ตอนที่ 292 ลูกผู้ชายหลั่งเลือดไม่หลั่งน้ำตา
หลินฟานก็ตัวสั่นเล็กน้อยจากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นอย่างแน่วแน่และพูดว่า “ใช่! ..ผมเป็นฆ่าเขาเอง..ใครบอกให้เขาไปรังแก ชิงเอ๋อกันล่ะ!”
“ไอ้เด็กนอกคอกไม่มีพ่อไม่มีแม่อย่างเอ็งอ่ะนะ..อยากตายนักใช่มั้ย!” ผู้ใหญ่บ้านตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยวและรีบเดินเข้าไปหาหลินฟาน
การแสดงออกของหลินฟานนั้นเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดและความตั้งใจกับเจตนาฆ่าที่รุนแรงนั้นก็ฉายอยู่ภายในดวงตาของหลินฟาน ซึ่งพ่อกับแม่ของเขานั้นเสียชีวิตไปตั้งแต่เขายังเด็กและสิ่งนี้ก็เป็นปมด้อยของเขาอย่างมากเช่นกัน และแล้วผู้ใหญ่บ้านก็เพิ่งจะกระตุ้นจุดเดือดดาลของหลินฟานโดยไม่รู้ตัว
เย่เชียนก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจอย่างมากเพราะลูกผู้ชายนั้นควรที่จะกล้ายอมรับความจริงและถึงแม้ว่าหลินฟานจะยังเด็กอยู่ก็ตามแต่เขาก็ถือได้ว่าเป็นลูกผู้ชายเต็มตัวแล้ว เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็ยื่นมือออกไปเพื่อหยุดผู้ใหญ่บ้านและพูดอย่างเย็นชาว่า “คุณจะทำอะไร?”
ผู้ใหญ่บ้านก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเย่เชียนจากหัวจรดเท้าและพบว่าชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่คนของหมู่บ้านของเขาและเขาก็อดไม่ได้ที่จะตะคอกกลับว่า “แล้วเอ็งเป็นใคร..อย่าเข้ามายุ่งไม่เข้าเรื่อง”
“แล้วไง..ผมเป็นพี่ชายของหลินฟาน..ซึ่งความหมายก็คือผมเป็นผู้ปกครองของเขา..และแน่นอนว่าผมสามารถเข้ามายุ่งเรื่องของเขาได้!” เย่เชียนพูด
“ถ้างั้นเอ็งก็เห็นแล้วใช่มั้ยว่าไอ้เด็กนอกคอกนี่มันฆ่าลูกชายของฉัน..งั้นก็ฆ่ามันเลยซะดีมั้ย!” ผู้ใหญ่บ้านจ้องเขม็งไปที่เย่เชียนและพูด
“คุณควรระวังปากของคุณเอาไว้นะ” เย่เชียนชำเลืองมองไปที่ผู้ใหญ่บ้านจากนั้นก็พูดว่า “การฆาตกรรมนั้นควรทำให้มันเป็นไปตามกฎหมาย..เพราะงั้นคุณไม่มีสิทธิ์ประชาทัณฑ์เองได้”
“หือ! ..ฉันไม่สนใจหรอก..ฉันขอบอกเอ็งเอาไว้เลยนะว่าในหมู่บ้านนี้น่ะฉันใหญ่ที่สุด..และใครก็ตามที่ฉันอยากจะให้มันตายมันก็ต้องตาย..และใครที่ฉันอยากจะให้มีชีวิตอยู่มันก็จะมีชีวิตอยู่ต่อ..และไอ้เด็กนอกคอกนี่มันกล้าที่จะฆ่าลูกชายของฉันแบบนี้..ฉันจะไม่แค่ฆ่ามันเพียงอย่างเดียวแต่ฉันจะขุดศพจากสุสานบรรพบุรุษของมันขึ้นมาเลยด้วยซ้ำ” ผู้ใหญ่บ้านตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยว
ในความเป็นจริงนั้นผู้ใหญ่บ้านคนนี้ก็เหมือนดั่งราชาในหมู่บ้านแห่งนี้และเขานั้นก็อาศัยอยู่ในบ้านที่เป็นอาคารสองชั้นแต่ทว่าชาวบ้านคนอื่นๆ กลับอาศัยกันอยู่แค่ในที่เป็นบ้านอิฐและบ้านปูนที่ทรุดโทรมเท่านั้น และยิ่งไปกว่านั้นลูกชายคนโตของผู้ใหญ่บ้านก็เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจในสถานีตำรวจของเมืองนี้ แต่ในสายตาของชาวบ้านแล้วพวกเขาเหล่านั้นก็มองว่าลูกชายคนโตของผู้ใหญ่บ้านนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงแล้วใครจะกล้าทำให้พวกเขาขุ่นเคืองกันล่ะ? ดังนั้นครอบครัวของผู้ใหญ่บ้านนั้นจึงมีอำนาจเหนือกว่าใครๆ ในหมู่บ้านและมีลูกสะใภ้สวยๆ ได้อย่างง่ายดายเพียงแค่ผู้ใหญ่บ้านไปพูดเพียงคำไม่กี่คำก็ได้อย่างที่ใจเขาต้องการและมีอาหารและเครื่องดื่มต้อนรับเขาเป็นอย่างดี ซึ่งทุกคนในหมู่บ้านนั้นต้องเชื่อฟังเขาและยิ่งไปกว่านั้นกองทุนบรรเทาความยากไร้ของรัฐบาลที่สนับสนุนให้นั้นก็ถูกผู้ใหญ่บ้านยักยอกไปทีละน้อยๆ และมันก็ไม่ได้ถึงมือชาวบ้านอีกต่อไป ซึ่งทุกวันนี้เขาก็ยังคงกลืนกินมันและชาวบ้านเหล่านั้นก็ไม่ได้รับสวัสดิการใดๆ จากรัฐบาลเลยแม้แต่น้อย
“เพลี้ยะ! ..” ทันทีที่ผู้ใหญ่บ้านพูดจบเย่เชียนก็ตบหน้าผู้ใหญ่บ้านจนเขารู้สึกวิงเวียนและชาไปทั้งหน้า จากนั้นเย่เชียนก็พูดอย่างไม่แยแสว่า “ผมเตือนคุณแล้วไงว่าให้คุณระวังปากเอาไว้!”
“แก..แกกล้าตบฉันเหรอ” ผู้ใหญ่บ้านตะโกนอย่างเดือดดาลพลางประคบหน้าของตัวเองเอาไว้
“มันไม่มีเหตุผลเลย..ลูกผู้ชงลูกผู้ชายบ้าบออะไรกัน..ใครฆ่าคนมันก็คือฆาตกร!” หญิงวัยกลางคนก็ตะโกนเสียงดังอย่างเกรี้ยวกราด
เย่เชียนจ้องเขม็งไปที่หญิงวัยกลางคนคนนั้นและหยิบมีดโลหิตหมาป่าออกมาแล้วพูดว่า “คุณก็ด้วย..ถ้ายังไม่หยุดพล่ามอีกล่ะก็..ผมจะเฉือนคุณทิ้งซะ” หากต้องจัดการกับคนที่ปากร้ายแล้วล่ะก็วิธีที่ดีที่สุดก็คือความน่ากลัวและความโหดร้ายนั่นเอง ซึ่งเย่เชียนทำให้หญิงวัยกลางคนกลัวมากจนเธอรีบปิดปากของเธอไปด้วยความหวาดกลัว
เป็นเวลานานหลายปีแล้วที่ผู้ใหญ่บ้านทำตัวเป็นผู้มีอำนาจในหมู่บ้านนี้และเขาก็เป็นดั่งกฎหมายของหมู่บ้านนี้เพราะเขาสามารถพูดอะไรก็ได้และทำอะไรก็ได้ที่เขาต้องการ แต่ทว่าวันนี้เย่เชียนได้ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขาและทำให้เขาตกตะลึงและประหลาดใจอย่างมาก “แก..แกรอคนจากสถานีตำรวจมาที่นี่ก่อนก็แล้วกัน..เดี๋ยวฉันจะให้ไอ้เด็กนี่มันชดใช้ด้วยชีวิตของมันเอง” ผู้ใหญ่บ้านจ้องเขม็งไปที่เย่เชียนและพูด
“ก็มาสิ!” เย่เชียนพูดเบาๆ จากนั้นเขาก็หันหน้าไปหาหลินฟานและตบไหล่เบาๆ พร้อมพูดว่า “ไม่เป็นไรๆ”
หลินฟานก็พยักหน้าและหันไปรอบๆ จากนั้นเขาก็รีบวิ่งไปหาจ้าวฉิงและถามด้วยความเป็นห่วงว่า “ฉิงเอ๋อเป็นอะไรมั้ย” ในขณะที่หลินฟานถามเธอหลินฟานก็จับไหล่จ้าวฉิงแต่ทว่าจ้าวฉิงก็ปัดมือของหลินฟานออกจากนั้นเธอก็เดินไปหลบอยู่ข้างหลังแม่ของเธอและจ้องมองไปที่หลินฟานโดยปราศจากความอ่อนโยนและเยื่อใยที่เคยมีให้กันมาก่อน และยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนจะมีร่องรอยของความรังเกียจอยู่ภายในดวงตาและสีหน้าของจ้าวฉิงอีกด้วย
เย่เชียนก็ตกตะลึงเล็กน้อยและแอบคิดในใจอย่างลับๆ ว่า ‘เกรงว่าเด็กผู้หญิงคนนี้ในอนาคตนั้นคงจะร้ายไม่เบาเลย..และหลินฟานเองก็อาจจะต้องเจ็บปวดเพราะเธอในอนาคตอย่างมากแน่นอน’ เมื่อเย่เชียนคิดเช่นนี้เขาก็โล่งใจเล็กน้อยเพราะวิธีที่ดีที่สุดในการรับมือก็คือการฝึกฝนและสอนเรื่องต่างๆ ให้กับหลินฟานเพื่อที่จะช่วยเขาในการดำเนินชีวิตในอนาคตต่อๆ ไป
เมื่อหลินฟานเดินออกไปหูจื้อเองก็เดินตามมาด้วยเช่นกัน “หลินฟานเอ็งเคยไปสถานีตำรวจมั้ย” เย่เชียนถาม
“ไม่เคย!” หลินฟานส่ายหัวและตอ [
“แล้วเอ็งกลัวมั้ย?” เย่เชียนถาม
“ไม่กลัว!” หลินฟานกัดฟันพูด
“เจ้าหน้าที่ตำรวจเหล่านั้นอาจจะมาถึงที่นี่ในช่วงบ่าย..และถ้าเอ็งไปที่สถานีตำรวจอย่าพูดอะไรเลยนะรู้มั้ย..แล้วถ้าพวกเขาทุบตีเอ็งเพื่อให้เอ็งพูดล่ะก็..เอ็งจะอดได้มั้ย” เย่เชียนยังคงถามต่อ
“ได้!” หลินฟานพูดอย่างหนักแน่น
“พี่ชายครับ..พี่หลินฟานจะถูกตำรวจจับไปจริงๆ หรอ..ลูกชายคนโตของตาเฒ่านั่นเป็นตำรวจน่ะ..พี่ชายอย่าให้พวกเขาพาพี่หลินฟานไปนะ..พวกมันจะต้องฆ่าเขาแน่ๆ” หูจื้อพูดด้วยความเป็นห่วง
เย่เชียนยิ้มอย่างแผ่วเบาและพูดว่า “ฉันเชื่อว่าหลินฟานรู้ว่าเขาจะต้องทำยังไง” อันที่จริงแล้วเย่เชียนนั้นก็สามารถจัดการทุกอย่างได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องให้หลินฟานทำอะไรเลยแม้แต่น้อย แต่ทว่าเย่เชียนนั้นต้องการให้หลินฟานผ่านความยากลำบากและประสบการณ์ต่างๆ เสียบ้าง เพราะมันเป็นไปไม่ได้เลยที่หลินฟานจะเปลี่ยนจากเด็กน้อยเป็นผู้ชายอย่างแท้จริงหากปราศจากประสบการณ์ที่คับขันต่างๆ
เห็นได้ชัดเลยว่าหูจื้อนั้นไม่เข้าใจเขาจึงมองไปที่เย่เชียนด้วยความประหลาดใจ จากนั้นเขาก็หันไปมองที่หลินฟานแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรใดๆ
เมื่อพวกเขากลับมาถึงบ้านร่างกายของหลินฟานก็สั่นเทาอย่างไม่สามารถควบคุมได้และเขาก็ไม่กล้าที่จะสบตากับหลินจินไท่เลย เขาเพียงพูดอย่างแผ่วเบาว่า “คุณปู่! ..”
หลินจินไท่เหลือบมองไปที่หลินฟานและพูดว่า “เอ็งกลัวมัย?”
หลินฟานส่ายหัวและพูดว่า “ไม่กลัว!”
“เอาล่ะๆ ..นั่งลงกันก่อนเถอะ!” หลินจินไท่พูดอย่างใจเย็น
หลินฟานก็ตกตะลึงครู่หนึ่งและจ้องมองหลินจินไท่ด้วยประหลาดใจจากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในบ้าน ส่วนหูจื้อเองก็เดินตามไปอย่างรวดเร็ว ส่วนเย่เชียนนั้นก็เดินไปหาหลินจินไท่และนั่งลงจากนั้นก็พูดว่า “อาจารย์ไม่ต้องกังวลไป..ไม่มีอะไรมากหรอก”
“ฉันเชื่อในตัวเอ็ง” หลินจินไท่พูดต่อ “เหตุการณ์ในครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นบทเรียนที่สำหรับเด็กคนนี้ล่ะนะ..และมันก็ถือได้ว่าเป็นประสบการณ์หนึ่งเช่นกัน..มันก็เหมือนกับภูเขาลูกใหญ่ลูกนี้ที่เต็มไปด้วยการต่อสู้อันนองเลือด..มันคือการเติบโตของเขา..เป็นประสบการณ์ชีวิตของเขา”
เย่เชียนก็พยักหน้าและพูดว่า “อาจารย์ครับ..ผมขอตัวไปโทรศัพท์ก่อนนะครับ” หลินจินไท่ก็พยักหน้าและค่อยๆ จิบชาในถ้วยอย่างช้าๆ ส่วนเย่เชียนก็เดินออกไปและหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากนั้นก็ครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่งแล้วไม่นานนักเขาก็โทรไปหาหวงฟู่ชิงเตี๋ยน นั่นก็เพราะว่าเย่เชียนนั้นไม่รู้จักเจ้าหน้าที่ทางการคนใดในเมืองเซวียนเฉินเลย ดังนั้นเขาจึงต้องให้หวงฟู่ชิงเตี๋ยนช่วยในครั้งนี้
หวงฟู่ชิงเตี๋ยนนั้นก็รับโทรศัพท์อย่างรวดเร็วและเย่เชียนก็อธิบายถึงเรื่องนี้ให้เขาฟังและพูดถึงสิ่งที่อยู่ในความคิดของเขาให้แก่หวงฟู่ชิงเตี๋ยน ซึ่งหวงฟู่ชิงเตี๋ยนเองก็ไม่ได้ลังเลใดๆ และเห็นพ้องต้องกันว่าเรื่องนี้มันก็เป็นเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ สำหรับพวกเขา และด้วยคำสัญญาการรับปากของหวงฟู่ชิงเตี๋ยนนั้นเย่เชียนก็รู้สึกโล่งใจอย่างมาก
ถึงแม้ว่าตำแหน่งของผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติของหวงฟู่ชิงเตี๋ยนนั้นจะไม่สามารถแทรกแซงการจัดการความปลอดภัยและกฎหมายทางการเมืองของพื้นที่แห่งนี้ได้โดยตรงก็ตาม แต่ถึงยังไงแล้วเขาก็เป็นถึงบุคคลระดับสูงในรัฐบาลกลางและเขาก็มีเครือข่ายความสัมพันธ์ขนาดใหญ่กับเบื้องบนอีกด้วย ดังนั้นการเจรจาเสวนากับผู้นำของเมืองเซวียนเฉินนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับหวงฟู่ชิงเตี๋ยน และยิ่งไปกว่านั้นโดยธรรมชาติแล้วเหล่าเจ้าหน้าที่ทางการของเมืองนี้ก็ไม่กล้าที่จะคัดค้านใดๆ อยู่แล้ว
หลังรับประทานอาหารกลางวันกันเสร็จแล้วก็มีรถตำรวจขับเข้ามาในหมู่บ้าน ซึ่งผู้ใหญ่บ้านก็พาตำรวจสองคนมาที่บ้านของหลินจินไท่ด้วยความเร่งรีบ ซึ่งตำรวจคนหนึ่งนั้นหน้าตาดูคล้ายกับผู้ใหญ่บ้านเล็กน้อยและคาดว่าเขาน่าจะเป็นลูกชายคนโตของผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งเป็นตำรวจยศผู้กองของสถานีตำรวจในตัวเมือง
“เหรินเซียง! ..ไอ้เด็กนอกคอกนี่มันฆ่าน้องชายของเอ็ง! ..เอ็งต้องล้างแค้นให้น้องชายของเอ็งนะ..และนอกจากนี้คนที่อยู่ข้างๆ มันน่ะไม่เพียงแค่ดูถูกฉันเท่านั้น..แต่ยังตบหน้าฉันอีกด้วย! ..เห็นได้ชัดเลยว่าพวกมันน่ะให้ท้ายกัน!” ผู้ใหญ่บ้านชี้ไปที่เย่เชียนและหลินฟ่านด้วยความโกรธเกรี้ยส
คิ้วของหลินจินไท่ก็ขมวดเข้าหากันแน่นและดูเหมือนว่าเขาจะไม่สบอารมณ์อย่างมากที่คนเหล่านี้เรียกหลานชายของเขาว่าเด็กนอกคอก แต่เนื่องจากหลินจินไท่นั้นรู้ดีว่าสิ่งเหล่านี้นั้นเป็นการยั่วยุเขาจึงระงับความโกรธเอาไว้และนั่งอยู่ที่นั่นโดยไม่ได้พูดอะไรสักคำ ส่วนหูจื้อนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญและพูดขึ้นมาว่า “ก็เหรินเจี๋ยไปรังแกฉิงเอ๋อก่อนหนิ..แล้วจู่ๆ เหรินเจี๋ยก็เอามีดมาจะทำร้ายพี่หลินฟานของผม..พี่หลินฟานเองก็ต้องเอาชีวิตรอดสิ..แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าเหรินเจี๋ยมันจะอ่อนแอแบบนี้”
“ไอ้เด็กเวร! ..ใครให้เอ็งพูดวะ!” จู่ๆ เหรินเซียงก็ตบหน้าหูจื้ออย่างรุนแรงและพลักหูจื้อออกไปข้างๆ ซึ่งเย่เชียนนั้นก็จ้องมองไปที่หูจื้อและพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เพราะถึงแม้ว่าหูจื้อจะไร้เดียงสาและอ่อนแอตามประสาเด็กก็ตามแต่ทว่าเขานั้นก็ซื่อสัตย์อย่างมากและอาจจะเป็นสหายที่ยอดเยี่ยมของหลินฟานในอนาคตอย่างแน่นอน
“ทำไมคุณถึงต้องไปตบไอ้เสือล่ะ..เขาไม่ได้ฆ่าใคร..ผมเองที่เป็นคนฆ่า..ถ้าคุณแค้นคุณก็มาลงกับผมสิ” หลินฟานยืนขึ้นและพูดอย่างแน่วแน่
“ไอ้เด็กน้อย..เอ็งคิดว่าฉันไม่กล้าทำเอ็งงั้นเหรอ?” เหรินเซียงพูดขณะที่เขากำลังจะง้างมือตบหลินฟาน
ทันใดนั้นเย่เชียนก็คว้าข้อมือของเหรินเซียงเอาไว้และบีบมันอย่างรุนแรง ซึ่งทันใดนั้นความเจ็บปวดก็เกิดขึ้นทันทีและการแสดงออกของเหรินเซียงก็มืดมนและสีหน้าของเขาก็บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดทันที “ในฐานะเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้บังคับใช้กฎหมายคุณก็ควรจะรู้กฎหมายไม่ใช่เหรอ? ..คุณกำลังประชาทัณฑ์ประชาชนอย่างไม่เลือกหน้า!” เย่เชียนพูดอย่างมีหลักการและเย้ยหยันเล็กน้อย
“แก..ปล่อยแขนฉันเดี๋ยวนี้!” เหรินเซียงกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดและตำรวจที่อยู่ข้างๆ เขาก็กำลังจะพุ่งเข้ามาหาเย่เชียน แต่ทว่าเขากลับตกตะลึงและตกใจอยู่กับสายตาอันอำมหิตของเย่เชียนจากนั้นเขาก็ถอยกลับไปอย่างเชื่อฟัง จากนั้นเย่เชียนก็ค่อยๆ ปล่อยข้อมือของเหรินเซียงและยิ้มจางๆ “แกกล้าทำร้ายตำรวจงั้นเหรอ?” เหรินเซียงพูดอย่างโกรธเกรี้ยว นั่นก็เพราะว่ามันไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถมีปืนเอาไว้ครอบครองได้แต่ทว่าในฐานะตำรวจนั้นเป็นข้อยกเว้นสำหรับเรื่องนี้ ซึ่งเหรินเซียงเองก็ไม่ใช่คนโง่เช่นกันเพราะจากพละกำลังของแรงบีบที่ข้อมือนั้นแสดงให้เหรินเซียงเห็นว่าตอนนี้เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเย่เชียนเลย แต่ถ้าหากว่าเขามีปืนอยู่ในมือล่ะก็เขาก็จะได้เปรียบและกล้าหาญอยากมาก แต่ทว่าตอนนี้เขาก็ไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับเย่เชียนเลย
“เมื่อพวกแกไปถึงถิ่นของฉันเดี๋ยวพวกแกก็จะรู้เองว่าฉันมีดียังไง!” เหรินเซียงพูดขณะที่เขาก้าวไปข้างหน้าพร้อมหยิบกุญแจมือออกมาเพื่อใส่กุญแจมือเย่เชียนกับหลินฟาน
“ไม่ต้องหรอก..เราจะยอมไปกับคุณเอง” เย่เชียนสะบัดมือของเหรินเซียงออกและพูด จากนั้นเย่เชียนก็ตบบ่าของหลินฟานเบาๆ โดยไม่ได้พูดอะไรใดๆ จากนั้นเย่เชียนก็หันไปมองหลินจินไท่และพูดว่า “อาจารย์ผมไปก่อนนะ..ไม่ต้องห่วง”
“คุณปู่…” หลินฟานนั้นรู้ดีว่าเขาอาจจะไม่ได้กลับมาอีกก็เป็นได้เมื่อเขาย่างก้าวเข้าไปที่สถานีตำรวจแล้ว เขาเพียงเหลียวกลับมามองหลินจินไท่และตะโกนทั้งน้ำตาที่ซึมอยู่รอบๆ ดวงตาของเขา
“ไม่เป็นไรหรอก! ..ลูกผู้ชายหลั่งเลือดได้..แต่ไม่หลั่งน้ำตา!” หลินจินไท่จ้องมองหลินฟานที่กำลังเดินจากไปและพูดอย่างแน่วแน่
หลินฟานก็พยักหน้าอย่างแน่วแน่และพูดว่า “หลานคนนี้รู้ดีครับ!”
.
.
.
.
.
.
.
.