ตอนที่ 333 ครูฝึก
หลังจากที่ได้พักผ่อนอยู่ที่เมืองหางโจวอย่างสบายใจเฉิบได้เพียงไม่กี่วันเย่เชียนก็ได้รับสายโทรศัพท์จากหวงฟู่ชิงเตี๋ยนและบอกให้เขารีบไปที่เมืองปักกิ่งเพื่อทำหน้าที่เป็นครูฝึกในค่ายทหารสักระยะหนึ่ง อย่างไรก็ตามเย่เชียนเองก็ไม่มีอะไรทำและกำลังเบื่อหน่ายอยู่ด้วยดังนั้นเขาจึงตอบตกลงอย่างง่ายดายและเนื่องจากเขาได้รับปากกับหูวหนานเจียนเอาไว้แล้วในครั้งที่แล้วจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เย่เชียนจะไม่ปฏิเสธใดๆ
ที่สำคัญกว่านั้นเย่เชียนก็เชื่อว่าภารกิจนี้นั้นไม่ใช่จุดประสงค์หลักอย่างแน่นอนเพราะไม่เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมอบตำแหน่งจอมพลให้ตัวเองเลย ซึ่งการมอบยศถาบรรดาศักดิ์ชั้นจอมพลเช่นนี้เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้สอนในกองทัพให้เหล่าทหารนั้นมันเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลเลย ซึ่งเย่เชียนก็เดาว่านี่จะต้องเป็นเพียงแค่การโหมโรงและจุดเริ่มต้นเพียงเท่านั้นเพราะภารกิจและสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นมันกำลังรอเขาอยู่
ณ สนามบินนานาชาติปักกิ่งทันทีที่เย่เชียนลงมาจากเครื่องบินหวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็พาชายวัยกลางคนในวัยสามสิบต้นๆ มาทักทายเย่เชียนด้วย ซึ่งหวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็เดินมาหาเย่เชียนและก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันต้องขอบใจเอ็งจริงๆ ที่หางานยากๆ มาให้ฉันทำเนี่ย..ตัวตนของหลี่ลู่หลานที่เกี่ยวข้องกับหน่วยข่าวกรองของประเทศเกาหลีเนี่ยพวกฉันหาข้อมูลอะไรกันไม่ได้เลย..ลูกน้องของฉันก็เก่งๆ กันทั้งนั้นเลยนะและพวกเขาก็แฮ็คเข้าไปในระบบเซิฟเวอร์ของหน่วยข่าวกรองของเกาหลีแต่ทำไมถึงไม่พบข้อมูลอะไรเลยล่ะ?”
การที่ต้องบอกความจริงกับปู่หวงฟู่ชิงเตี๋ยนว่าเขาโกหกนั้นเย่เชียนก็รู้สึกผิดอยู่เล็กน้อยแต่เมื่อเขาลองกลับมาคิดดูอีกทีปู่คนนี้ก็ว่างอยู่และไม่มีอะไรทำและเขาก็คงจะเบื่อหน่ายอยู่ดังนั้นก็คงจะเป็นเรื่องดีที่เย่เชียนหาอะไรให้เขาทำค่าเวลาเล่นๆ แบบนี้ เย่เชียนก็ยิ้มเจื่อนๆ และพูดว่า “นั่นก็เพราะว่าหน่วยข่าวกรองของประเทศเกาหลี่ห่วยยังไงล่ะ..เพราะน้องๆ ของผมน่ะแฮ็คได้แม้แต่ระบบเซิฟเวอร์ของCIAและFBIของสหรัฐเชียวนะ”
หวงฟู่ชิงเตี๋ยนจ้องมองไปที่เย่เชียนด้วยความประหลาดใจและเขาก็ถามว่า “ที่เอ็งพูดมามันจริงหรือเอ็งแค่พูดเล่นๆ?”
“แน่นอนว่าผมต้องพูดเล่นสิฮ่าๆ” เย่เชียนพูดแล้วหัวเราะ
เห็นได้ชัดเลยว่าหวงฟู่ชิงเตี๋ยนนั้นไม่เชื่อว่าเย่เชียนจะพูดเล่นๆ หลังจากนั้นเขาก็พูดอย่างจริงจังว่า “ฉันไม่สนใจหรอกว่าเอ็งจะไปทำอะไรมา..แต่ในอนาคตฉันก็คงต้องพึ่งพาพวกเอ็งแล้วล่ะ..เอ่อเอ็งก็รู้หนิว่าฉันรู้เรื่องพวกคอมพิวเตอร์พวกนี้อะไรที่ไหน”
“นี่ปู่ต้องการล้วงข้อมูลลับของผมงั้นหรอ?” เย่เชียนพูด “ผมขอแนะนำให้ปู่ล้มเลิกความคิดนี้ซะนะ..ข้อมูลต่างๆ ของพี่น้องของผมน่ะไม่ได้หาง่ายๆ ขนาดนั้นหรอกนะ”
“ให้ตายเถอะ! ..นี่เอ็งกำลังพูดถึงอะไรกันเนี่ย..เอ็งเห็นฉันเป็นคนแบบนั้นเหรอ..ถ้างั้นสัมพันธไมตรีระหว่างเราคืออะไรล่ะ” หวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็แสร้งยิ้มเจื่อนๆ “มาเถอะๆ ..ให้ฉันแนะนำเอ็งก็แล้วกัน..คนนี้คือกู๋เจ้อหมิงหัวหน้าทีมภาคสนามของหน่วยรบพิเศษเขี้ยวหมาป่าของกองทัพจีน” หวงฟู่ชิงเตี๋ยนพูดพร้อมกับชี้ไปที่ผู้ชายข้างๆ
จากนั้นก็แนะนำผู้ชายคนนั้นว่า “หัวหน้ากู๋..ฉันจะแนะนำให้คุณรู้จักพ่อหนุ่มคนนี้คือผู้บัญชาการชั้นจอมพลหนุ่มที่ได้รับการแต่งตั้งโดยคณะกรรมการกลางร่วมกับผู้บัญชาการเหล่าทัพต่างๆ ของเขตทหารส่วนกลาง”
กู๋เจ้อก็ถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะเพราะที่เขามาที่นี่เพราะเขาได้รับคำสั่งว่าเขาต้องมารับใครบางคนไปที่ค่ายทหารเพื่อฝึกอบรมหน่วยรบพิเศษเขี้ยวหมาป่าเพียงเท่านั้นและเขาจะคาดคิดได้อย่างไรว่าคนคนนี้จะเป็นถึงบุคคลยศจอมพลที่ถูกแต่งตั้งโดยทางการและยิ่งไปกว่านั้นเขาคนนี้ก็มีอายุเพียงแค่ยี่สิบกว่าๆ เท่านั้นและทำไมถึงสามารถไต่เต้าตำแหน่งที่สูงส่งเช่นนี้ได้? ซึ่งตอนนี้ในใจของเขาคิดเพียงแค่ว่าเย่เชียนจะต้องเป็นลูกหลานของตระกูลใหญ่ๆ ที่สูงส่งและอาศัยบุญบารมีของตระกูลและบรรพบุรุษของเขาในการข้ามมาถึงตำแหน่งนี้ได้ซึ่งตอนนี้เขาดูถูกเย่เชียนอย่างมากในใจของเขาแต่ทว่าหวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็อยู่ที่นี่ด้วยดังนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะแสดงอาการใดๆ เลยแม้แต่วินาทีเดียวมิฉะนั้นเขาอาจจะต้องบาดหมางกับชายหนุ่มคนนี้ก็เป็นได้ ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้ใจร้อนอะไรเพราะยังคงมีเวลาและโอกาสอีกมากมาย “พรึบ!” กู๋เจ้อหมิงก็ยืนตัวตรงและทำวันทยหัตถ์และโค้งคำนับในรูปแบบของทหารและพูดว่า “พันโทกู๋เจ้อหมิงสังกัดหน่วยรบพิเศษเขี้ยวหมาป่าแห่งกองทัพจีนรายงานตัวครับท่านผู้บัญชาการ!”
เย่เชียนก็ยิ้มเบาๆ และพูดว่า “อย่าสุภาพเป็นทางการกันเลย..พวกเราก็อายุเท่ากันเพราะงั้นเราก็เพื่อนกัน..ส่วนยศจอมพลของผมมันก็เป็นเพียงแค่เปลือกนอกน่ะ..ผมไม่มีเหล่าทหารอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาหรอก..ตำแหน่งนี้ก็มีเอาไว้เพื่อฝึกอบรมและแนะนำทางกองทัพอย่างเดียว” กู๋เจ้อหมิงก็จ้องมองไปที่หวงฟู่ชิงเตี๋ยนพร้อมกับร่องรอยของความประหลาดใจในสายตาของเขาซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่าเขารู้สึกงุนงงอย่างมากกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือเย่เชียนนั้นที่อายุเพียงเท่านี้แต่กลับยืนอยู่ในฐานะจอมพลที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้และถึงแม้ว่าจะต้องการตรวจสอบก็ตามแต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะไปหาความจริงจากที่ไหนได้
หวงฟู่ชิงเตี๋ยนนั้นก็เข้าใจถึงความหมายในคำพูดของเย่เชียนได้และหลังจากนั้นเขาก็หัวเราะและพูดว่า “อ้อ..หัวหน้ากู๋..ยศของเขาน่ะเป็นความลับทางทหารและทางราชการลับนะ..เราไม่ควรเปิดเผยต่อโลกภายนอก..คุณชัดเจนในเรื่องนี้ใช่มั้ย?”
“ครับท่าน!” กู๋เจ้อหมิงตอบด้วยท่าทางของทหาร ซึ่งพันโทกู๋เจ้อหมิงผู้นี้นั้นคู่ควรกับการเป็นหัวหน้าทีมภาคสนามของหน่วยรบพิเศษเขี้ยวหมาป่าแห่งของทัพจีนอย่างยิ่งด้วยออร่าและมาดของชายชาติทหารของเขานั้นดูแข็งแกร่งอย่างมากที่มักจะยืนตัวตรงอย่างสง่าและพูดอย่าหนักแน่นและเมื่อเทียบกับเย่เชียนแล้วเย่เชียนนั้นดูไม่เหมือนทหารสักเท่าไหร่แต่ดูเหมือนผู้ก่อการร้ายมากเสียกว่า
“เอาล่ะๆ ..ในเมื่อทุกคนทักทายกันแล้วเราก็ไปกันเถอะ!” หวงฟู่ชิงเตี๋ยนหัวเราะและพาเย่เชียนเดินออกจากเทอร์มินอลไป ถึงแม้ว่าหวงฟู่ชิงเตี๋ยนจะไม่ได้เป็นสมาชิกของกองทัพก็ตามแต่เนื่องจากฐานะตระกูลหวงฟู่นั้นทำให้หวงฟู่ชิงเตี๋ยนมีอิทธิพลอย่างมากในกองทัพและยิ่งไปกว่านั้นตำแหน่งทางการของหวงฟู่ชิงเตี๋ยนเองก็ระดับสูงมากเช่นกันและเขาเองก็เป็นคนที่แข็งแกร่ง ดังนั้นกองทัพจึงต้อนรับและเคารพผู้ที่แข็งแกร่งอยู่เสมอ
หลังจากนั้นพวกเขาก็ไปรับประทานอาหารกลางวันกันในโรงครัวของเขตทหารและถึงแม้ว่าอาหารจะไม่เลิศหรูมากนักแต่โภชนาการนั้นก็ดีเยี่ยมอย่างมาก ซึ่งหวงฟู่ชิงเตี๋ยนนั้นก็ไม่ได้มาด้วยและมีเพียงแค่กู๋เจ้อหมิงกับเย่เชียนเท่านั้นโดยระหว่างทางนั้นเย่เชียนก็มักจะถามถึงสิ่งต่างๆ ที่ควรรู้แต่ทว่ากู๋เจ้อหมิงก็แทบจะไม่ตอบสนองใดๆ อย่างไม่แยแสซึ่งทำให้เย่เชียนไม่สบอารมณ์แต่เย่เชียนก็ขี้เกียจเกินไปที่จะใส่ใจไปกับเรื่องแบบนี้เขาจึงหลับตาไปและพักผ่อนสมอง
ในความเป็นจริงแล้วหน่วยรบพิเศษเขี้ยวหมาป่าของกองทัพนั้นก็เป็นกองกำลังที่ลึกลับจากโลกภายนอกเช่นกันแต่ก็ไม่ได้ลึกลับในเขตทหารแต่อย่างใด แต่ทว่าเหล่าทัพหรือกองทำสังกัดอื่นนั้นก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในสำนักงานของหน่วยรบพิเศษเขี้ยวหมาป่าเช่นกันมิฉะนั้นทางการก็จะใช้กฎหมายทหารและจะถูกโอนไปยังศาลทหารโดยตรงเพื่อพิจารณาคดีอย่างเคร่งครัดกล่ายอีกนัยหนึ่งก็คือหน่วยรบพิเศษเขี้ยวหมาป่าแห่งกองทัพนั้นเป็นดั่งกองกำลังลับของกองทัพอย่างเป็นทางการนั่นเอง
ตั้งแต่ที่เย่เชียนเข้ามาในพื้นที่ของเขตทหารไปจนถึงสำนักงานของหน่วยรบพิเศษเขี้ยวหมาป่านั้นเย่เชียนก็ไม่เห็นทหารหญิงเลยสักคนเดียวและเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกๆ หรือจะเป็นไปได้ไหมที่ทหารหญิงถูกแยกออกจากทหารชาย?
หลังจากรับประทานอาหารและพักผ่อนไปประมาณหนึ่งชั่วโมงกู๋เจ้อหมิงก็ลุกขึ้นและพูดว่า “ครูฝึกเย่! ..ไปที่สนามฝึกซ้อมกันเถอะ” เนื่องจากคำอธิบายของหวงฟู่ชิงเตี๋ยนก่อนหน้านี้กู๋เจ้อหมิงจึงเปลี่ยนคำเรียกเย่เชียนเป็นครูฝึกแทนผู้บัญชาการชั้นจอมพล
“เอาสิ..ผมก็อยากเห็นเหมือนกันว่าหน่วยเขี้ยวหมาป่าของคุณฝึกกันยังไง” เย่เชียนก็ยิ้มและลุกขึ้นจากนั้นก็เดินไปที่ห้องฝึกปฏิบัติการในร่มพร้อมกับกู๋เจ้อหมิง
เมื่อไปถึงหน้าประตูเย่เชียนก็ได้ยินเสียงดังอึกกระทึกไปทั่วพื้นที่จากด้านในหลังจากนั้นกู๋เจ้อหมิงก็พูดแนะนำว่า “ครูฝึกเย่..นี่คือห้องฝึกปฏิบัติการภาคสนามของเรา..เชิญเลย!”
เมื่อมองไปที่ดวงตาที่เปล่งประกายของกู๋เจ้อหมิงแล้วเย่เชียนก็เดาได้เลยว่าเพื่อนคนนี้กำลังมีประสงค์ร้ายอยู่ในใจและเขาก็ต้องการที่จะทำให้ตัวเองต้องอับอายอย่างแน่นอน แต่เย่เชียนก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรเพราะในฐานะทหารที่ไม่มีความเย่อหยิ่งและจองหองและไม่ได้เห็นของจริงกับตาตัวเองนั้นก็จะต้องไม่ยอมรับสิ่งต่างๆ ได้อย่างง่ายดายไม่เช่นนั้นเขาก็ไม่สมควรที่จะเป็นทหาร
เย่เชียนก็เดินเข้าไปข้างในและฉากตรงหน้าก็ทำให้เขาต้องตกตะลึงเพราะการฝึกของหน่วยรบพิเศษเขี้ยวหมาป่านั้นโหดร้ายมากซึ่งทหารเหล่านั้นเอาไม้และก้อนอิฐฟาดใส่กันและมันก็แตกออกเป็นสองท่อน เย่เชียนจึงคิดอย่างลับๆ ว่าคนพวกนี้ช่างเลือดร้อนกันเสียจริง
กู๋เจ้อหมิงก็เดินเข้ามาและหลังจากนั้นเขาก็ยืนข้างๆ เย่เชียนและก็ตะโกนว่า “ทุกคนหยุด! ..รวมแถว!”
ทันทีที่สิ้นเสียงพูดเหล่าทหารกว่าสี่สิบนายของหน่วยรบพิเศษเขี้ยวหมาป่าก็ยืนเข้าแถวกันอย่างเป็นระเบียบและรวดเร็ว โดยมีผู้ชายคนหนึ่งก้าวออกมาข้างหน้าและพูดว่า “รายงานครับหัวหน้าทีม! ..การฝึกช่วงเช้าเสร็จสมบูรณ์แล้ว..โปรดชี้แนะพวกเราด้วยครับ!”
“พักเหนื่อยกันก่อน!” กู๋เจ้อหมิงพูด
ความเป็นระเบียบเรียบร้อยของชายชาติทหารนั้นทำให้เย่เชียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเลือดเดือดและฮึกเหิมขึ้นมา นั่นก็เพราะว่ากองทัพนั้นเป็นสถานที่ที่ฝึกคนที่เลือดร้อนและฮึกเหิมอย่างแรงกล้าจนทำให้เย่เชียนนึกถึงบรรยากาศเก่าๆ กับเหล่าพี่น้องเขี้ยวหมาป่าของเขา
กู๋เจ้อหมิงก็กวาดสายตามองไปรอบๆ และพูดว่า “นี่คือครูฝึกที่ได้รับการแต่งตั้งโดยผู้บัญชาการทหารสูงสุด..ครูฝึกเย่เชียน! ..ซึ่งเขาจะรับผิดชอบการฝึกของพวกคุณนับจากนี้ไป!”
ถึงแม้ว่าเหล่าทหารจะประหลาดใจก็ตามแต่พวกเขาก็ยังคงปรบมือและต้อนรับเย่เชียน หลังจากนั้นกู๋เจ้อหมิงก็โบกมือเพื่อหยุดเสียงปรบมือและหันหน้าไปมองเย่เชียนและพูดว่า “ครูฝึกเย่..ไม่ทราบว่าคุณคิดยังไงเกี่ยวกับระบบการฝึกการต่อสู้ของเรา?”
เย่เชียนก็ยิ้มและพูดว่า “ผมไม่มีความคิดเห็นในเรื่องของระบบและตารางเวลา..แต่ผมมีความคิดเห็นเล็กๆ น้อยๆ กับรูปแบบการต่อสู้ของพวกคุณ..ซึ่งมันเป็นการผสมผสานระหว่างเทคนิคการต่อสู้หลักสูตรทหารควบคู่ไปกับศิลปะการต่อสู้ของจีนโบราณ..ซึ่งมันจะทำให้โอกาสในการยับยั้งหรือฆ่าศัตรูลดน้อยลง..ซึ่งพวกคุณคือหน่วยรบพิเศษเขี้ยวหมาป่าแห่งกองทัพจีนและพวกคุณก็มีหน้าที่จัดการกับอาชญากรและผู้ก่อการร้ายที่ร้ายแรงที่สุด..เพราะฉะนั้นถ้าหากพวกคุณรับมือกับเหล่าผู้ก่อการร้ายและอาชญากรเหล่านี้พวกคุณต้องไม่พลาดพวกคุณต้องฆ่าฝ่ายตรงข้ามด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว..ไม่งั้นมันอาจจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ร้ายแรงได้..หัวหน้ากู๋เห็นด้วยมั้ยครับ?”
“เรื่องนั้นผมเองก็เห็นด้วย..เนื่องจากครูฝึกเย่ก็เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้เพราะงั้นทำไมไม่ให้คำแนะนำโดยตรงไปเลยล่ะครับ” กู๋เจ้อหมิงพูด
นี่คือสิ่งที่เย่เชียนคาดหวังเอาไว้อยู่แล้วในการสั่งสอนให้บทเรียนกับทหารที่เย่อหยิ่งและหยิ่งผยองเหล่านี้ ดังนั้นเราก็ต้องใช้ความแข็งแกร่งของตัวเองแสดงให้พวกเขาเห็นไม่เช่นนั้นคนอื่นก็จะดูถูกเหยียดหยามเราต่อไปเรื่อยๆ เย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้มที่ง่ายๆ สบายๆ ว่า “ก็ในเมื่อผมถูกแต่งตั้งและได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ฝึกสอนของหน่วยรบเขี้ยวหมาป่าแบบนี้แล้ว..มันก็เป็นเรื่องที่สมควรอย่างยิ่งครับ..ว่าแต่หัวหน้ากู๋ครับในนี้ใครที่มีทักษะการต่อสู้ดีที่สุด?”
“เหอเป่า..ก้าวออกมา!” กู๋เจ้อหมิงพูดพร้อมรอยยิ้ม
“ครับผม!” ชายหนุ่มที่สูงประมาณ 1.8 เมตรก็ก้าวออกมาและเดินไปทำความเคารพวันทยาหัตถ์
กู๋เจ้อหมิงเรียกเหอเป่าออกมาและหันไปพูดกับเย่เชียนว่า “ครูฝึกเย่..เขาเป็นคนที่เก่งที่สุดในหน่วยรบเขี้ยวหมาป่าของเรา..แล้วก็ปู่ของเขาเคยเป็นพระในวัดเส้าหลิน”
เย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและตบบ่ากับกล้ามที่หน้าอกของเหอเป่าเบาๆ และพูดว่า “โว้วๆ ..ช่างเป็นผู้ชายที่ร่างกายกำยำมาก!” ทันทีที่เย่เชียนพูดออกมาเหล่าทหารทุกคนต่างก็ตกตะลึงกันไปหมดและจ้องมองไปที่เย่เชียนด้วยความประหลาดใจ ส่วนชายหนุ่มที่ชื่อเหอเป่าก็สั่นไปทั้งตัวและจ้องมองไปที่เย่เชียนด้วยความหวาดกลัวและเสียวสันหลังกับช่วงล่างอย่างยิ่ง ซึ่งทุกคนต่างก็คิดว่าเย่เชียนนั้นคงจะเป็นผู้ชายประเภทที่รักเพศเดียวกัน
เย่เชียนก็ยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “เหอเป่าใช่มั้ย..คุณคิดว่าคุณจะสามารถล้มผมได้ในกี่ทักษะ?”
“ขออภัยครับครูฝึก..ผมไม่สามารถทราบได้เนื่องจากผมไม่รู้เพราะผมไม่เคยเห็นมาก่อน” เหอเป่าพูด
“หืม..คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ต้องมีความมั่นใจเข้าไว้สิ!” เย่เชียนพูด “ถ้าผมบอกว่าผมสามารถล้มคุณได้ในครั้งเดียว..คุณจะเชื่อมั้ย?”
“จากที่ครูฝึกเย่พูดมา..ผมไม่เชื่อครับ!” เหอเป่าพูดอย่างมั่นใจ
เย่เชียนก็ฉีกยิ้มและพูดว่า “ถ้างั้นเราก็มาเดิมพันกันเถอะ..ถ้าผมชนะคืนนี้คุณต้องเลี้ยงไก่ทอดผม..และถ้าผมแพ้ผมจะเลี้ยงไก่ทอดพวกคุณทั้งหน่วยเลย”
“ขอปฏิเสธครับ!” เหอเป่ายิ้มเจื่อนๆ และพูดว่า “ครูฝึกเย่ครับ..การเดิมพันอะไรอย่ามาเล่นแง่อีกต่อไปเลยครับ!”
“พี่ชายเป็นคนตรงไปตรงมาจริงๆ ..ผมจะไปเล่นแง่เล่นกลสกปรกได้ยังไง!” เย่เชียนก็ฉีกยิ้มและถอดเสื้อคลุมออกจนเผยให้เห็นรอยสักหัวหมาป่าสีแดงเลือดผ่านเสื้อเชิ้ตบางๆ ของเขา
.
.
.
.
.
.
.