดี?”
การแสดงออกของหลินจินไท่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงและเขาก็พูดอย่างแผ่วเบาว่า “ในเมื่อเอ็งยังตัดสินใจในสิ่งที่อยู่ในใจของเอ็งไม่ได้เลย..แล้วเอ็งจะมาถามฉันทำไม..ฉันให้คำแนะนำเอ็งไม่ได้หรอก..เอ็งต้องแก้ปัญหานี้ด้วยตัวเอง..จริงๆ แล้วพวกเอ็งสองคนน่ะก็มีนิสัยใจคอที่เหมือนกันไม่ใช่เหรอ..ฉันไม่สามารถไปเปลี่ยนความคิดของเอ็งได้หรอก..แต่ถ้าสิ่งใดที่เอ็งรู้สึกว่าเอ็งมีจิตสำนึกที่ชัดเจนและรู้สึกว่ามันถูกต้องแล้วล่ะก็..จงยึดมั่นกับมันซะ”
เย่เชียนก็พยักหน้าเบาๆ และพูดว่า “ครับอาจารย์..ผมรู้ว่าผมต้องทำอะไร”
หลินจินไท่ก็พยักหน้าเบาๆ เช่นกันและค่อยๆ จิบชาในถ้วยพลางจ้องมองไปนอกบ้านไปยังที่อันแสนไกลโดยไม่ได้พูดอะไรใดๆ
“อาจารย์ครับ..เสี่ยวฟานที่เป็นดั่งหลานชายของอาจารย์แล้วอาจารย์เคยคิดที่จะปล่อยให้เขาออกไปจากหมู่บ้านและออกไปท่องโลกภายนอกบ้างหรือเปล่า..ผมน่ะเห็นว่าเสี่ยวฟานจะต้องเป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดาได้ในอนาคตอย่างแน่นอน” เย่เชียนพูด
“ฉันเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน” หลินจินไท่พูดต่อ “หมอดูคนนึงเคยบอกกับฉันว่าชะตากรรมของเสี่ยวฟานน่ะเป็นชะตากรรมที่เลวร้ายและสิ้นหวังอย่างมาก..เพราะจนกว่าเขาจะอายุครบสิบหกปีเขาก็จะพบกับหายนะครั้งใหญ่..เพราะงั้นฉันจึงต้องให้เขาอยู่ข้างๆ ฉันจนกว่าเขาจะพ้นชะตากรรมเช่นนั้น..ฉันจะไม่ปล่อยให้เขาออกไปไหนอย่างแน่นอนจนกว่าเขาจะอายุครบสิบหกปี”
“อาจารย์เชื่อในโชคชะตาฟ้าลิขิตด้วยหรือ?” เย่เชียนถามด้วยความประหลาดใจ
“ชีวิตของมนุษย์อย่างเราๆ น่ะมันถึงวาระมานานแล้ว..เราเพียงต้องต่อสู้กับโชคชะตาและต่อสู้กับฟ้าและดิน..เพื่อแสวงหาความสุขและมันก็ไม่มีวันสิ้นสุดและไม่รู้จบเช่นกัน” หลินจินไท่พูดช้าๆ
เย่เชียนก็ถึงกับตะลึงไปชั่วขณะและในทันใดนั้นภาพบางอย่างก็แวบขึ้นมาในความคิดของเขาและเย่เชียนก็เอ่ยปากถามขึ้นว่า “อาจารย์..ช่วยบอกผมทีว่าในโลกใบนี้ยังมีคนที่มีทักษะสูงกว่าอาจารย์หรือเปล่า?”
“ตามธรรมชาติแล้วมันก็ย่อมมีภูเขาที่อยู่เหนือภูเขา..และมีท้องฟ้าที่อยู่เหนือท้องฟ้าและเมฆที่อยู่บนท้องฟ้านั้นมันก็ย่อมมีเมฆที่อยู่เหนือกว่ามันอยู่ดี” หลินจินไท่พูด “ทำไมเอ็งถึงถามแบบนี้ล่ะ?”
“ก็นะ..ลูกศิษย์ของอาจารย์คนนี้น่ะ..บังเอิญไปพบกับใครบางคนเข้าให้และเขาคนนั้นก็บอกว่าผมน่ะไม่สามารถเผชิญหน้ากับเขาได้เลยแม้แต่น้อย..เขาทำให้ผมประหลาดใจมาก..ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีคนแบบนั้นอยู่ในโลกใบนี้ด้วย!” เย่เชียนพูด
หลินจินไท่ผู้นี้ก็ถึงกับตัวสั่นเล็กน้อยจากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “ฉันเชื่อในสิ่งที่เอ็งเพิ่งจะพูดมา..เพราะครั้งหนึ่งฉันเองก็เคยพบกับปรมาจารย์ท่านหนึ่งและฉันก็พ่ายแพ้ให้กับเขาในกระบวนท่าเดียว..และเขาคนนั้นก็เป็นคนที่ฝึกฝนพลังชี่ให้กับฉันเอง ..แต่เขามักจะไปๆ มาๆ รอบโลก..ฉันจึงไม่มีเวลาไปตามหาเขา..และฉันก็ไม่เคยพบเขาจนถึงตอนนี้..ถ้าหากว่าเอ็งได้พบกับคนที่เอ็งพูดถึงอีกครั้งในอนาคตล่ะก็..เอ็งก็ลองไปสู้กับเขาผู้นั้นดูสิ..เขาจะมอบบทเรียนและสิ่งต่างๆ ให้เอ็งมากมาย..มันจะช่วยเอ็งได้อย่างมากในอนาคต!”
ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะเตรียมตัวเตรียมใจมานานแล้วก็ตาม แต่ทว่าเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจเมื่อหลินจินไท่ผู้ที่เป็นอาจารย์ของเขานั้นถึงกับพูดเช่นนี้ ซึ่งดูเหมือนว่ามันจะมีฟ้าที่อยู่เหนือฟ้าและมีผู้คนในโลกใบนี้ที่ยังไม่สามารถอธิบายได้เช่นกัน ไม่เช่นนั้นถ้าหากไม่คิดเช่นนี้ล่ะก็ถ้าในอนาคตต้องไปเผชิญหน้ากับคนเหล่านั้นแล้วล่ะก็อาจจะไม่มีโอกาสแม้แต่จะตอบโต้ได้เลย เช่นเดียวกับซงเจิ้งหยวนพี่ชายของหูวเค่อนั่นเองซึ่งเย่เชียนก็รู้สึกได้ว่าตัวเองจะต้องได้เผชิญหน้ากับเขาในอนาคตอันใกล้นี้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามตามจากคำบอกเล่าของหูวเค่อแล้วเย่เชียนไม่สามารถรับมือกับเขาได้เลยแม้แต่น้อยแล้วนับประสาอะไรกับการเอาชนะเขา
อย่างไรก็ตามการเดินทางในครั้งนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้ประสบความสำเร็จใดๆ เลยเพราะท้ายที่สุดแล้วเย่เชียนก็สามารถทำให้จิตใจเข้มแข็งขึ้นได้และรู้วิธีที่จะเผชิญหน้ากับหมาป่าผีไป๋ฮ่วยได้แล้ว และถึงแม้ว่าสิ่งต่างๆ จะดูเหมือนว่าหลินจินไท่นั้นไม่ได้ให้คำแนะนำใดๆ เลยแต่ทว่าคำพูดของเขานั้นได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับเย่เชียนอย่างมาก และนั่นก็คือการยึดติดกับความเชื่อของเรานั่นเอง!
ในขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่นั้นจู่ๆ หูจื้อก็รีบวิ่งเข้ามาพร้อมกับหอบเหนื่อยและพูดอย่างกระวนกระวายว่า “คุณปู่หลินครับ..แย่แล้ว..พี่หลินฟานเขาไปฆ่าคน!”
“อะไรนะ!” หลินจินไท่ก็ลุกขึ้นยืนและถาม “มันเกิดอะไรขึ้น! ..เสี่ยวฟานไปฆ่าคนได้ยังไง”
หูจื้อก็อ้าปากค้างอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็พูดว่า “คุณปู่หลินครับ..คือๆ พวกเหรินเจี๋ยเขาไปรังแกฉิงเอ๋อและพี่หลินฟานเขาก็เข้าไปช่วยน่ะ..ทั้งสองจึงทะเลาะวิวาทกัน..แต่พี่หลินฟานเขาเผลอและพลาดไปฆ่าเหรินเจี๋ยโดยไม่ได้ตั้งใจครับ”
คิ้วของหลินจินไท่ก็ขมวดเข้าหากันแน่นและถึงแม้ว่าเขาจะทำตามดั่งที่คำทำนายของหมอดูเต๋าอย่างเคร่งครัดแล้วก็ตาม แต่จะไม่ให้เขากังวลได้อย่างไรเพราะครั้งนี้หลายชายของเขากำลังเผชิญกับหายนะจริงๆ เสียแล้ว
“อาจารย์ครับ..เดี๋ยวเรื่องนี้ผมจัดการเอง..ไม่ต้องกังวลไป..จะต้องไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน” เย่เชียนพูด
หลินจินไท่ก็เหลือบมองไปที่เย่เชียนและพยักหน้าเบาๆ โดยไม่ได้พูดอะไรใดๆ เพราะหลินจินไท่นั้นรู้จักตัวตนของเย่เชียนเป็นอย่างดี และถึงแม้ว่าหลินจินไท่จะไม่รู้เลยว่าตอนนี้เย่เชียนนั้นมีอำนาจมากแค่ไหนในประเทศจีน แต่เขาก็รู้เรื่องของเย่เชียนที่เกี่ยวกับเขี้ยวหมาป่าเป็นอย่างดี ซึ่งเหล่าเจ้าหน้าที่ของรัฐระดับสูงของจีนก็ยังคงมีความสัมพันธ์บางอย่างกับเย่เชียนและพวกเขี้ยวหมาป่า ดังนั้นสิ่งต่างๆ ก็ไม่ควรที่จะยุ่งยากอะไรมากเกินไป
เย่เชียนก็ยืนขึ้นและลูบหัวของหูจื้อเบาๆ พร้อมพูดว่า “พวกนั้นอยู่ไหนหรอ..พาฉันไปหน่อยสิ!” หลังจากพูดจบแล้วเย่เชียนก็ทำความเคารพหลินจินไท่และหันกลับไปเดินตามหูจื้อลงจากภูเขาไป
ใช้เวลาไม่นานนักพวกเขาทั้งสองก็มาถึงบ้านของจ้าวฉิงจากนั้นพวกเขาก็เห็นเด็กคนหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นซึ่งมีอายุเพียงสิบเอ็ดหรือสิบสองปีเพียงเท่านั้นและรูปร่างก็อ้วนมาก ซึ่งเย่เชียนก็เดินเข้าไปตรวจสอบชีพจรของเขาแต่ก็ไม่มีจังหวะของชีพจรเต้นอีกแล้ว และเมื่อเงยหน้ามองขึ้นไปหลินฟานก็ยืนอยู่ข้างๆ และตัวสั่นอย่างมากพร้อมกับร่องรอยของความตื่นตระหนกและตกใจบนใบหน้าของเขา ถัดจากเย่เชียนไปไม่ไกลก็มีเด็กผู้หญิงที่อายุไล่เลี่ยกับหลินฟานอยู่ซึ่งเธอคนนี้มีใบหน้าที่งดงามอย่างมากและเธอเองก็ยังเด็กอยู่แล้วใครจะรู้ได้ว่าหากวันที่เธอเติบโตขึ้นเป็นสาวแล้วเธอจะเป็นคนที่จะสั่นคลอนทั้งประเทศและประชาชนด้วยความงดงามของเธออย่างแน่นอน
เรื่องเช่นนี้นั้นมันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วเพราะเย่เชียนเองก็หวาดกลัวอย่างมากเช่นกันเมื่อเขาฆ่าคนครั้งแรกในชีวิตของเขา จากนั้นเย่เชียนก็เดินไปที่ด้านข้างของหลินฟานและตบไหล่ของหลินฟานเบาๆ พร้อมถามว่า “เอ็งกลัวมั้ย?”
ร่างกายของหลินฟานสั่นไปทั้งตัวและพยักหน้าเบาๆ
เย่เชียนก็พูดขึ้นมาว่า “เมื่อเราฆ่าใครสักคนไปแล้วเราก็จะเป็นฆาตกร..แต่ถ้าเราฆ่าใครสักคนเพื่อช่วยคนที่เรารักล่ะก็..เราก็คือวีรบุรุษ..เพราะวีรบุรุษย่อมฆ่าได้เป็นล้านๆ คนเพื่อคนที่เขารัก..เราเป็นลูกผู้ชาย..เพราะงั้นจงจำเอาไว้ว่าอย่าไปกลัว! ..พี่ชายอยู่ที่นี่แล้ว..”
หลินฟานเงยหน้าขึ้นและจ้องมองไปที่เย่เชียนด้วยความประหลาดใจ ด้วยดวงตาของเย่เชียนที่กำลังส่องแสงแห่งความน่ากลัวอยู่ภายในดวงตานั้นจึงทำให้ครอบครัวตระกูลจ้าวที่อยู่ข้างๆ รู้สึกประหลาดใจอย่างมากและเมื่อได้ยินคำพูดของเย่เชียนเช่นนั้นที่ไม่เคยมีใครสอนเด็กๆ เช่นนี้ ก็ทำให้พวกเขาอดไม่ได้ที่จะมองไปที่เย่เชียนด้วยความอยากรู้อยากเห็นและเต็มไปด้วยความประหลาดใจไปกับชายหนุ่มที่แปลกหน้าคนนี้
จากนั้นครู่หนึ่งผู้หญิงผู้ชายวัยกลางคนสองคนก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ซึ่งผู้หญิงคนนี้นั้นมีรูปร่างที่อ้วนท้วมและขาวและเธอก็ดูไม่เหมือนผู้หญิงจากชนบทที่ทำงานหนักบากบั่นมาตลอดทั้งปี และเมื่อเธอเห็นร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้นนั้นหญิงวัยกลางคนคนนั้นก็วิ่งเข้าไปอย่างรวดเร็วและอุ้มร่างของเด็กคนนั้นขึ้นมาแล้วน้ำตาของเธอก็เริ่มไหลริน
“พวกเขาเป็นพ่อแม่ของเด็กคนนั้นหรอ” เย่เชียนถามหูจื้อหลังจากที่เห็นเช่นนี้
“คือ..ตาเฒ่าคนนั้นก็เป็นผู้ใหญ่บ้าน..ส่วนป้าคนนั้นก็คือแม่เลี้ยงของเขา!” หูจื้อพูดเบาๆ
เย่เชียนก็ถอนหายใจเล็กน้อยเพราะถึงแม้ว่าผู้ใหญ่บ้านคนนั้นจะดูอายุมากแล้วแต่เขาก็อายุประมาณห้าสิบต้นๆ เท่านั้นและเขาก็ไม่ใช่คนแก่เฒ่าอะไร อาจเป็นได้ว่าหูจื้อนั้นมีความรู้สึกโกรธเคืองต่อผู้ใหญ่บ้านคนนั้นและคิดว่าเขาแย่งแม่ม่ายอันเป็นที่โปรดปรานของเขาไป ดังนั้นหูจื้อจึงเรียกเขาว่าตาเฒ่า แต่สิ่งที่ทำให้เย่เชียนรู้สึกประหลาดใจอย่างมากนั้นก็คือแม่เลี้ยงที่ทำเหมือนรักเด็กๆ ที่ไม่ใช่ลูกของตัวเองเช่นนี้ เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองและคอยสังเกตเธอซึ่งจากนั้นเย่เชียนก็พบว่าผู้หญิงคนนี้นั้นกำลังเสแสร้งอย่างเห็นได้ชัดเพราะเธอแอบบีบน้ำตาออกมา
ผู้ใหญ่บ้านคนนั้นก็เดินไปที่ศพของเด็กและหลังจากนั้นเขาก็สั่นไปหมดทั้งตัวและมีสีหน้าที่มืดมนและหดหู่อย่างมาก ซึ่งมันเป็นเรื่องที่น่าโศกเศร้าอย่างมากที่ต้องเสียลูกไปในวัยชราของตัวเองเช่นนี้ ความโกรธเกรี้ยวและเดือดดาลอย่างรุนแรงก็ปรากฏขึ้นภายในดวงตาของผู้ใหญ่บ้านและเขาก็จ้องเขม็งไปที่หลินฟานและพูดว่า “นี่เอ็งฆ่าลูกชายของฉันงั้นเหรอ?”
.
.
.
.
.
.
.