ตอนที่ 339 หม้อไฟริมทาง
หลังจากที่เฉินโม่ออกไปแล้วหูวเค่อก็เอ่ยปากถามว่า “เย่เชียนคะ..คุณมีแผนอะไรหรอ”
“ผมก็บอกไปแล้วหนิว่าผมจะเข้าไปในรัฐสภาก่อนเป็นอันดับแรก..หลังจากนั้นก็ค่อยๆ กำจัดเหล่าผู้อาวุโสและสมาชิกขององค์กรใต้ดินทั้งสามของไต้หวัน..แล้วพยายามผลักดันพรรคพวกของผมเข้าไปที่รัฐสภาให้มากขึ้นเพราะเมื่อถึงเวลานั้นสมาชิกในรัฐสภาส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นคนของผม..แล้วสิ่งต่างๆ มันก็จะง่ายดาย” เย่เชียนพูด
หูวเค่อก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดว่า “นี่มันไม่ใช่ง่ายๆ เลยนะ..ถ้าพวกรัฐบาลรู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของคุณล่ะ? ..คุณจะอยู่ในไต้หวันได้อย่างยากลำบากมากเลยนะ”
เย่เชียนยิ้มเล็กยิ้มน้อยและกล่าวพูด “ยัยโง่..ผมเตรียมการทุกอย่างเอาไว้แล้ว..และเครือน่านฟ้ากรุ๊ปก็ส่งเหลียงหยานมาเป็นพิเศษเพื่อรับผิดชอบในการสร้างศูนย์โลจิสติกส์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียด้วย..เพราะถ้าหากสิ่งนี้มันเกิดขึ้นล่ะพวกเขาเหล่านั้นก็จะไร้พลังและอำนาจที่จะมาต่อกรกับผม..หลังจากนั้นผมก็จะแต่งตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาใหม่ด้วยตัวเองและเข้าไปในระบบรัฐบาลกลางอย่างสง่าผ่าเผย..นั่นก็เพราะว่าเมื่อไหร่ที่ผมสามารถกวาดล้างองค์กรใต้ดินทั้งสามนี้ได้แล้วผมก็จะสามารถเข้าสู่เวทีการเมืองได้อย่างสง่าผ่าเผย..ยังไงก็เถอะที่นี่มันก็เป็นแค่ไต้หวันเล็กๆ เพราะด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปของผมนั้นผมสามารถทำลายเศรษฐกิจของไต้หวันได้อย่างง่ายดายแน่นอน..แต่ทว่าสิ่งนี้มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการนักหรอก..แต่ถ้าพวกเขาแข็งข้อกับผมมากเกินไปล่ะก็..ผมก็จำเป็นที่จะต้องทำแบบนั้น”
“คุณไม่ได้ล้อฉันเล่นใช่มั้ยคะ? ..การที่คุณพึ่งพาแค่เครือน่านฟ้ากรุ๊ปแล้วจะเอาชนะเศรษฐกิจของไต้หวันได้เนี่ย?” เห็นได้ชัดเลยว่าหูวเค่อนั้นไม่เชื่อว่าเศรษฐกิจของไต้หวันจะเกิดปัญหาได้
เย่เชียนก็เขี่ยจมูกของหูวเค่อเบาๆ และพูดว่า “นี่สาวน้อยคุณดูถูกเครือน่านฟ้ากรุ๊ปมากเกินไปแล้วนะ..คุณน่ะรู้หรือเปล่าว่าพายุเศรษฐกิจการเงินในทวีปอเมริกาใต้น่ะมันเกิดขึ้นได้ยังไง? ..นั่นก็เป็นเพราะเครือน่านฟ้ากรุ๊ปยังไงล่ะ..คุณอย่าดูถูกเครือน่านฟ้ากรุ๊ปไป..เพราะตราบใดที่เครือน่านฟ้ากรุ๊ปยังคงยืนหยัดอยู่ล่ะก็พวกเรานั้นจะมีนักปั่นตลาดหุ้นทางการเงินจำนวนมากจากทั่วทุกมุมโลกและพวกเขาก็เกิดมาเพื่อสิ่งนี้โดยเฉพาะ..คุณไม่สามารถดูถูกอำนาจเงินและสมองเหล่านี้ได้เลย..ซึ่งมันก็เหมือนกับความวุ่นวายทางการเงินของเขตปกครองพิเศษฮ่องกงในปีนั้นนั่นแหละ..ซึ่งมันไม่ใช่เพราะรัฐบาลหรือกระทรวงการคลังที่ทำให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจหยุดชะงักหรอก..แต่มันเป็นเพราะเครือน่านฟ้ากรุ๊ปเอง..และผู้คนต่างก็มองว่าเครือน่านฟ้ากรุ๊ปน่ะจัดอยู่ใน 20 บริษัทชั้นนำของโลก..แต่ทว่านั่นมันก็เป็นเพราะว่าพวกเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลยและไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าที่แท้จริงแล้วเครือน่านฟ้ากรุ๊ปน่ะมีประสิทธิภาพและอำนาจแค่ไหน..ถ้างั้นผมขอถามคุณหน่อยว่าคุณรู้มั้ยว่าประเทศไหนร่ำรวยที่สุดในโลก?”
“ก็สหรัฐอเมริกาไง” หูวเค่อตอบอย่างมั่นใจโดยไม่ครุ่นคิดใดๆ
“ยัยโง่!” เย่เชียนเคาะหน้าผากของเธอเบาๆ อย่างอ่อนโยนและพูด
“อะไรหรอ?” หูวเค่อถามด้วยความประหลาดใจ
“มันไม่ใช่อเมริกา..เพราะผู้คนที่ร่ำรวยและมั่งคั่งที่สุดในโลกน่ะอยู่ในแถบตะวันออกกลาง..และไม่ว่าที่นั่นมันจะเกิดสงครามและความวุ่นวายมากแค่ไหนแต่ถึงยังไงมันก็ยังมีมหาเศรษฐีอยู่เต็มไปหมดและพวกเขานั้นล้วนร่ำรวยเงินล้นฟ้าและบางคนก็มีบ่อน้ำมันเป็นของตัวเองอีก” เย่เชียนพูดต่อ “คุณคงรู้ใช่มั้ยว่าสำนักงานใหญ่ของเขี้ยวหมาป่าน่ะอยู่ที่ตะวันออกกลาง..ซึ่งความน่านับถือทั้งบุญคุณและความยิ่งใหญ่ของเขี้ยวหมาป่าในแถบตะวันออกกลางน่ะก็สูงมากและตราบใดที่เขี้ยวหมาป่าต้องการสิ่งใดล่ะก็เหล่านักธุรกิจและมหาเศรษฐีเหล่านั้นในแถบตะวันออกกลางก็จะสนับสนุนเราอย่างแน่นอน..เพราะงั้นการทำลายเศรษฐกิจของเกาะไต้หวันเล็กๆ แบบนี้มันจะไปยากอะไร!”
ในความเป็นจริงนั้นก็ยังมีอยู่อีกฝ่ายหนึ่งที่เย่เชียนไม่ได้พูดออกมานั่นก็คือกลุ่มโจรสลัดซาตานนั่นเอง ซึ่งเย่เชียนนั้นก็ไม่ได้เป็นอะไรกับหูวเค่อเพราะงั้นการที่จะพูดอะไรออกไปนั้นเย่เชียนก็ต้องเก็บความลับเอาไว้เช่นกัน ส่วนพิกัดที่แท้จริงของสำนักงานใหญ่ของเขี้ยวหมาป่าในตะวันออกกลางนั้นก็เป็นความลับดังนั้นเย่เชียนจึงไม่คิดที่จะพูดอะไรมากเกินไป
ไต้หวันนั้นเป็นเกาะที่ล้อมรอบไปด้วยทะเลและทรัพยากรทั้งหมดก็ถูกนำเข้ามาจากโลกภายนอก เมื่อเป็นเช่นนั้นกลุ่มโจรสลัดซาตานจึงมีส่วนสำคัญอย่างมากในการควบคุมทรัพยากรขาเข้าและขาออกอย่างแน่นอน เพราะการพึ่งแต่ตัวเองมันก็คงจะไม่ได้ที่ผลแน่นอนเพราะตอนนี้เย่เชียนต้องการเข้าควบคุมช่องทางเศรษฐกิจของไต้หวันอย่างสมบูรณ์ ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นภายใต้สถานการณ์เช่นนี้การจัดตั้งพรรคการเมืองเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งของเย่เชียนนั้นก็จะได้รับการสนับสนุนมากมายจากประชาชนอย่างแน่นอน
“ตามที่คุณพูดมาเนี่ยหรือว่าคุณอยากจะเป็นหนึ่งในนิตยสารฟอบส์อย่างงั้นหรอ?” หูวเค่อพูด
“คุณนี่โง่อีกแล้ว” เย่เชียนพูด “ในความเป็นจริงแล้วพวกคนรวยจริงๆ น่ะพวกเขาไม่ได้อยู่ในอันดับของนิตยสารฟอบส์เลยสักคน..ส่วนคนที่อยู่อันดับต้นๆ ก็เป็นเพียงแค่บางส่วนของครอบครัวมหาเศรษฐีธรรมดาๆ ..ยกตัวอย่างก็เช่นบิลเกตส์เขาที่เป็นมหาเศรษฐีเพราะงั้นผู้คนเลยมักจะคิดว่าประเทศชาติต้นกำเนิดของเขานั้นมั่งคั่งที่สุด”
เย่เชียนจ้องมองไปที่หูวเค่ออย่างเหม่อลอยราวกับว่าเด็กผู้หญิงคนนี้ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับสังคมในปัจจุบันจนทำให้เย่เชียนรู้สึกสงสัยเล็กน้อย ซึ่งด้วยนิสัยของเธอนั้นเธอที่ไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับเขตการปกครองของจีนแบบนี้แต่อย่างน้อยๆ เธอก็น่าจะไปต่างประเทศอยู่บ่อยๆ ใช่ไหม? ซึ่งไม่ว่าเธอจะยุ่งกับงานมากแค่ไหนแต่อย่างน้อยๆ เธอก็ควรที่จะมาเยือนไต้หวันสักครั้งไม่ใช่เหรอ?
“ผมคิดว่าคุณเนี่ยเหมือนเด็กที่ถูกพ่อแม่ขังเอาไว้ที่บ้านมานานกว่ายี่สิบปีโดยไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกภายนอกเลยนะ” เย่เชียนพูด
“เอ่อคือ..ก็ฉันอยู่แต่ในเซี่ยงไฮ้นี่หน่า..ก็ตั้งแต่ต้นปีที่แล้วฉันก็อยู่แต่กับอาจารย์ของฉันน่ะ” หูวเค่อพูด
“อาจารย์ของคุณเป็นใครหรอ..คุณพาผมไปหาเขาหน่อยสิ..คุณพอมีเวลามั้ย..เขาอาจจะรับผมเป็นลูกศิษย์ก็ได้..เพราะผมน่ะว่านอนสอนง่าย” เย่เชียนพูด
“อาจารย์ของฉันเขาไม่รับลูกศิษย์ผู้ชายน่ะสิ” หูวเค่อพูด
“คุณอย่ามาหลอกผม!” เย่เชียนพูดอย่างเศร้าๆ “ก็ผมเห็นพี่ชายของคุณเมื่อตอนนั้นหนิ..แล้วผู้ชายที่ชื่อว่าซงเจิ้งหยวนไม่ใช่ผู้ชายหรอ..คุณจะมาพูดได้ยังไงว่าอาจารย์ของคุณไม่รับลูกศิษย์ผู้ชาย! ..อย่าบอกนะว่าคุณกลัวว่าหลังจากที่ผมถูกอาจารย์ของคุณรับเป็นศิษย์แล้วผมจะมีคุณสมบัติที่ดีและเก่งกว่าคุณและกลัวว่าคุณจะไม่สามารถเหนือกว่าผมได้อีกต่อไปแล้วใช่มั้ยล่ะ?”
“คุณก็คิดไปได้เนอะ” หูวเค่อจ้องเขม็งไปที่เย่เชียนและพูดว่า “ซงเจิ้งหยวนไม่ใช่ลูกศิษย์ของอาจารย์ของฉัน..เขาแค่เป็นลูกศิษย์จากคนสำนักเดียวกัน..เพราะงั้นฉันก็เลยเรียกเขาว่าศิษย์พี่กับพี่ชายแค่นั้นเอง”
“อ้อ!” เย่เชียนพูด “แล้วคุณไปเรียนอะไรมาล่ะ..ทำไมคุณถึงได้เก่งขนาดนี้..และก็ปู่หวงฟู่ชิงเตี๋ยนอีก..ดูเหมือนว่าเขาจะเก่งมากเหมือนกัน..เขาถึงกับพูดว่าผมไม่สามารถเอาชนะเข้าได้เลยแม้แต่น้อย”
“ใช่! ..มันคือความจริง!” หูวเค่อพูด
“ลืมมันไปเถอะ..ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้แล้ว..และก็ไม่ต้องถามอะไรอีกนะ” เย่เชียนปัดมือและพูด
“ก็นั่นมันเป็นกฎเหล็กของพวกเราน่ะ..เว้นแต่ว่าฉันจะรับคุณเป็นลูกศิษย์เอง..หลังจบเรื่องฉันจะบอกคุณอีกทีก็แล้วกันนะ” หูวเค่อพูด
“สุดยอด! ..คุณจะรับผมเป็นลูกศิษย์จริงๆ ใช่มั้ย!” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้ม
หูวเค่อถึงกับตกตะลึงไปครู่หนึ่งและเธอก็พูดอย่างตะกุกตะกักว่า “ใช่ฉันจะรับคุณเป็นลูกศิษย์แต่…แต่…” เธออ้ำอึ้งอยู่นานแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
“อ๋อ..ผมรู้ว่าคุณน่ะกังวลเรื่องอะไร..เพราะถ้าคุณรับผมเป็นลูกศิษย์แล้วคุณจะไม่สามารถเป็นภรรยาของผมได้ในอนาคตใช่มั้ย?” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้ม “อย่ากังวลไปเลย..ตราบใดที่คุณยังไม่ได้แต่งงานและมีลูก..คุณก็เป็นภรรยาของผมได้เสมอ”
หูวเค่อจ้องเขม็งไปที่เย่เชียนและพูดว่า “ฉันอยากจะบอกคุณตรงๆ เลยว่าคุณน่ะไร้ยางอายจริงๆ”
เย่เชียนก็ยักไหล่และลุกขึ้นยืนหลังจากนั้นก็จับมือหูวเค่อแล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ..ไปหาอะไรกินกัน”
“จะไปกินข้าวที่โรงแรมใช่มั้ย” หูเค่อกล่าว
“ยัยโง่..โรงแรมของไต้หวันไม่มีบริการเสิร์ฟอาหาร..เราต้องไปหาร้านอาหารข้างนอกเอา” เย่เชียนพูด “ก็ในเมื่อพวกเรามาที่ไต้หวันแล้วผมก็จะพาคุณไปกินหม้อไฟทะเลสักหน่อยก็แล้วกัน..บอกเลยว่าหม้อไฟที่นี่น่ะสุดยอดมาก”
ในเมืองไทเปแห่งนี้มีร้านค้าและแผงอาหารทั่วทุกพื้นที่และส่วนมาก็เป็นอาหารประเภทคล้ายๆ กันเช่นร้านกาแฟแล้วก็ร้านอาหารหม้อไฟ ซึ่งชาวเมืองไทเปก็มักจะชื่นชอบการรับประทานหม้อไฟทะเลอย่างมาก ซึ่งร้านหม้อไฟก็มีหลากหลายรูปแบบมากมายตามท้องถนนและตรอกซอกซอยทั่วเมือง
ไต้หวันเป็นเกาะเล็กๆ ที่ล้อมรอบไปด้วยทะเลและเมื่อใครที่มาเยือนเมืองนี้ล่ะก็ต่างก็ต้องลิ้มลองอาหารทะเลสักครั้ง เย่เชียนก็จับมือหูวเค่อและเดินไปที่ร้านอาหารหม้อไฟซึ่งชื่อของร้านนั้นก็มีตัวอักษรอยู่สองตัวที่มีเครื่องหมายเปลวไฟซึ่งดูเหมือนเทพเจ้าแห่งหม้อไฟ ซึ่งหูวเค่อเองก็เดินตามเย่เชียนไปอย่างเชื่อและปล่อยให้เย่เชียนเดินจับมือของเธอไปตลอดทางโดยไม่ต่อต้านหรือไม่พอใจแต่อย่างใด และในทุกๆ ครั้งที่เย่เชียนใช้นิ้วของเขาสะกิดที่ฝ่ามือของเธอเป็นครั้งคราวนั้นหัวใจของหูวเค่อก็เอ่อล้นและเต็มไปด้วยความรู้สึกที่พิเศษมากมายอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อมาถึงทางเข้าของร้านหม้อไฟก็เป็นเวลากว่าหนึ่งทุ่มตรงแล้วซึ่งท้องฟ้าก็มืดลงแล้วและถนนทั้งสองฝั่งก็กะพริบไปด้วยไฟนีออนหลากสีอย่างสวยงาม และเย่เชียนก็พาหูวเค่อเข้ามาแล้วนั่งลงหลังจากนั้นก็ถามหูวเค่อและเธอก็เห็นด้วยกับหม้อไฟทะเล ดังนั้นเย่เชียนจึงสั่งหม้อไฟทะเลและไวน์ขาวที่ราคาไม่สูงมากนัก
“คุณอยากได้ของว่างด้วยมั้ย?” เย่เชียนถามเมื่อเห็นว่าหม้อไฟยังไม่มาเสิร์ฟ
“ของว่างอะไรหรอ..อร่อยมั้ย?” หูวเค่อถาม ในแง่ของอาหารการกินนั้นหูวเค่อก็ไม่ได้ศึกษาหรือสนใจมากนักและเธอก็เป็นคนที่ไม่ชอบกินอะไรมากนัก ซึ่งสิ่งที่เธอกินในเมืองปักกิ่งก็มีแต่อาหารจีนปักกิ่งส่วนตอนที่เธออยู่ที่เมืองเซี่ยงไฮ้เธอก็กินแค่อาหารเซี่ยงไฮ้เป็นส่วนใหญ่และถึงแม้ว่าเธอจะชอบกินอาหารเสฉวนด้วยก็ตามแต่อาหารเหล่านั้นก็หาทานได้ยากมากเช่นกัน และเมื่อคราวนั้นที่เธอได้กินอาหารแคริบเบียนที่เย่เชียนทำเธอก็แทบจะกลืนมันลงไปทั้งหมดในคำเดียวเพราะเธอชอบมาก
“ก็มีหลายอย่างนะ..ลูกชิ้นปลา..เต้าหู้เหม็น..ขนมปังโลงศพ” เย่เชียนพูด
“ขนมปังโลงศพ?” หูวเค่อถามด้วยความประหลาดใจว่า “ทำไมเขาถึงตั้งชื่อล่ะ..มันไม่น่ากินเลย”
“ยัยโง่..โลงศพน่ะเปรียบเสมือนการเลื่อนตำแหน่งและความมั่งคั่ง..นี่เป็นสิ่งที่ดี” เย่เชียนพูด “รอผมก่อนนะ..เดี๋ยวผมจะออกไปซื้อ” หลังจากพูดเช่นนั้นเย่เชียนก็ลุกขึ้นและรีบเดินออกไป
หลังจากนั้นไม่นานเย่เชียนก็กลับมาพร้อมอาหารหนึ่งกำมือ ซึ่งหม้อไฟก็ถูกเสิร์ฟเรียบร้อยแล้วหลังจากนั้นเย่เชียนก็เรียกพนักงานเสิร์ฟให้นำจานเปล่ามาให้และหลังจากนั้นเขาก็ของว่างที่เขาซื้อมาลงบนจาน “เอ้า..ลองชิมดูสิ!” เย่เชียนพูดพร้อมกับป้อนเต้าหู้เหม็นให้หูวเค่อ
หูวเค่อก็โน้มหน้าของเธอไปดมและเธอก็รีบบีบจมูกตัวเองและขมวดคิ้วพร้อมกับพูดว่า “กลิ่นมันเหม็นมาก!”
“ถึงกลื่นมันจะเหม็นแต่รสชาติของมันดีมากเลยนะ..ลองชิมดูสิแล้วจะรู้เอง” เย่เชียนพูด
หูวเค่อก็รู้สึกสงสัยและหลังจากนั้นเธอก็กัดไปเบาๆ และรับรู้ได้ว่ารสชาติของมันดีจริงๆ และเธอก็อดไม่ได้ที่จะกัดคำต่อไปอีกสองสามครั้ง “เป็นยังไงบ้าง..รสชาติดีใช่มั้ย?” เย่เชียนถาม
“อืม..ฉันไม่คิดเลยว่าที่มันเหม็นแบบนี้แต่มันจะอร่อยได้ถึงขนาดนี้” หูวเค่อพูด
“เต้าหู้เหม็นน่ะยิ่งเหม็นก็ยิ่งอร่อย” เย่เชียนพูด “นี่คือเคล็ดลับของอาหารจีน..บางครั้งเราก็ไม่สามารถตัดสินได้ว่ามันอร่อยจากรูปลักษณ์ภายนอกหรอก”
“แม่งเอ๊ย! ..มันเหม็นมาก..เอามันออกไปซะ” ในขณะที่ทั้งสองกำลังกินอย่างเอร็ดอร่อยกันอยู่ๆ จู่ๆ เด็กวัยรุ่นที่อยู่ข้างๆ เขาก็บีบจมูกของตัวเองอยู่และพูดกับเย่เชียน
.
.
.
.
.
.
.