ตอนที่ 320 มูลนิธิกองทุนแห่งอนาคต
ชื่อกองทุนแห่งอนาคตนั้นหลินโรวโร่วก็ไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใดเพราะชื่อนี้นั้นมีความหมายที่พิเศษมากมาย “อ่าห๊ะ! ..ใช้ชื่อนี้ก็แล้วกัน..เดี๋ยวฉันจะให้คนจัดเตรียมแผ่นป้ายเอาไว้” หลินโรวโร่วโทรออกไปยังโทรศัพท์ภายในและหลังจากไม่นานก็มีหญิงสาวเข้ามาจากนั้นหลินโรวโร่วก็บอกเธอเกี่ยวกับแผ่นป้ายและอธิบายเกี่ยวกับดีไซน์ของมัน
เมื่อเห็นท่าทางและการแสดงของหลินโรวโร่วที่เหมือนกันกับซ่งหลันเวลาตั้งใจทำงานเช่นนี้แล้วเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเล็กยิ้มน้อยเพราะเขาเชื่อว่ากองทุนนี้จะต้องยิ่งใหญ่และรุ่งโรจน์ภายในมือของหลินโรวโร่วคนนี้และจะสามารถขยายโครงการเพื่อรองรับผู้คนที่ต้องการความช่วยเหลือได้มากขึ้นอย่างมากในอนาคต “โรวโร่วใกล้จะถึงปีใหม่แล้ว..คุณจะกลับบ้านหรือเปล่า?” เย่เชียนถาม ความเป็นจริงแล้วเย่เชียนนั้นไม่ต้องการให้หลินโรวโร่วกลับบ้านของเธอเพราะเขาควาดหวังว่าเขากับเธอจะได้ใช้เวลาช่วงปีใหม่นี้ด้วยกันในเมืองเซี่ยงไฮ้ แต่ถึงยังไงหลินโรวโร่วก็มีพ่อและแม่กับครอบครัวของเธออยู่ดังนั้นก็เป็นเรื่องปกติที่เธอจะต้องกลับไป
“คุณทนไม่ไหวเลยไม่อยากให้ฉันกลับบ้านหรอ?” หลินโรวโร่วจ้องมองไปที่เย่เชียนอย่างขี้เล่นและกะพริบตาปริบๆ
“ใช่..ผมทนไม่ได้!” เย่เชียนพยักหน้าและพูด
หลินโรวโร่วก็ยิ้มเบาๆ และพูดว่า “ก็นะ..ฉันไม่ได้กลับมาตั้งนานแล้ว..เพราะงั้นฉันก็เลยต้องกลับไปหาพวกเขาในช่วงปีใหม่นี้..แล้วคุณลูกเขยจะไม่ไปเยี่ยมพ่อตากับแม่ยายในอนาคตหรอ?”
เย่เชียนก็หัวเราะและพูดว่า “ถ้าคุณไม่กลับมาเร็วๆ ล่ะก็ผมจะไปรับคุณกลับมาเอง..และจะตะโกนดังๆ เลยว่าตระกูลหลิน! ..กล้าที่จะรั้งภรรยาของผมไว้อย่างงั้นเหรอ..ได้เลย..อย่าถือโทษโกรธเคืองที่ผมคนนี้โหดร้ายก็แล้วกัน” หลังจากพูดจบหลินโรวโร่วก็หัวเราะอย่างสนุกสนาน
“แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาไม่ยอมให้ฉันกลับมาล่ะ” หลินโรวโร่วถามด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าอย่างงั้นผมก็มีอยู่หลายวิธี..วิธีแรกเลยผมก็จะพาเหล่าพี่น้องเขี้ยวหมาป่าไปเยือนเพราะพวกเขาน่ะไม่กลัวแม้เทพเจ้า..วิธีที่สองผมก็จะไปที่ศาลยุติธรรมเพื่อฟ้องร้องพวกเขาในข้อหาแทรกแซงและกีดกั้นเสรีภาพในการแต่งงาน..เนื่องจากบ้านเมืองมีกฎหมายเพราะงั้นผมก็จะใช้กฎหมายเหล่านั้น” เย่เชียนพูด
“โถ่..คุณเป็นศาลเตี้ยรึไง” หลินโรวโร่วจ้องเขม็งเย่เชียนและพูดว่า “นั่นพ่อกับแม่ของฉันนะ..ไม่ว่ายังไงคุณก็ไม่สามารถหยาบคายกับพวกเขาได้นะรู้มั้ย?”
เย่เชียนยิ้มเบาๆ และพูดว่า “แน่นอนอยู่แล้วสิ..แต่มีอะไรที่คุณยังไม่รู้นะ”
“มีอะไรหรอ?” หลินโรวโร่วถามด้วยความประหลาดใจ
“ก็ตอนที่คุณไปแอฟริกาใต้น่ะผมไปเมืองหางโจวมาและก็ไปเยี่ยมพ่อตากับแม่ยายในอนาคตของผมมาด้วย..คุณไม่รู้หรอกว่าพี่ของคุณน่ะมีความสุขมากแค่ไหน..และเขาก็บอกว่าในที่สุดคุณก็จะได้แต่งงานแล้วและขอให้ผมไปสู่ขอคุณโดยเร็วที่สุด..ก็ตามนั้นเลย”
“คุณพูดอะไรของคุณกันเนี่ย” หลินโรวโร่วพูดและสะบัดสบิ้งไปมาและพยายามจะต้านเย่เชียนเอาไว้เพราะเย่เชียนนั้นโอบเธอเข้ามาในอ้อมแขนของเขาและพูดว่า “ผมพูดจริงนะ..ผมไปพบพ่อกับแม่ของคุณมาจริงๆ” หลังจากนั้นเย่เชียนก็พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านของตระกูลหลินวันนั้นอย่างจริงจัง
หลังจากที่หลินโรวโร่วได้ยินเธอก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะและพูดว่า “คุณ … คุณทำแบบนั้นจริงๆ หรอ?”
“มันไม่มีเหตุผลเลยที่แม่ยายจะห้ามไม่ให้ลูกเขยเข้าบ้านน่ะ..เพราะงั้นผมก็เลยยืนตะโกนอยู่หน้าบ้านน่ะ” เย่เชียนพูด
“แล้วแม่ของฉันไม่โกรธหรอ” หลินโรวโร่วถามด้วยความประหลาดใจเพราะในความทรงจำของเธอนั้นแม่ของเธอค่อนข้างที่จะจริงจังและหวงลูกสาวอยู่เสมอและก็ไม่มีใครคนไหนกล้าทำแบบนี้กับเธอมาก่อนเลย ครึ่งหนึ่งสมัยตอนที่หลินโรวโร่วยังเรียนอยู่ก็มีหนุ่มน้อยคนหนึ่งในมหาลัยที่ต้องการตามจีบเธอแต่ทว่าโชคร้ายที่ซูเหม่ยเห็นจดหมายรักที่เขาเขียนถึงหลินโรวโร่วและหลังจากนั้นซูเหม่ยก็ไปคุยกับหนุ่มน้อยคนนั้นโดยตรงและหลังจากนั้นมาเมื่อหนุ่มน้อยคนนั้นเห็นหลินโรวโร่วเขาก็เปลี่ยนไปเป็นความหวาดกลัวในทันที ซึ่งเมื่อหลินโรวโร่วนึกถึงเรื่องนี้แล้วบางครั้งเธอก็พบว่ามันตลกอย่างมากนั่นก็เพราะว่าหนุ่มน้อยคนนั้นเป็นเด็กหัวดื้ออย่างมากในห้องเรียนและแม้แต่ครูประจำชั้นก็เขาก็ไม่กลัวแต่กลับกลัววูเหม่ยอย่างถึงที่สุด
“ยัยโง่..เธอไม่รู้หรอกว่าพอเม่ยายเห็นลูกเขยแล้วเขาก็ยิ่งประทับใจ..เพราะลูกเขยอย่างผมน่ะหายากมากในโลกใบนี้..ยิ่งไปกว่านั้นมันถ้าเขาเป็นมังกรผมก็เป็นเสือถึงยังไงเราก็อยู่ด้วยกันได้..คุณไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก..คุณแม่ยายเขาประทับใจในตัวผมอยู่”
“นี่คุณไม่รู้สึกละอายบ้างหรอที่พูดแบบนั้น” หลินโรวโร่วพูดต่อ “แล้วพ่อของฉันล่ะ..เขามีปฏิกิริยายังไงบ้าง?”
“โห..เขาจริงจังมากเลย..เขาพูดกับผมว่า..เย่เชียน! ..โรวโร่วน่ะ..ถึงแม้ว่าฉันจะยอมให้ลูกของฉันไปอยู่กับเธอก็จริง..แต่ถ้าเธอกล้าที่จะทำให้ลูกสาวของฉันเสียใจล่ะก็..อย่ามาโทษฉันก็แล้วกันที่ฉันโหดร้ายน่ะ!” เย่เชียนเลียนแบบเสียงของหลินไห่ในขณะที่เขาพูด
“กัดลิ้นตัวเองให้ขาดไปเลย..เสียงพ่อของฉันน่ะไม่ได้หยาบคายเหมือนของคุณนะ” หลินโรวโร่วพูดพร้อมกับถอนหายใจขณะที่จ้องมองเย่เชียน
เย่เชียนก็หัวเราะเบาๆ และไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เชียนแล้วถึงแม้ว่าหลินโรวโร่วจะไม่รู้สถานการณ์ในเวลานั้นก็ตามแต่เธอก็เดาได้ว่าพ่อกับแม่ของเธอนั้นเห็นด้วยแล้วดังนั้นเธอจึงมีความสุขอยู่ในใจและกอดเย่เชียนเอาไว้แน่น
…..
ไม่กี่วันต่อมากองทุนแห่งอนาคตก็ได้จัดพิธีตัดริบบิ้นอย่างเป็นทางการโดยมีผู้สื่อข่าวจากสื่อและนิตยสารชั้นนำทั่วประเทศแห่กันมาที่นี่ ซึ่งในปัจจุบันเครือน่านฟ้ากรุ๊ปก็เป็นที่สนใจและเป็นทีโด่งดังในเมืองเซี่ยงไฮ้แล้วและได้กลายเป็นองค์กรที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเซี่ยงไฮ้ไปแล้ว ซึ่งการประมูลโครงการฟื้นฟูและบูรณะเมืองเก่านั้นก็ประสบความสำเร็จแล้วและผลักดันให้เครือน่านฟ้ากรุ๊ปเป็นที่สนใจของคนในเมืองทุกคน
พิธีตัดริบบิ้นนั้นจัดขึ้นที่โรงแรมไฮแอทโดยมีผู้ว่าการเทศบาลเมืองหวังปิงและผู้อำนวยการกระทรวงการศึกษาธิการผู่ซู่จิ่วและเหล่าCEOขององค์กรใหญ่ๆ ในเมืองเซี่ยงไฮ้อีกมากมายที่มาร่วมแสดงความยินดีด้วย ซึ่งละแวกด้านนอกของโรงแรมไฮแอทนั้นก็เต็มไปด้วยสื่อและสำนักข่าวและสื่อมวลชนจากที่ต่างๆ มากมายและเพื่อความปลอดภัยหวังปิงจึงสั่งให้กรมการขนส่งปิดถนนทั้งสายเป็นพิเศษและใช้ทางด่วนพิเศษเพื่อใช้ในการเดินทางแทน
ที่ส่วนของห้องล็อบบี้ของโรงแรมนั้นก็เต็มไปด้วยรสชาติและสีสันของเทศกาลต่างๆ ภายในห้องส่วนตัวนั้นหลินโรวโร่วก็กำลังจัดเสื้อผ้าของเย่เชียนอย่างประณีตด้วยชุดสูทและเนกไท Armani ซึ่งในตอนนี้รูปลักษณ์ของเย่เชียนนั้นเหมือนกับการปรับโฉมใหม่ทั้งหมดและแสดงให้ความรู้สึกเหมือนคนที่ประสบความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ที่ดูมีอ่อร่าและราศี
“เป็นไงบ้าง?” เย่เชียนเก๊กท่าและถามด้วยรอยยิ้ม
“หล่อมาก!” หลินโรวโร่วพูดชมด้วยรอยยิ้ม
เย่เชียนตอนนี้นั้นทำตัวเหมือนเด็กที่ได้รับการยกย่องจากผู้ใหญ่เพราะตอนนี้เขาแสดงรอยยิ้มที่สดใสและพูดว่า “แน่นอนอยู่แล้ว..สามีของคุณต้องหล่ออยู่แล้ว”
ชุดของหลินโรวโร่วนั้นมีเสน่ห์เป็นพิเศษและดูเหมือนว่าจะน่ารักมากกว่าเมื่อก่อนอย่างมาก เย่เชียนจ้องเขม็งไปที่หลินโรวโร่วและพูดว่า “คุณสวยและดูดีมาก..อย่าปล่อยให้ตัวเองอ้วนล่ะ!”
ในขณะนี้ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดออกและร่างของซ่งหลันก็ปรากฏขึ้นที่หน้าประตู และเมื่อเธอเห็นทั้งสองคนกำลังเล่นหูเล่นตากันอย่างหวานชื่นแล้วเธอก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยแล้วพูดว่า “ป่ะ..ทุกคนพร้อมแล้ว..ไปตัดริบบิ้นกันเถอะ!”
“ไปกันเถอะ!” เย่เชียนพูดและกางแขนออก ส่วนหลินโรวโร่วก็ควงแขนของเย่เชียนเอาไว้อย่างเป็นธรรมชาติแล้วเดินลงไปชั้นล่างพร้อมๆ กัน
เมื่อเห็นเย่เชียนออกมาหวังปิงและผู่ซู่จิ่วก็รีบทักทายเขา เย่เชียนก็ยื่นมือออกมาและจับมือกับพวกเขาทีละคนและพูดว่า “เป็นเกียรติมากครับที่น้องเย่คนนี้ได้ร่วมมือกับท่านผู้ว่าหวังและท่านผู้อำนวยการผู่”
“ประธานเย่ได้ทำประโยชน์ให้กับสังคมอย่างมากมายมหาศาลและก่อตั้งกองทุนนักเรียนถึงขนาดนี้..เราก็ควรมาแสดงความยินดีสิ” ผู่ซู่จิ่วพูดด้วยรอยยิ้ม
“ใช่! ..ถ้าสังคมมีคนอย่างน้องเย่อีกล่ะก็ในอนาคตประเทศชาติของเราก็จะมีความสามัคคีกันมากขึ้นและสร้างสังคมแห่งความปรองดอง..นั่นไม่ใช่ของขวัญที่ธรรมดาๆ เลย” หวังปิงพูด
“ผู้ว่าหวัง..ผู้อำนวยการผู้..พวกคุณก็พูดเกินไป..นี่คือสิ่งที่ผมทำได้..เพราะงั้นผมก็ต้องทำ..มันไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นเลย” เย่เชียนพูดต่อ “ผู้ว่าหวัง..ผู้อำนวยการผู่..พวกเราไปตัดริบบิ้นด้วยกันเถอะ!”
“คุณเย่เป็นผู้ทรงเกียรติของวันนี้..เชิญคุณก่อนเลยครับ!” ผู่ซู่จิ่วพูด
“มาเถอะครับ..ผู้ว่าหวัง..ผู้อำนวยการผู่ก็เป็นถึงตัวแทนของประเทศและรัฐบาล..เพราะงั้นพวกเราไปพร้อมกันเถอะ” เย่เชียนพูด เย่เชียนนั้นยังคงรู้วิธีการทำคะแนนและการให้ใจพวกเขาเพราะในที่สาธารณะเช่นนี้ก็จะมีนักข่าวอยู่ข้างนอกมากมายและตราบใดที่ทั้งสามคนออกไปข้างนอกพร้อมๆ กันพวกเขาก็จะต้องถูกถ่ายรูปด้วยกันอย่างแน่นอนและภาพของทั้งสามก็จะทำให้สถานการณ์ต่างๆ ยิ่งดูดีและมีภาพลักษณ์ที่ยอดเยี่ยมอย่างมาก
ทั้งสามคนก็พยักหน้าให้กันและกัน หลังจากนั้นพวกเขาทั้งสามก็เดินออกไปพร้อมๆ กัน ทางด้านนอกของประตูนั้นเหล่าผู้สื่อข่าวและสื่อมวลชนที่รอคอยกันอย่างใจจดใจจ่อก็ถ่ายรูปอยู่และแสงแฟลชก็กะพริบไปทั่วทุกสารทิศทันที
หวังปิง,ผู่ซู่จิ่ว,เย่เชียน,ซ่งหลันและหลินโรวโร่วต่างก็จับปลายของริบบิ้นและในทันใดนั้นเสียงพุก็ดังขึ้นและทั้งห้าคนก็ยิ้มให้กันเพื่อทำพิธีตัดริบบิ้นอย่างเป็นทางการให้เสร็จสิ้น
“เย่เชียน..เปิดมันสิ!” ซ่งหลันพูดด้วยรอยยิ้ม
มีแผ่นป้ายขนาดใหญ่แขวนอยู่ใจกลางของโรงแรมโดยคลุมด้วยผ้าสีแดงสด ซึ่งเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่นเพราะมันสูงมากจนเขาเอื้อมไม่ถึงและมันก็ไม่มีบันไดเลย หลังจากนั้นเขาก็หันไปมองซ่งหลันและยิ้มแหยงๆ ให้เพราะเรื่องแบบนี้จะต้องเป็นเพราะเธอจงใจอย่างแน่นอน
ซ่งหลันก็จ้องมองไปที่เย่เชียนอยากซุกซนและขยิบตาให้พร้อมกับยิ้มเล็กยิ้มน้อย หลังจากนั้นเย่เชียนก็เดินไปที่ด้านล่างของแผ่นโลหะด้วยรอยยิ้มจากนั้นเขาก็กระโดดขึ้นไปและดึงผ้าสีแดงออกจากนั้นทุกคนก็จะเห็นป้ายตัวอักษรว่า “กองทุนแห่งอนาคต” สีแดงสวย
พิธีที่พิเศษเช่นนี้หาได้ยากมากจึงทำให้มีเสียงปรบมืออย่างล้นหลามไปทั่วด้านนอกของโรงแรมและกล้องถ่ายรูปและกล้องวิดีโอก็จับจ้องไปที่เย่เชียนกันอย่างใจจดใจจ่อ
เมื่อเห็นว่าเหล่านักข่าวกำลังเริ่มรุมถามคำถามแล้วซ่งหลันจึงโบกมือขึ้นและพูดว่า “พี่ๆ น้องๆ สื่อมวลชนทั้งหลาย..โปรดอย่ากังวลไป..ทางเราจะจัดงานแถลงข่าวอย่างเป็นทางการในภายหลัง..และพวกคุณก็สามารถถามคำถามต่างๆ ได้อีกหลังจากงานแถลงข่าว..เพราะตอนนี้ทางโรงแรมได้จัดงานเลี้ยงเพื่อสร้างความบันเทิงให้กับทุกคน..ยินดีต้อนรับ!”
ในฐานะประธานบริหารร่วมของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปแล้วความสง่างามของซ่งหลันก็ทำให้ทุกคนสงบลงได้ในทันทีและทำให้ผู้สื่อข่าวทุกคนที่กำลังจับกลุ่มกันสงบลงและเตรียมการเพื่องานแถลงข่าวดังกล่าวอย่างเชื่อฟังทันที
“ผู้ว่าหวัง..ผู้อำนวยการผู่..เชิญครับ!” เย่เชียนพูด
“ขอบคุณ!” ทั้งสองก็ตอบด้วยรอยยิ้ม
ด้านในล็อบบี้ของโรงแรมนั้นถูกจัดเตรียมเอาไว้อย่างยอดเยี่ยมโดยมีโต๊ะยาวตรงกลางและมีไมโครโฟนอยู่ด้านบนและมีที่นั่งด้านล่างอย่างเป็นระเบียบ ซึ่งบนโต๊ะยาวนั้นตรงกลางมีถ้วยชาวางอยู่ด้านหน้าและไมโครโฟนแต่ละตัวในตำแหน่งต่างๆ โดยเย่เชียนจะอยู่ตรงกลางและหลินโรวโร่วกับผู่ซู่จิ่วจะอยู่ทางด้านซ้ายส่วนซ่งหลันกับหวังปิงจะอยู่ทางด้านขวา
.
.
.
.
.
.
.