หลังจากที่นักเลงผมสีม่วงพูดเสร็จแล้วเขาก็หยิบขวดเบียร์ขึ้นมาและเดินเข้ามาหาพวกเย่เชียนใบหน้าของหวันชุนหัวเปลี่ยนเป็นเย็นชาและเขาก็โกรธจนเขายืนขึ้น ฟูจุนเฉิงส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ เด็กน้อยเหล่านี้ทำหน้าทำตาเยาะเย้ยพวกเขา อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือหวันชุนหัวยังยืนอยู่นิ่งๆและกลุ่มเด็กๆก็ก้มหัวโค้งคำนับ จากนั้นจ้าวไท่จู้ก็ตบไหล่ของเด็กนักเลงผมสีม่วงและมองหน้าเขาพร้อมพูดด้วยรอยยิ้มเย้ยหยันว่า “ไอน้องให้พี่เล่นด้วยคนสิ”
“ไท่จูนายจะทำแบบนี้จริงๆหรือ?” หวันชุนหัวพูดอย่างกังวล เพราะวันนี้เป็นวันแรกของการเข้าทำงานของเย่เชียน และเย่เชียนก็ไม่รู้จักจ้าวไท่จู้เลยแต่ว่าหวันชุนหัวรู้จักเขาดี เขาทำงานร่วมกับจ้าวไท่จู้มาเกือบสองปีแล้ว ในขณะที่เขาไม่สามารถพูดได้ว่าเขาเข้าใจเขาอย่างลึกซึ้งขนาดนั้นแต่เขาก็มีความเข้าใจที่ค่อนข้างชัดเจนเกี่ยวกับบุคลิกของจ้าวไท่จู้ และความจริงที่ว่าจ้าวไท่จู้เป็นคนปักกิ่งและเขาเป็นคนที่เรียบง่ายและซื่อๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเขาทำงานในบริษัทเทียนหยากรุ๊ปและไม่ว่าใครก็ตามที่รังแกกดขี่ข่มเหงเขาตัวเขาก็เพียงแค่ยิ้มกลับอย่างโง่เขลา ฉะนั้นลืมไปได้เลยว่าเขาจะไปสู้กับใคร
จ้าวไท่จู้หันหน้ามาแล้วหัวเราะพร้อมพูดว่า “ลองดูสิมันจะไปอันตรายอะไร”
“เดี๋ยว!” หวันชุนหัวพยายามห้ามอย่างสิ้นหวังและไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว เขาจะพยายามแย้งกับเรื่องนี้จริงๆ ที่เลวร้ายที่สุดมันอาจทำให้ชีวิตของใครบางคนต้องดับสูญและอย่างน้อยที่สุดมันจะต้องมีคนบาดเจ็บอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หวันชุนหัวไม่เข้าใจว่าทำไมจ้าวไท่จู้น้องชายคนนี้..เขาจะต้องเป็นคนงี่เง่าอย่างแท้จริง
ปฏิกิริยาของฟูจุนเฉิงยังคงไม่เปลี่ยนแปลงและเห็นได้ชัดว่าเขามั่นใจมากในตัวของจ้าวไท่จู้ส่วนเย่เชียนก็เพียงแค่ยิ้มอย่างเฉยเมยในขณะที่เขาไม่รู้จักจ้าวไท่จู้เลย แต่เมื่อเห็นจ้าวไท่จู้ได้สักพักเขาก็สามารถบอกได้อย่างง่ายดายเลยว่าจ้าวไท่จู้นั้นมีฝีมือที่พอตัวเลย
เด็กนักเรียนผมสีม่วงไม่สามารถยอมรับได้และไม่เข้าใจพวกเขาตนเลยจ้องไปที่จ้าวไท่จู้และพูดว่า “มาสิ..เดี๋ยวฉันคนนี้จะเล่นแกให้ตายเลย” หลังจากพูดเช่นนี้เขาก็เหวี่ยงขวดเบียร์ในมือไปที่หัวของจ้าวไท่จู้ในทันที
จ้าวไท่จู้หันหัวหลบทางด้านข้างเพียงเล็กน้อยจากนั้นเขาก็ใช้กระบวนท่ามังกรคู่ปะทะเข้าไปที่อกของเด็กนักเลงผมสีม่วงหลังจากนั้นเขาก็กระโดดขึ้นไปบนอากาศแล้วคว้าตัวรับเอาไว้ไม่ให้ตกลงสู่พื้น ซึ่งมันทำให้ซี่โครงหักทันทีด้วยหมัดที่ชกออกไปอย่างรวดเร็วราวกับพายุหมุนอย่างรุนแรงด้วยทักษะวรยุทธ์อย่างถล่มทลายมันเห็นได้ชัดว่าจ้าวไท่จู้ไม่ใช่คนธรรมดาๆ
มีเพียงเย่เชียนและฟูจุนเฉิงเท่านั้นที่รู้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าเขานั้นมีอะไรซ่อนอยู่ นอกจากเขาสองคนแล้วทุกคนต่างก็ตกใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งหวันชุนหัวเขาไม่ได้คาดหวังว่าจ้าวไท่จู้ผู้นี้ที่ถูกรังแกและถูกข่มเหงอยู่เสมอและไม่เคยต่อสู้เลยแม้แต่น้อยจะเปิดเผยตัวตนเช่นนี้ เด็กนักเลงทั้งสามที่เหลืออยู่ช่วยพยุงเด็กผมสีม่วงขึ้นมาเมื่อพวกเขาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ร่างกายทั้งหมดของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นสั่นเทาด้วยความกลัว เพราะพวกเขารังแกแต่คนที่ไร้เดียงสาและไม่มีทางสู้เท่านั้น พวกเขาไม่สามารถที่สู้กับคนอย่างจ้าวไท่จู้ ได้ พวกเขาไม่มีความกล้ามากพอและพวกเขาก็โชคดีแค่ไหนแล้วที่คนที่ก้าวออกมาคือจ้าวไท่จู้และไม่ใช่เย่เชียนถึงแม้ว่าจ้าวไท่จู้จะเป็นผู้เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้แขนงกังฟูก็ตาม แต่เขาก็ไม่สามารถเทียบเคียงกับเย่เชียนได้เลยแม้แต่น้อยเพราะเย่เชียนได้ผ่านหุบเขาแห่งความตายมาแล้ว หากเย่เชียนได้ก้าวไปข้างหน้าแล้วล่ะก็ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นเด็กก็ตามมันก็ไม่ได้หมายความว่าเย่เชียนจะปราณีได้เลย
จ้าวไท่จู้หัวเราะเบาๆและพูดออกมาว่า “พวกนายวางแผนจะทำอะไรน่ะ? แค่หนึ่งหมัดมันดูเหมือนว่ามันจะมากพอที่จะเอาชนะพวกนายแล้วนะ ฉันเชื่อว่าพวกนายสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้แต่ทางที่ดีที่สุดพวกนายควรคุณกลับบ้านและไปเรียนหนังสือดีกว่านะ” เขายิ้มอย่างเฉยเมยขณะที่เขาพูดคำเหล่านั้นซึ่งมันทำให้ทุกคนรู้สึกว่ามันเป็นคำพูดที่แปลกๆ แต่ที่จ้าวไท่จู้ต้องการจะสื่อก็คือความปรารถนาให้เด็กเหล่านี้ได้เรียนดีๆ หากมีการศึกษาที่ดีพวกเขาก็จะมีโอกาสเติบโตในอนาคตที่ดี หากอายุยังน้อยและพวกเขาไม่ได้เรียนหนังสือพวกเขาก็จะมีอนาคตที่มืดมนต์ อย่างน้อยๆพวกเขาควรรับรู้สักเล็กน้อยเพื่อตัวของพวกเขาเอง!
ตู้ไคว่สั่นเทาเล็กน้อยแต่ในที่สุดเขาก็โพล่งพลางพูดออกมาอย่างห้าวหาญว่า “พวกแกรู้ไหมว่าลูกพี่ของฉันเป็นใคร? พวกแกต้องการทำมาหากินในเมืองนี้อยู่หรือไม่? ใช่พวกแกเก่ง พวกแกสามารถสู้กับคนคนเดียวได้ ทว่าพวกแกสามารถสู้กับคนหลายร้อยคนได้เหรอ? ลูกพี่ของฉันมีพี่น้องมากมายถ้าแกมีความสามารถแล้วทำไมไม่ลองสู้กับพวกเราทุกคนดูล่ะ”
พวกเขาไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยแม้แต่น้อย ตอนแรกฟูจุนเฉิงก็เห็นดีเห็นชอบแต่ทัศนคติของพวกเขาในตอนนี้ทำให้คิ้วของฟูจุนเฉิงเริ่มขมวด และหวันชุนหัวก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไปเขาลุกขึ้นยืนและตะคอกพวกเด็กนักเลงว่า “ช่างมันสิลูกพงลูกพี่อะไร ฉันไม่สนใจว่ามันเป็นใคร! ถ้าไม่มีปืนแล้วมันจะทำอะไรได้! ลองเรียกมาดูสิแล้วจะได้รู้ว่าฉันจะทำไหม!”
จ้าวไท่จู้หัวเราะและพูดว่า “พวกนายทุกคนรีบกลับบ้านและตั้งใจเรียนซะจะได้มีอนาคตที่ดี เชื่อฉันสิไอ้บ้าคนนั้นโหดร้ายกว่าฉันมากนะ ถ้าหากพวกเจ้ายังไม่ไปแล้วถ้าเขาโกรธขึ้นมาฉันเองก็ไม่สามารถที่จะหยุดเขาได้นะ” จ้าวไท่จู้มองหวันชุนหัวและขยิบตาให้ในขณะที่เขาพูด ถ้าเป็นเมื่อก่อนหวันชุนหัวจะกล่าวถ้อยคำเหน็บแนม แต่หลังจากที่ได้เห็นทักษะของจ้าวไท่จู้แล้วเขาก็ตระหนักได้ทันทีถึงความแตกต่างราวกับของสวรรค์และโลก เมื่อเปรียบเทียบกับจ้าวไท่จู้แล้วเขาเป็นเพียงเด็กเพิ่งหย่านม ถ้าพวกเขาต้องสู้กันจริงๆแล้วล่ะก็ ถ้าจ้าวไท่จู้ได้ปลดปล่อยความขุ่นเคืองที่เขาสะสมมาตลอดแล้วแม้ว่าหวันชุนหัวจะมีกี่สิบชีวิตก็ไม่พอ
ตู้ไคว่ที่เพิ่งพูดออกมาเพื่อรักษาหน้า เขารู้ว่ามันคงเป็นเรื่องโง่เง่าถ้าไม่ถอย เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์และเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่มีกังฟูแล้วพวกเขาก็ยังเป็นเพียงแค่เด็กกลุ่มหนึ่งจริงๆ เขาจึงพูดออกมาว่า “ฉันจะจำพวกแกยามรักษาความปลอดภัยของเทียนหยากรุ๊ปเอาไว้..คอยดูก็แล้วกัน” หลังจากตู้ไคว่พูดคำเหล่านี้เสร็จเขาก็สั่งให้น้องๆพยุงคนที่บาดเจ็บและถอยไปและพวกเขาก็จากไปอย่างรวดเร็ว
จ้าวไท่จู้กลับไปที่ที่นั่งของเขาพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า เขาทักทายเพื่อนทั้งสามคนด้วยเสียงหัวเราะ จากนั้นเขาก็ก้มหัวและกินต่อ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความอยากอาหารราวกับว่าเขาเป็นผู้ลี้ภัยจากแอฟริกาด้วยความเร็วเหมือนพายุที่ถาโถมและกินบาร์บีคิวอย่างหิวโหย
“ไท่จู้นายเก็บมันเป็นความลับจากเรามาตั้งนานว่านายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะการต่อสู้จริงๆ” หวันชุนหัวพูดด้วยความสงสัย
“ฮ่าๆ มีแต่คุณเท่านั้นล่ะที่ไม่รู้ ฟูจุนเฉิงและเย่เชียนพวกเขารู้มาสักพักแล้ว!” จ้าวไท่จู้พูดขณะหัวเราะเบาๆ เขามองฟูจุนเฉิงและเย่เชียนในขณะที่เขาพูดเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาก็สามารถรู้สึกได้เหมือนกันว่าฟูจุนเฉิงและเย่เชียนมีทักษะบางอย่างแต่ก็ไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นทักษะแขนงไหน
หวันชุนหัวจ้องไปที่ฟูจุนเฉิงอย่างสับสนแล้วเปลี่ยนสายตาไปหาเย่เชียน เขาไม่เข้าใจว่าพวกเขารู้ได้อย่างไร มันก็สมเหตุสมผลอยู่สำหรับฟูจุนเฉิงที่จะรู้ตั้งแต่ต้นเพราะเขาและจ้าวไท่จู้ก็ได้ทำงานร่วมกันมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่วันนี้เป็นเพียงวันแรกของเย่เชียนแล้วเขาจะรู้ได้อย่างไร เย่เชียนและฟูจุนเฉิงก็ยิ้มเบาๆและไม่ได้พูดอะไรเลย
“ไท่จู้..บอกความจริงกับฉัน..นายฝึกกังฟูของนายที่ไหน?” หวันชุนหัวพูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างน้อยใจ
.
.
.
.
.
.
.