ตอนที่ 345 เงื่อนไขในการร่วมมือ
“เอาล่ะ..วันนี้ที่เรียกทุกคนมาก็เพื่อจะประชุมเกี่ยวกับโครงการถนนทางหลวงสายชายฝั่งของรัฐบาลซึ่งมีบริษัทที่สนใจเข้าร่วมประมูลอยู่ 18 บริษัท..แต่จากการประเมินของฉันน่ะฉันคิดว่าบริษัท 9 บริษัทในรายชื่อนี้นั้นไม่สามารถดำเนินโครงการขนาดใหญ่เช่นนี้ได้..เพราะงั้นฉันจึงนัดทุกคนมาที่นี่เพราะถึงยังไงทุกคนก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาเมืองของเรา..ดังนั้นผู้บริหารบริษัททั้งเก้าคนจึงถูกเรียกมาประชุมในวันนี้..แต่เพิ่งจะกลับไปหนึ่งคนเพราะงั้นก็จะเหลือเพียงแปดคนเท่านั้น!” โจวเจิ้งผิงก็หยุดพูดและชงชาอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “ทุกคนในที่นี้ล้วนแล้วเป็นคนที่มีความสามารถ..ฉันขอให้ทุกคนมาร่วมมือกันเพราะมันไม่จำเป็นที่จะต้องแย่งชิงโครงการไปโดยการใช้เงินทุนของตัวเองกันเลย..และยิ่งไปกว่านั้นการที่พวกเราร่วมมือกันนั้นเงินการลงทุนจะอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำมาก..เพราะงั้นฉันก็หวังว่าทุกคนจะสามารถสร้างรายได้และสร้างกำไรมหาศาลได้สำหรับโครงการนี้..เรามาร่วมมือกันและสูบเงินของรัฐบาลกันเถอะ..เพราะว่ารัฐบาลของเราน่ะรวยมาก..ฮ่าๆ!”
เย่เชียนแอบยกนิ้วชมเชยให้กับโจวเจิ้งผิงในใจเพราะเรื่องธุรกิจนั้นเขาดูฉลาดอย่างมาก
“ที่ฉันเสนอแผนนี้ให้กับทุกคนแบบนี้มันก็ไม่มีอะไรมากหรอก..เพราะความจริงก็คือฉันน่ะต้องการโครงการนี้มาก..แต่อาชีพทางการของฉันมันพัฒนาเร็วเกินไปหน่อย..เพราะงั้นฉันก็เลยขาดแคลนเงินสำหรับการลงทุนนั่นเอง” โจวเจิ้งผิงพูด
‘ตาเฒ่านี่ไม่มีเงินจริงๆ งั้นเหรอ?’ เย่เชียนก็แอบคิดอย่างลับๆ ว่ารายได้ต่อเดือนของพวกเขานั้นคงไม่ใช่น้อยๆ แล้วทำไมเขาถึงไม่มีเงิน?
“ฉันตั้งเงื่อนไขเอาไว้ 2 ข้อ..ข้อแรกต้นทุนของโครงการนี้ก็คือ 1 พันล้านหยวน..และถ้าหากพวกคุณคำนวณจาก 20% ของกำไรนั้นมันอาจจะทำได้ถึง 200 ล้านหยวนเลย..ซึ่งส่วนของฉันจะเป็น 40 ล้านหยวน..ส่วนพวกคุณก็แบ่งกันไปบริษัทละ 5 ล้านหยวน..เงื่อนไขข้อที่สองก็คือรัฐบาลกำลังจะมีโครงการเพิ่มอีกสามโครงการในช่วงครึ่งปีหลัง..แล้วพวกเราก็จะกวาดทุกโครงการ..เอาล่ะฉันพูดจบแล้ว..ใครเห็นด้วยหรือมีใครที่คัดค้านบ้างมั้ย” โจวเจิ้งผิงมองไปที่เหล่าผู้บริหารของบริษัททั้งเจ็ดที่เข้าร่วม
“ผมไม่เห็นด้วย!” ชายหัวโล้นในชุดสูทสีดำพูดขึ้นมา ทันใดนั้นทุกสายตาก็อดไม่ได้ที่จะกวาดไปหาเขา ซึ่งโจวเจิ้งผิงก็มองเขาอย่างเย็นชาและชายหัวโล้นก็พูดต่อไปว่า “ผู้รู้จักกับผู้เชี่ยวชาญด้านสถาปนิกและสถาปัตยกรรมมาเยอะ..ซึ่งถ้าหากว่าต้นทุนทั้งหมดจำนวนหนึ่งพันล้านหยวนล่ะก็อันดับแรกเลยเราต้องวางมัดจำเอาไว้เป็นกองกลางจำนวน 500 ล้านหยวน..ซึ่งเงินจำนวนนี้มันก็จะถูกส่งต่อกันไปหลายๆ ทอดทั้งแต่รายที่สองรายที่สามรายที่ไปจนถึงรายที่แปดรายที่เก้ารายที่สิบเป็นทอดๆ กันไปเพื่อดำนเนินการใดด้านต่างๆ ..และต่อให้ถึงแม้ว่าคุณกำลังพยายามสมรู้ร่วมคิดกับสำนักงานก่อสร้างและของบต้นทุนเพิ่มอีก 200 ล้านหยวนนั้นถึงยังไงแล้วต้นทุนทั้งหมดของโครงการนี้น่ะผมคิดว่าเราจะต้องใช้เงินอย่างน้อยๆ ก็แค่ 700 ล้านหยวนเอง..แล้วการที่คุณเรียกเงินพวกเรามากมายขนาดนั้นแต่กลับตอบแทนด้วยกำไรเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้คุณยังมีจิตสำนึกอยู่บ้างมั้ย?”
ทุกคนดูเหมือนจะตระหนักถึงเรื่องนี้เป็นอย่างดีและพวกเขาก็เริ่มซุบซิบและพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้กันอย่างจริงจัง
“เอ่อ..คุณโจว..อันที่จริงแล้วฉันก็ได้ตกลงกับคุณหลิวตงเอาไว้แล้วว่าพวกเราจะร่วมมือกันเพื่อโหวตเห็นชอบและร่วมอนุมัติโครงการนี้..แต่ว่าเงื่อนไขที่คุณเพิ่งจะพูดมา…” ชายวัยกลางคนร่างอ้วนพูด
เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้เย่เชียนเองก็ไม่ได้แปลกใจเลยเพราะคนที่เดินสายเกี่ยวกับธุรกิจและมักจะเข้าใจถึงตัวเลขอันมหาศาลนั้นได้เช่นนี้แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่ถูกโจวเจิ้งผิงข่มขู่และเอารัดเอาเปรียบได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน เพราะถึงแม้ว่าความแข็งแกร่งและอำนาจขององค์กรสามมุมเมืองจะมีมากมายแค่ไหนก็ตามแต่ถึงยังไงพวกเขาก็ไม่สามารถที่จะกดขี่ข่มเหงนักธุรกิจที่มีความสามารถเหล่านี้ได้เลย
โจวเจิ้งเผิงก็ยิ้มเจื่อนๆ และพูดว่า “ถึงยังไงฉันก็ยืนยันที่จะใช้จำนวนต้นทุนเดิมและส่วนแบ่งจำนวนเดิม..ตอนนี้บริษัทที่จะลงทุนก็เหลือแค่เจ็ดบริษัทแล้ว..และคนที่เข้าร่วมตอนนี้ก็มีคุณเฉียวตงและคุณหลิวตง..มีใครที่จะคัดค้านอีกมั้ย?” โจวเจิ้งผิงค่อยๆ ลุกขึ้นยืนและพูด
“ผมขอคัดค้าน!” ชายหัวโล้นพูดอย่างหนักแน่นและยืนกรานเช่นเดิม
ใบหน้าของโจวเจิ้งผิงก็เริ่มมืดมนลงอีกครั้งและการที่เขาถูกต่อต้านเช่นนี้มันก็เหมือนกับการถูกตบหน้า เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้แล้วเฉียวตงและหลิวตงผู้ซึ่งทำกำไรได้มากที่สุดในสถานการณ์เช่นนี้ต่างก็แสดงความพึงพอใจออกมา ซึ่งเรื่องเหล่านี้มันก็ไม่ง่ายนักที่จะพูดและให้พวกเขาเห็นด้วยความสิ่งต่างๆ หลังจากนั้นโจวเจิ้งผิงก็นั่งลงอย่างช้าๆ และพูดว่า “ขอบคุณพวกคุณทุกคนที่มา..ตอนนี้พวกคุณกลับกันไปได้แล้ว..ฉันต้องคุยเรื่องดำเนินการกับคุณเฉียวและคุณหลิวต่อ!”
คนอื่นๆ ก็ขอบคุณและทำความเคารพจากนั้นก็เดินกันออกไป หลังจากนั้นไม่นานโจวเจิ้งผิงก็ตะโกนว่า “มานี่!” ในทันใดนั้นก็มีคนกลุ่มหนึ่งมายืนโค้งคำนับและโจวเจิ้งผิงก็พูดว่า “ไปลากเขามาที่นี่..แล้วก็ไปหาที่ฝังศพเขาด้วย”
โหดเหี้ยมและสมกับเป็นคนเฒ่าคนแก่ในวงการใต้ดินจริงๆ หลังจากนั้นไม่นานคนของโจวเจิ้งผิงก็ลากร่างของชายหัวโล้นเข้ามาแล้วจากนั้นพวกขาก็ลากออกไปทางข้างๆ
โจวเจิ้งผิงก็หันหน้าไปมองเย่เชียนพร้อมกับยิ้มเล็กยิ้มน้อยราวกับว่ามันไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นและพูดว่า “ต้องขอโทษคุณเย่ด้วยที่ทำให้ต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้..มันเป็นเพราะผู้ใต้บังคับบัญชาของฉันบกพร่องน่ะ”
“คุณโจวอย่าหลอกผมสิครับ..คนของคุณน่ะเต็มไปด้วยคนที่มีความสามารถและพวกเขาทั้งหมดก็คือคนที่ยืนอยู่ในจุดที่รุ่งโรนจ์กันหมดแล้ว” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้ม
โจวเจิ้งผิงก็หัวเราะเบาๆ และพูดว่า “ฉันได้ยินมาว่าที่คุณเย่มาที่ไต้หวันก็เพื่อเปิดสโมสรศิลปะการต่อสู้งั้นหรือ? .. ฉันไม่คิดเลยว่าคุณเย่จะเป็นทั้งนักธุรกิจและทหารแบบนี้น่ะ..ฉันเองก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าคุณเย่ต้องการให้ฉันช่วยอะไรหรือเปล่า?”
“ผมรู้ว่าคุณโจวน่ะเป็นคนใหญ่คนโตในไต้หวัน..เพราะงั้นถ้าใครคิดจะทำอะไรล่ะก็คนคนนั้นก็ต้องมาแจ้งให้คุณทราบก่อนสิ..ไม่งั้นเขาคนนั้นก็คงจะไม่เข้าใจกฎของโลกแห่งความเป็นจริงน่ะสิ”
โจวเจิ้งผิงก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจซึ่งอันที่จริงแล้วเขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรับหน้าเย่เชียนเป็นการส่วนตัวเช่นนี้เพราะสำหรับเรื่องแบบนี้นั้นเขาก็สามารถส่งลูกน้องไปพบเย่เชียนได้ แต่ทว่าเย่เชียนนั้นยืนอยู่ในฐานะCEOของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปที่มีความสำคัญระดับนานาชาติเช่นนี้แล้วและองค์กรเหล่านี้ก็ค่อนข้างที่จะมีสีดำและสีขาวผสมปนเปกันไปอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงมาพบกับเย่เชียนด้วยตนเอง ซึ่งหลังจากที่ชงชาไปหนึ่งถ้วยแล้วเขาก็ส่งให้เย่เชียนแล้วโจวเจิ้งผิงก็พูดว่า “ดื่มชาก่อนสิ!”
“ขอบคุณครับ!” เย่เชียนก็หยิบถ้วยน้ำชาของเขาขึ้นมาแล้วจิบเล็กน้อยและหลังจากนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงกระแสความร้อนที่ไหลลงจากลำคอสู่ร่างกายของเขา นั่นก็เพราะว่าศิลปะการชงชาของโจวเจิ้งผิงนั้นดีจริงๆ และเทียบได้กับปรมาจารย์ด้านศิลปะการชงชาเลยด้วยซ้ำ
“คุณเย่จะมาลงทุนแบบไหนในไต้หวันหรือ?” โจวเจิ้งผิงถามต่อ “มันไม่ใช่แค่เปิดสโมสรโรงยิมหรอกใช่มั้ย?”
เย่เชียนก็วางถ้วยชาลงแล้วยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “คุณโจวก็ไม่ใช่คนนอกหรืออะไรเพราะงั้นผมก็จะพูดตรงๆ เลยก็แล้วกัน..ผมมีแผนจะสร้างศูนย์การขนส่งโลจิสติกส์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียใน..ส่วนสโมสรโรงยิมศิลปะการต่อสู้นั้นก็เป็นแค่งานอดิเรกเฉยๆ ครับ..ฮ่าๆ”
“หืม..ศูนย์การขนส่งโลจิสติกส์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย?” โจวเจิ้งผิงขมวดคิ้วเล็กน้อยจากนั้นเขาก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ความทะเยอทะยานของคุณเย่เนี่ยดูเหมือนว่าจะไม่ธรรมดาๆ เลยนะ..อุตสาหกรรมการขนส่งโลจิสติกส์น่ะก็เป็นเหมือนเส้นเลือดใหญ่ของไต้หวันเลย..ซึ่งการควบคุมการส่งขนของไต้หวันน่ะมันก็เหมือนกุมชะตาของไต้หวันเอาไว้ทั้งหมดเลยนะ”
“คุณโจวเป็นคนจริงจังมากเลยครับ..ผมน่ะก็เป็นแค่นักธุรกิจเพราะงั้นสิ่งที่ผมกังวลก็มีแต่เรื่องที่เกี่ยวกับการเพิ่มผลกำไรจากการจัดตั้งศูนย์การขนส่งและระบบโลจิสติกส์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียในที่ไต้หวันเท่านั้น..ซึ่งมันจะช่วยส่งเสริมการพัฒนาของไต้หวันได้อย่างมาก” เย่เชียนพูดต่อ “และผมก็รู้ด้วยว่าการทำธุรกิจแบบนี้มันเป็นเรื่องที่ยากมาก..เพราะงั้นผมก็เลยมาหาคุณโจวโดยเฉพาะเพื่อถามว่าคุณโจวสนใจที่จะซื้อหุ้นร่วมหรือเปล่า?”
“คุณเย่ต้องการใช้ฉันเพื่อข้ามสะพานอุปสรรคต่างๆ เหรอ? ” โจวเจิ้งผิงไม่ได้สนใจผลประโยชน์ที่มันจะเกิดขึ้นในอนาคตแต่อย่างใดเขาจึงถามอย่างระมัดระวัง
“ไม่ๆ ครับ!” เย่เชียนพูดอย่างรีบร้อนว่า “คุณโจวเข้าใจผิดแล้ว..ผมหมายถึงไต้หวันน่ะมันไม่ใช่ถิ่นของผม..และผมเองก็ไม่กล้าคิดแบบนั้นด้วย..ผมเห็นว่าคุณโจวคุ้นเคยกับไต้หวันเป็นอย่างดีเพราะงั้นผมก็อยากได้รับการสนับสนุนจากคุณโจวน่ะครับ..เพราะแบบนั้นสิ่งต่างๆ ก็จะสามารถจัดการได้ง่ายขึ้น”
โจวเจิ้งผิงก็ยังคงชงชาอีกถ้วยและส่งให้เย่เชียนแล้วถามว่า “แล้วหุ้นที่คุณเย่ว่าเนี่ยมันเป็นยังไงล่ะ?”
“แน่นอนว่าผมจะรับผิดชอบเงินทุนทั้งหมด..และคุณโจวก็แค่ต้องดำเนินการบางอย่างในรัฐบาล..ซึ่งตามการคาดการณ์เบื้องต้นของผมนั้นถ้าหากศูนย์ขนส่งโลจิสติกส์นี้ถูกสร้างขึ้นนั้นเราจะมีกำไรต่อปีประมาณหนึ่งพันล้านดอลลาร์สหรัฐ! ..ซึ่งคุณโจวจะได้ถือหุ้น 20% ของทั้งหมด..คุณคิดว่าไงบ้าง?” เย่เชียนนั้นสามารถสร้างกำไรอย่างมหาศาลในอนาคตได้อยู่แล้ว ซึ่งการต่อรองนี้จะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าที่สุดและสามารถทำให้ผู้นำขององค์กรสามมุมเมืองยิ่งใหญ่อย่างโจวเจิ้งผิงนั้นเห็นด้วยได้ ซึ่งถ้าหากพวกเขาได้ร่วมมือกันล่ะก็ภายใต้การแทรกแซงและการสนับสนุนของโจวเจิ้งผิงนั้นการจัดตั้งศูนย์ขนส่งโลจิสติกส์นั้นจะต้องราบรื่นอย่างมาก
สำหรับในอนาคตนั้นเย่เชียนก็ไม่ได้เพิกเฉยที่จะค่อยๆ กลืนกินองค์กรสามมุมเมืองของโจวเจิ้งผิงเช่นกัน
20% นั่นคือทุกๆ ปีที่โจวเจิ้งผิงจะมีรายได้คงที่อยู่ราวๆ 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐซึ่งมันไม่ใช่จำนวนเล็กๆ น้อยๆ เลยและยิ่งไปกว่านั้นเครือน่านฟ้ากรุ๊ปยังเป็นบริษัทระหว่างประเทศขนาดใหญ่และนอกจากนี้มันก็ยังเป็นทางเลือกที่ดีในการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเย่เชียนเอาไว้เพราะอย่างน้อยๆ ถ้าหากโจวเจิ้งผิงประสบปัญหาด้านเงินทุนในอนาคตล่ะก็เขาก็ยังสามารถขอความช่วยเหลือจากโจวเจิ้งผิงได้อีกด้วย
“เหมือนว่าคุณเย่จะรู้ข้อมูลเกี่ยวกับฉันและธุรกิจของฉันสินะ?” โจวเจิ้งผิงพูดด้วยรอยยิ้ม
“จริงๆ แล้วก่อนที่ผมจะเดินทางมาที่ไต้หวันผมก็ได้หาข้อมูลเกี่ยวกับคุณโจวเอาไว้ก่อนและก็ได้รู้ว่าถ้าใครอยากทำธุรกิจแบบเราเขาก็ต้องมีความครอบคลุมเพราะไม่เช่นนั้นธุรกิจก็จะไม่สามารถดำเนินการได้..และนอกจากนี้คุณโจวยังเป็นคนใหญ่คนโตของไต้หวันอีกด้วย..เพราะงั้นหลายสิ่งหลายอย่างก็หาคำตอบได้ไม่ยากหรอกครับ” เย่เชียนพูด “แต่พูดตามตรงเลยนะ..ผมเองก็ไม่ได้รู้อะไรมากนัก..ผมรู้แค่ว่าคุณโจวเป็นผู้นำขององค์กรสามมุมเมืองและเป็นถึงรัฐมนตรีของสภานิติบัญญัติทางการเมืองน่ะครับ”
สิ่งเหล่านี้นั้นไม่ใช่ความลับแต่อย่างใดเพราะตราบใดที่โจวเจิ้งผิงเป็นคนที่โด่งดังในเมืองเช่นนี้มันก็ไม่สำคัญเลย เพราะถึงยังไงใครๆ ต่างก็รู้จักเขาในฐานะรัฐมนตรีของสภานิติบัญญัติไม่ใช่หรือ? “ถ้างั้นคุณเย่ต้องการให้ฉันทำอะไรบ้างล่ะ?” โจวเจิ้งผิงพูดด้วยรอยยิ้ม
“มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ!” เย่เชียนพูด
“มาๆ ..มาดื่มชากันเถอะ!” โจวเจิ้งผิงยื่นถ้วยชาที่ชงสดๆ ใหม่ๆ ร้อนๆ ให้กับเย่เชียนและพูดว่า “ในเมื่อคุณเย่มั่นใจในตัวฉันแล้วตั้งความหวังเอาไว้กับฉันแบบนี้ถ้าฉันไม่เห็นด้วยมันก็คงจะดูไม่ดีสักเท่าไหร่ล่ะนะ..เอ่อ..ฉันไม่รู้ว่าคุณเย่สนใจอยากจะเข้าร่วมการเลือกตั้งรัฐสภาหรือสมาชิกทางการหรือเปล่า?”
“เอ่อ..ผมเป็นคนหยาบๆ น่ะครับ..เพราะงั้นเรื่องทางการเมืองผมไม่เข้าใจอะไรเลย..ผมก็กลัวว่าถ้าผมทำได้ไม่ดีผมก็อาจจะไม่สามารถทำธุรกิจอะไรได้เลยน่ะ” เย่เชียนยิ้มและพูดอย่างระมัดระวัง
โจวเจิ้งผิงก็ยิ้มและพูดว่า “ตราบใดที่คุณมีเงินล่ะก็การได้เข้าร่วมสมาชิกของทางการนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร..เพราะงั้นคุณเย่ก็ไม่ต้องไปกังวลเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ มากเกินไปหรอก..เพราะเรื่องแบบนี้สำหรับฉันมันง่ายมาก..ถ้าในอนาคตคุณเย่ต้องการอะไรก็แค่บอกฉัน..เดี๋ยวฉันจะจัดการให้เอง”
“ถ้างั้นผมต้องขอบคุณคุณโจวล่วงหน้านะครับ” เย่เชียนพูด
“เอาล่ะๆ ไว้ว่ากันทีหลัง..นี่มันก็บ่ายแล้วมากินข้าวด้วยกันสิ!” หลังจากที่โจวเจิ้งผิงพูดจบเขาก็ลุกขึ้นและดึงแขนของเย่เชียนราวกับว่าพวกเขาเป็นเสมือนปู่และหลานกัน แต่ทว่าเย่เชียนนั้นรู้ดีว่าตอนนี้เขากับโจวเจิ้งผิงนั้นก็เป็นเพียงแค่ความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่มีผลประโยชน์ร่วมกันซึ่งเย่เชียนนั้นก็ไม่ได้มีความเคารพอะไรโจวเจิ้งผิงเหมือนกับปู่หรือผู้อาวุโสของเขาเลย
.
.
.
.
.
.
.