ตอนที่ 331 ผู้หญิงฉลาดมีไหวพริบ
เย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “อ้าวสวัสดีครับคุณพัค..เจอกันอีกแล้ว!”
พัคฮยอนจูเป็นผู้ช่วยของหลี่ลู่หลานซึ่งเธอก็ถึงกับผงะไปเมื่อเห็นเย่เชียนหลังจากนั้นเธอก็ยิ้มและพูดว่า “สวัสดีค่ะคุณเย่..คุณมาเยี่ยมเธอด้วยหรอคะ?”
“เปล่าครับ..ผมตั้งใจมาหาคุณพัคโดยเฉพาะเลย..คุณพอมีเวลาไปทานข้าวด้วยกันสักหน่อยมั้ยครับ?” เย่เชียนพูด
พัคฮยอนจูก็ตกตะลึงไปชั่วขณะและเธอก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยเธอเพราะเธอรู้มากจากหลี่ลู่หลานเมื่อวันก่อนว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าของเธอคือพี่เขยของหลินยี่และดูเหมือนว่าวันนี้เขากำลังมองหาตัวเองเพราะเรื่องของหลินยี่เป็นแน่ ซึ่งเมื่อนึกถึงสิ่งนี้พัคฮยอนจูก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “ได้สิคะคุณเย่..คุณเชิญฉันขนาดนี้แล้วฉันจะปฏิเสธคุณได้ยังไงล่ะคะ” หลังจากนั้นเธอก็เดินมาที่รถและเปิดประตูรถแล้วก็เข้าไปนั่ง
“คุณพัคชอบกินอาหารแบบไหนหรอครับ?” เย่เชียนถาม
“ฉันมาประเทศจีนก็เลยอยากจะกินอาหารจีนค่ะ..ฉันเองก็ชอบอาหารเสฉวนมากเลยค่ะ” พัคฮยอยจูพูดตรงไปตรงมาอย่างสบายๆ ผู้ช่วยของเหล่าคนดังอย่างเธอที่มักจะติดต่อกับผู้คนที่แตกต่างกันมาหลายประเภทและทุกเพศทุกวัยจนถึงทุกวันนี้โดยปกติแล้วเธอก็มักจะปรับตัวได้กับทุกสถานการณ์ และถึงแม้ว่าเธอจะยังไม่เข้าใจถึงเจตนาและจุดประสงค์ที่แท้จริงของเย่เชียนก็ตามแต่ถึงยังไงแล้วมันก็ต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องของหลินยี่อย่างแน่นอนซึ่งเธอคิดเช่นนั้น เธอเองก็มั่นใจในเรื่องนี้อยู่เหมือนกันเพราะไม่เช่นนั้นเย่เชียนก็คงจะไม่เชิญเธอไปทานมื้อค่ำโดยไม่มีเหตุผลอะไรอย่างแน่นอน ซึ่งเธอเองก็ไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้เลย
ระหว่างที่เย่เชียนขับรถออกจากโรงพยาบาลเขาก็พูดขึ้นมาว่า “ผมไม่รู้มาก่อนเลยนะว่าคนเกาหลีจะชอบอาหารเสฉวนน่ะ..รสนิยมของคุณพัคเนี่ยยอดเยี่ยมมากเลยนะครับ..คุณดูไม่เหมือนคนเกาหลีเลย”
พัคฮยอนจูก็หัวเราะเบาๆ และพูดว่า “ค่ะ..แม่ของฉันเป็นชาวจีนเพราะงั้นฉันก็เลยชอบอาหารจีนมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วค่ะ.. และก็ประเทศเกาหลีน่ะกินกิมจิกันทุกวันเลย..พอนานๆ ไปฉันก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะกลายเป็นกิมจิไปซะแล้วน่ะ”
“คุณพัคเนี่ยเป็นคนอารมณ์ดีมากเลยนะครับ” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้ม
ทั้งสองก็คุยกันมาตลอดทางและหลังจากนั้นไม่นานนักพวกเขาก็มาถึงหน้าร้านอาหารจีนเสฉวนและทั้งสองก็ลงจากรถและเดินเข้าไปหาที่จะนั่งและสั่งอาหารกันอย่างเป็นธรรมชาติ
เย่เชียนก็หยิบแก้วไวน์ขึ้นมาและพูดว่า “การกินอาหารเสฉวนน่ะต้องควบคาไปกับแอลกอฮอล์แรงๆ ..เพราะความเผ็ดร้อนมันจะส่งผ่านจากปากไปยังกระเพาะอาหารโดยตรงและกลิ่นของแอลกอฮอล์ก็จะพุ่งตรงไปยังสมองจากลำคอน่ะ..ความรู้แบบสึกนั้นมันจะสบายและสดชื่นมากกว่าการกินโสมแท้ๆ ซะอีก..คุณน่าจะลองสักแก้วนะครับ”
พัคฮยอนจูก็ยิ้มเบาๆ และพูดว่า “คุณเย่คะ..ฉันคิดว่าที่คุณเย่มาหาฉันแบบนี้คุณคงไม่ได้มาเพราะจะชวนฉันมาดินเนอร์หรอกใช่มั้ยคะ? ..คุณพูดมาเถอะค่ะฉันจะได้ทานอาหารได้อย่างสบายใจ”
“คุณพัคเนี่ยเป็นคนตรงๆ จริงๆ ..ถ้างั้นผมก็จะพูดเลยก็แล้วกัน” เย่เชียนพูด “วันนี้ที่ผมมาหาคุณพัคก็เกี่ยวกับเรื่องของหลี่ลู่หลานน่ะครับ..หลินยี่น่ะเป็นน้องชายภรรยาของผม..ผมเลยไม่อยากให้มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเขา..คุณพัคเข้าใจสิ่งที่ผมจะสื่อใช่มั้ยครับ”
“คุณเย่ไม่ต้องกังวลไปนะคะ..จริงๆ แล้วฉันจ้องตั๋วเพื่อบินไปประเทศฝรั่งเศสในคืนนี้แล้วค่ะ” พัคฮยอนจูพูดด้วยรอยยิ้ม
ท่าทีและการกระทำของพัคฮยอนเช็คเงินสดนั้นเกินความคาดหมายของเย่เชียนอย่างมากซึ่งหลังจากได้ยินคำพูดของเธอแล้วเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึง เมื่อเห็นเช่นนั้นพัคฮยอนจูก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “ถึงแม่ว่าฉันจะไม่รู้จักตัวตนของคุณเย่เลยก็เถอะ..แต่ฉันก็เห็นแล้วว่าคุณสามารถนัดพบกับหลี่ลู่หลานจากบริษัทต้นสังกัดได้โดยตรงแบบนั้นฉันก็รู้ได้ทันทีว่าคุณเย่น่ะจะต้องไม่ใช่คนธรรมดาๆ อย่างแน่นอน..ฉันเองก็รู้ว่าโลกแห่งความเป็นจริงนั้นมันเป็นยังไง..เพราะถ้าเกิดเรื่องแบบในวันนี้ขึ้นฉันก็รู้ว่าเรื่องต่างๆ มันต้องซับซ้อนมากแน่ๆ ..อันที่จริงแล้วตอนที่ฉันก้าวขึ้นรถน่ะฉันก็หวาดกลัวและหวาดระแวงว่าคุณเย่จะฆ่าฉันหรือเปล่า? ..ที่ฉันมาที่นี่ก็แค่มาทำงานเพียงเท่านั้นฉันไม่ได้อยากมาตาย..ซึ่งเรื่องหลี่ลู่หลานมันก็เกิดขึ้นไปแล้วและมันก็ยากสำหรับฉันจริงๆ ที่ต้องกลับไปอธิบายสิ่งต่างๆ ให้ต้นสังกัดฟัง..และพอฉันครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่พักหนึ่งฉันก็ตัดสินใจจองตั๋วเครื่องบินเพื่อบินไปยังประเทศฝรั่งเศสตอนสี่ทุ่มคืนนี้ค่ะ”
เธอช่างเป็นผู้หญิงที่ฉลาดอะไรอย่างนี้! เย่เชียนตะโกนออกมาอย่างลับๆ ในใจ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่สบายและไม่ยุ่งยากนักที่จะเผชิญหน้ากับคนที่ฉลาดเช่นเธอ เย่เชียนก็หัวเราะเบาๆ และพูดว่า “ถ้าคุณพัคพูดแบบนั้นผมก็โล่งใจครับ..ผมจะจดจำความมีน้ำใจของคุณพัคเอาไว้..และถ้าหากคุณพัคต้องการอะไรในอนาคตก็ติดต่อผมมาได้เลยนะครับ..เย่เชียนคนนี้จะทำทุกอย่างให้คุณเอง..ว่าแต่! ..ไม่ทราบว่าคุณพัคมีแผนจะทำอะไรหลังจากไปฝรั่งเศสหรอครับ?”
“จริงๆ แล้วฉันน่ะเบื่อหน่ายกับวงการบันเทิงมามากพอแล้ว..ฉันเบื่อจริงๆ ..และอีกอย่างพ่อกับแม่ของฉันน่ะพวกเขาก็ย้ายไปอยู่ที่ฝรั่งเศสกันตั้งนานแล้ว..และคราวนี้ฉันก็จะได้กลับไปอยู่กับครอบครัวได้สักที..และก็จะไปหางานอื่นที่ธรรมดาๆ ทำคงจะดีกว่าน่ะค่ะ” พัคฮยอนจูพูด
“ถ้าอะไรที่ทำแล้วสบายใจเราก็ควรจะทำ..ยังไงก็เถอะถ้าในอนาคตหากคุณพัคต้องการอะไรหรือจะให้ผมช่วยอ่ะไรก็ติดต่อผมมาได้เลยนะครับ..แล้วก็ถ้าหากคุณพัคต้องการที่จะหางานทำในประเทศฝรั่งเศสล่ะก็คุณลองไปที่สำนักงานเครือน่านฟ้ากรุ๊ปสาขาฝรั่งเศสก็แล้วกันนะครับ..เดี๋ยวผมจะแจ้งให้พวกเขาทราบเอาไว้ก็แล้วกันครับ” เย่เชียนพูด
พัคฮยอนจูก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงและถามด้วยความประหลาดใจว่า “เครือน่านฟ้ากรุ๊ปเป็นบริษัทของคุณเย่หรอคะ?”
เย่เชียนก็ยิ้มเบาๆ และพยักหน้าจากนั้นก็พูดว่า “ใช่ครับ! ..เครือน่านฟ้ากรุ๊ปเป็นหนึ่งในของธุรกิจของผมครับ”
พัคฮยอนจูดูแปลกใจและตกตะลึงอย่างมากเพราะเธอเองก็มักจะเดินทางไปต่างประเทศอยู่บ่อยครั้งซึ่งทำให้เธอรู้จักเครือน่านฟ้ากรุ๊ปได้โดยธรรมชาติ เพราะถึงแม้ว่าเครือน่านฟ้ากรุ๊ปนั้นจะไม่ใช่บริษัทอันดับหนึ่งของโลกก็ตามแต่ถึงยังไงเครือน่านฟ้ากรุ๊ปก็ติดอันดับ 1 ใน 20 บริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกได้ซึ่งมันยิ่งใหญ่มากจริงๆ “โห..ขอโทษค่ะที่ถาม..ฉันไม่รู้จริงๆ” พัคฮยอนจูพูด
“ไม่เป็นไรครับ..คุณพัคเนี่ยเป็นคนตรงๆ มากเลย” เย่เชียนก็ยิ้มและเอื้อมมือไปหยิบเช็คเงินสดออกมาจากเสื้อของเขาและพูดว่า “นี่ครับ..นี่เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากผม..ผมหวังว่าคุณพัคจะรับเอาไว้นะครับ”
“โอ้ไม่ๆ ค่ะ..ฉันจะรับเงินของคุณเย่เอาไว้ได้ยังไงกันคะ” ในตอนนี้พัคฮยอนจูรู้สึกแล้วว่าเธอได้ปีนขึ้นไปบนกิ่งไม้ที่สูงสุดหูสุดตาและเธอก็ไม่กล้าที่จะมีความคิดอื่นๆ และความหมายอื่นๆ ในใจของเธออีกต่อไป
เย่เชียนก็ไม่ได้ดึงเช็คเงินสดกลับแต่อย่างใดซึ่งเขาก็ยังคงยื่นให้เธอพร้อมรอยยิ้มและเขาก็พูดว่า “ผมชอบคนแบบคุณพัคนะ..ผมชอบผูกมิตรกับคนนิสัยแบบคุณมาก..ถ้าคุณพัคไม่รับมันเอาไว้เผมก็เสียใจแย่น่ะสิ..เงินน่ะมันก็เป็นเพียงแค่สิ่งของนอกกายไม่ตายก็หาใหม่ได้..แต่เพื่อนกับมิตรภาพน่ะคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผม”
ด้วยเหตุนี้พัคฮยอนจูจึงไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธอีกต่อไปและหลังจากที่เธอขอบคุณเย่เชียนแล้วพัคฮยอนจูก็เก็บเช็คเงินสดลงในกระเป๋าถือของเธอโดยที่เธอไม่ได้ดูหมายเลขจำนวนเงินด้านบนของเช็คเลย เพราะเนื่องจากเธอได้รับมาจากCEOของ บริษัทยักษ์ใหญ่20อันดับแรกของโลกเช่นนี้ดังนั้นจำนวนเงินก็ต้องไม่น้อยอย่างแน่นอนและที่สำคัญสำหรับเธอเองนั้นเธอก็ไม่สนใจเลยว่าเงินนั้นจะมีมูลเท่าไหร่เพราะการได้ทำงานภายใต้เย่เชียนนั้นคุ้มเสียยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดที่เธอเคยได้รับมา
เครื่องบินไฟต์ฝรั่งเศสนั้นจะออกในเวลาสี่ทุ่มตรงดังนั้นพัคฮยอนจูจึงไม่ได้รีบร้อนอะไรและตอนนี้เธอก็ทานอาหารและพูดคุยกับเย่เชียนจนเกือบจะถึงเวลาสี่ทุ่ม ซึ่งเมื่อพูดถึงความสามารถในการทำงานของพัคฮยอนจูแล้วดูเหมือนว่าเธอจะเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งและมีความรับผิดชอบอย่างมาก ซึ่งในฐานะที่เธอเป็รหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์สิ่งต่างๆ ในแวดวงบันเทิงนั้นเธอก็สามารถรู้วิธีทำกำไรจากสิ่งบันเทิงได้เป็นอย่างดี ซึ่งสิ่งนี้ได้กระตุ้นความสนใจของเย่เชียนอย่างมากเพราะเขาเองก็คิดที่จะตั้งบริษัทบันเทิงอยู่เล่นกันและอยากที่จะสร้างโอเรียนเต็ลฮอลลีวูดของจีนเพื่อดึงดูดให้ชาวต่างชาติอยากที่จะมาประเทศจีนเพิ่มขึ้น
เมื่อใกล้ถึงเวลาสี่ทุ่มเย่เชียนก็ขับรถพาพัคฮยอนจูไปส่งที่สนามบินเป็นการส่วนตัวและเดินไปส่งเธอขึ้นเครื่องและหลังจากนั้นเขาก็ขับรถออกมาจากสนามบินและขับรถตรงไปที่สถานีตำรวจ ซึ่งขณะนี้เย่เชียนก็คาดว่าเหล่าเจ้าหน้าที่ในสถานีตำรวจก็คงจะเลิกงานกันไปหมดแล้วและเหลือเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าเวรเพียงไม่กี่คนที่ยังปฏิบัติหน้าที่อยู่
เมื่อไปถึงสถานีตำรวจก็เป็นเวลาเกือบห้าทุ่มแล้วเย่เชียนก็ลงจากรถและเดินตรงเข้าไปข้างในซึ่งมีตำรวจอยู่เพียงสองคนที่ปฏิบัติหน้าที่เข้าเวรอยู่ในตอนนี้และพวกเขาก็กำลังนั่งอยู่บนโต๊ะและหลับไป โชคดีที่เย่เชียนนั้นไม่ใช้โจรเพราะไม่อย่างนั้นก็จะไม่มีใครรู้ได้เลยว่าใครขโมยของจากสถานีตำรวจไป
“ปักปักปัก!” เย่เชียนเคาะโต๊ะสองสามครั้งและเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าเวรอยู่ก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นและลืมตาขึ้นและมองไปที่เย่เชียนด้วยความตื่นตระหนกตกใจ “คุณ…คุณเป็นใคร? ..คุณเข้ามาได้ยังไง?” เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เจ้าเวรอยู่ก็มีท่าทีหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “ผมก็เดินเข้ามาไงครับ..มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ผมจะบินเข้ามา..ผมเป็นพี่เขยของหลินยี่ครับ..เขาอยู่ที่ไหนหรอ?”
“พี่เขยของหลินยี่?” เห็นได้ชัดเลยว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่เชื่อและชำเลืองมองเย่เชียนขึ้นลงจากหัวจรดเท้าเพราะเขากลัวว่าเย่เชียนจะเป็นโจร “พี่เขยของหลินยี่? ..โทษทีนะฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าหลินยี่มีพี่เขยด้วย? ..คุณเป็นใคร?”
“โถ่เอ๊ย..ก็บอกแล้วไงว่าผมเป็นพี่เขยของหลินยี่..คุณจะให้ผมเรียกหลินไห่พ่อตาของผมมาเลยมั้ยล่ะ?” เย่เชียนรู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อยกับตำรวจคนนี้อาจจะเป็นเพราะเพิ่งตื่นจากการแอบหลับในขณะปฏิบัติหน้าที่เขาจึงกำลังงุนงงและรับรู้ได้ช้า หลังจากนั้นเย่เชียนก็หยิบกระดาษตราประทับออกมาจากเสื้อของเขาและโยนมันลงไปที่โต๊ะและพูดว่า “ดูซะ! ..ถ้าเป็นแบบนี้ผมจะไปหาหลินยี่ได้รึยัง”
เจ้าหน้าที่ตำรวจก็กระดาษตราประทับขึ้นมาดูแล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะสะดุ้งและตื่นตระหนกในทันทีเพราะชายหนุ่มคนนี้กับตำแหน่งราชการทางการเช่นนี้มันคืออะไรกันแน่? แต่เมื่อเขาตระหนักและครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เขาก็รู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องเพราะคนที่อายุน้อยอย่างเย่เชียนจะเป็นถึงบุคคลระดับจอมพลได้อย่างไร? และไม่ต้องพูดถึงจอมพลเลยเพราะขนาดยศพลเอกนั้นในประเทศจีนก็ยังมีเพียงแค่ไม่กี่คนเอง
เมื่อเห็นท่าทางที่ตกตะลึงของเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วเย่เชียนก็รู้สึกหดหู่ใจจริงๆ เพราะคิดว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจคนนี้นั้นไม่สามารถเข้าใจถึงตัวตนนี้ของเย่เชียนได้เลยแม้แต่น้อย และถึงแม้ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้น้อยคนนี้จะไม่เชื่อก็ตามแต่ถึงยังไงเขาก็ไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะไปตรวจสอบเรื่องนี้ หลังจากนั้นเย่เชียนก็หยิบกระดาษตราประทับใส่เข้าไปในเสื้อของเขาและพูดว่า “ถ้างั้นก็โทรไปถามพ่อตาของผมซะ..เสียเวลาจริงๆ”
เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จ้องมองไปที่ท่าทางที่ไม่สบอารมณ์ของเย่เชียนโดยไม่กล้าที่จะแสดงความสงสัยอะไรอีก และนอกจากนี้เขาก็ยังรู้ว่าหลินไห่นั้นมีลูกสาวดังนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะสงสัยอีก ซึ่งพ่อตาของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าของเขานั้นเป็นถึงรองเลขาธิการคณะกรรมการพรรคประจำมณฑล ดังนั้นตำรวจชั้นผู้น้อยอย่างเขาจะกล้าทำให้พวกเขาขุ่นเคืองได้อย่างไร? หลังจากนั้นเข้าก็พูดว่า “หลินยี่อยู่ในห้องขัง..เดี๋ยวผมจะพาคุณไปที่นั่น”
หลังจากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในห้องร้องทุกข์และเคาะโต๊ะเพื่อปลุกเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกคนที่เข้าเวรอยู่แล้วพูดว่า “เอ้าตื่นๆ ..เฝ้าเวรดีๆ ..เดี๋ยวฉันจะพาคุณคนนี้ไปหาหลินยี่น่ะ”
“เอ่อๆ” เจ้าหน้าที่ตำรวจอีกคนก็ตอบด้วยความงัวเงียและลุกขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือและเดินออกไปเฝ้าหน้าทางเข้าของสถานี
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจคนแรกก็พาเย่เชียนเดินตรงไปที่ห้องขังซึ่งฉากเบื้องหน้าของเย่เชียนนั้นถึงกับทำให้เย่เชียนตกตะลึงอยู่เล็กน้อยเพราะเขาเห็นหลินยี่นั่งยองๆ อยู่ที่มุมหนึ่งของห้องซึ่งมีรอยฟกช้ำตามใบหน้าและก็มีนักโทษคนอื่นๆ ที่กำลังหลับอยู่ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ใช้กระบองเคาะประตูเหล็กและตะโกนว่า “อ่าวเฮ้ย! ..ตื่นๆๆ”
เย่เชียนก็ขมวดคิ้วแน่นและมีร่องรอยของความโกรธเกรี้ยวฉายอยู่ภายในดวงตาของเขาและก็จ้องเขม็งไปที่เจ้าหน้าที่ตำรวจและพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์ว่า “นี่คุณไม่รู้เหรอว่าครอบครัวเขาเป็นใคร..ใครบอกให้คุณจับเขาขังเอาไว้ที่นี่?”
เจ้าหน้าที่ตำรวจก็สังเกตเห็นแผลฟกช้ำเจ็บบนใบหน้าของหลินยี่และเขาก็ตกใจพลางคิดว่าให้ตายเถอะถ้าหลินไห่รู้เรื่องนี้แล้วตัวเองจะเป็นยังไงเพราะหลานชายของเขาโดนนักโทษซ้อมแบบนี้ในสถานีตำรวจในขณะที่เขาปฏิบัติหน้าที่อยู่เช่นนี้ “ครับๆ ..ผมขอโทษจริงๆ ..ผมไม่รู้ว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น” เจ้าหน้าที่ตำรวจพูดด้วยความหวาดกลัวและกระวนกระวาย
.
.
.
.
.
.
.