ตอนที่ 353 กลับไปเยือนเมียนมาร์อีกครั้ง
เย่เชียนก็ไม่ได้กังวลอะไรเกี่ยวกับกงฉิงเลยเพราะภายใต้การจัดการของคนจากองค์กรสามมุมเมืองนั้นก็ทำให้ตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานกรมที่ดินถูกเพิกถอนได้และถึงแม้ว่ากงฉิงจะไม่ติดคุกก็ตามแต่ถึงยังไงชีวิตนี้เขาก็ไม่สามารถหางานทำหรือธุรกิจอะไรด้อีกต่อไปแล้ว ซึ่งคนประเภทนี้แน่นอนว่าเย่เชียนนั้นไม่ได้มีความเห็นอกเห็นใจใดๆ เลยแม้แต่น้อย
หลังจากที่เย่เชียนนั่งอยู่ที่นี่สักพักหนึ่งเขาก็ลุกขึ้นและเดินออกไป
เมื่อเย่เชียนนั่งอยู่บนแท็กซี่ที่กำลังจะไปยังโรงแรมจู่ๆ โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้นและเมื่อเขาหยิบขึ้นมาปรากฏว่ามันเป็นเบอร์ของเฟิงหลานและเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเล็กน้อยและรีบรับสายทันที “มีอะไรหรอ?” เย่เชียนถาม
“บอส! ..มีการก่อจลาจลที่นี่..ชาวเมียนมาร์มันกำลังจะขับไล่คนจีนออกนอกประเทศและตอนนี้ฐานของเราก็ถูกชาวเมียนมาร์ล้อมอยู่..ฉันลองติดต่อไปหารัฐบาลเมียนมาร์แล้วแต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่เข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้” เฟิงหลานพูด
เย่เชียนก็ขมวดคิ้วแน่นเพราะเคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในประเทศเยเมนมาก่อนแต่เขาก็ไม่คาดคิดว่ามันจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ในประเทศเมียนมาร์และเขาก็อดไม่ได้ที่จะหงุดหงิดหลังจากนั้นเย่เชียนก็พูดว่า “ในเมื่อรัฐบาลของพวกเขาไม่สนใจเราแบบนี้ถ้างั้นเราก็จัดการกันเองก็แล้วกัน..เรียกพี่น้องของเราที่อยู่ใกล้ๆ มาสมทบให้หมดและถ้าหากมีใครกล้าก่อปัญหาก็ให้ยิงทิ้งซะ..ผมไม่เชื่อหรอกว่าพวกนั้นมันจะไม่กลัวน่ะ..เดี๋ยวผมจะรีบจองตั๋วเครื่องบินแล้วบินไปหา”
“รับทราบบอส!” เฟิงหลานตอบและวางสายโทรศัพท์ไป
เมื่อคนขับรถแท๊กซี่ได้ยินคำพูดของเย่เชียนเมื่อครู่นี้แล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเพราะเขาไม่คิดว่าเด็กหนุ่มอย่างเย่เชียนจะน่ากลัวถึงขนาดนี้และดูเหมือนว่าเย่เชียนจะเป็นเหมือนปีศาจแห่งการฆ่าฟัน
เย่เชียนก็หันหน้าไปมองคนขับและเห็นว่ามือของเขานั้นกำลังสั่นอยู่ดังนั้นเย่เชียนจึงถามด้วยความประหลาดใจว่า “คุณเป็นอะไร? ..ขับรถดีๆ สิเดี๋ยวก็ไปชนรถคนอื่นเขาหรอก”
“เอ่อ..เอ่อ..ครับ..ครับ!” คนขับแท็กซี่ตอบอย่างตะกุกตะกักและหวาดกลัว
เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจและพูดว่า “ไปส่งผมที่สนามบิน!” หลังจากพูดจบเขาก็ไม่สนใจคนขับรถแท็กซี่อีก ซึ่งหลังจากนั้นเขาก็โทรไปหาหูวเค่อ,เหลียงหยาน,เฉินโม่,ชิงเฟิงตามลำดับโดยบอกว่าตัวเองจะไปที่ประเทศเมียนมาร์สักพักและให้พวกเขาช่วยดูแลที่นี่ไปก่อนและก็โทรหาตัวเองทันทีถ้าหากมีปัญหาอะไร
หลังจากทที่รถแท๊กซี่มาถึงสนามบินและเย่เชียนกำลังลงจากรถเขาก็ยื่นค่าโดยสารแก่คนขับแท๊กซี่แต่ทว่าเขาคนนั้นก็ดูตกใจมากจนเขาไม่กล้าเก็บค่าบริการและในท้ายที่สุดเย่เชียนก็วางเงินเอาไว้ให้เขาและเดินออกไปจากรถโดยที่คนขับแท๊กซี่ก็ยังคงจอดรถแน่นิ่งอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานาน
เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและพึมพำกับตัวเองว่า “ต่อให้ฉันจะเลวแต่ไหนก็ตามแต่ฉันจะไปโกงเงินค่าแท๊กซี่แบบนั้นน่ะเหรอ?”
การจลาจลในประเทศเมียนมาร์นั้นก็ไม่น่าจะร้ายแรงอะไรมากเพราะไม่อย่างนั้นเที่ยวบินไปประเทศเมียนมาร์ก็อาจจะถูกยกเลิกและระงับไปอย่างแน่นอนดังนั้นเย่เชียนจึงไม่ได้กังวลอะไรมากเพราะแค่เฟิงหลานคนเดียวก็สามารถจัดการกับเรื่องต่างๆ ที่นั่นได้อยู่แล้วแต่สิ่งที่ทำให้เย่เชียนต้องประหลาดใจก็คือทำไมรัฐบาลเมียนมาร์ถึงไม่เข้ามาช่วยหรืออาจจะเป็นเพราะเกิดเรื่องบางอย่างที่ร้ายแรงอย่างกะทันหันที่ประเทศเมียนมาร์ไม่เคยเผชิญมาก่อน
เย่เชียนก็นั่งรอไฟต์เที่ยวบินอยู่ที่ล็อบบี้ในเทอร์มินอลของสนามบินอย่างเบื่อหน่ายและจู่ๆ ก็มีข่าวที่กำลังออกอากาศทางโทรทัศน์ที่กำลังถ่ายทอดสดตรงมาจากประเมศเมียนร์เรื่องการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาพคนใหม่และผู้สมัครรับเลือกตั้งคนหนึ่งก็แสดงความภาคภูมิใจในตัวเองและนโยบายของเขาเพื่อขับไล่ชาวจีนออกจากประเทศซึ่งหัวข้อนี้ได้กระตุ้นความบ้าคลั่งของชายเมียนมาร์อย่างมาก
ซึ่งคิ้วของเย่เชียนก็ขมวดเล็กน้อยเพราะประเทศเมียนมาร์ก็อยู่ในทวีปเอเชียและใกล้เคียงกับประเทศอื่นๆ มากมายและโดยพื้นฐานแล้วชาวจีนต่างก็เป็นคนร่ำรวยและมั่งคั่งในทุกๆ ประเทศเพราะฉะนั้นสิ่งนี้จึงไปกระตุ้นให้เกิดความไม่พอใจและความอิจฉาอย่างมากในหมู่ชาวท้องถิ่น ซึ่งการจลาจลดังกล่าวนั้นเคยเกิดขึ้นในประเทศเยเมนมาก่อนแต่ทว่าตอนนี้ก็ไม่มีใครคาดคิดได้เลยว่าผู้สมัครนักการเมืองแบบนี้จะมาปรากฏตัวอยู่ที่ประเทศเมียนมาร์ ซึ่งเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างดูถูกเพราะเขารู้ดีว่าถ้าหากชาวจีนทั้งหมดถูกขับไล่ออกจากประเทศเมียนมาร์ล่ะก็มันจะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศเมียนมาร์อย่างมากและอย่างน้อยๆ ประเทศเมียนมาร์ก็อาจจะล้าถอยไปถึงห้าปีเลยก็เป็นได้ ซึ่งนักการเมืองที่หยิ่งผยองและโง่เขลาเหล่านั้นช่างไม่รู้อะไรเสียเลย
การเลือกตั้งดังกล่าวนั้นแน่นอนว่ามันจะต้องมีฝ่ายคัดค้านที่ไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน ซึ่งรอยยิ้มที่ชั่วร้ายก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเย่เชียนเพราะดูเหมือนว่าโอกาสของเขาจะมาถึงแล้วเพราะหลังจากที่รอมานานในที่สุดเขาก็จะได้แทรกซึมเข้าไปในรัฐบาลเมียนมาร์สักที ซึ่งการคว้าโอกาสในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้ก็มักจะเป็นสิ่งที่เย่เชียนทำได้ดีที่สุดเช่นกัน
เช้าวันรุ่งขึ้นเครื่องบินไฟต์ของเย่เชียนก็มาถึงที่เมืองเนปิดอว์ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศเมียนมาร์ ซึ่งหลังจากออกจากสนามบินแล้วเย่เชียนก็เรียกแท็กซี่แล้วนั่งตรงไปยังคฤหาสน์หรือฐานของเขี้ยวหมาป่าในประเทศเมียนมาร์นั่นเอง ซึ่งระหว่างทางเองก็ยังสามารถเห็นผู้คนที่ก่อความวุ่นวายและประท้วงกันตลอดทางโดยมีบางคนที่ถือป้ายขนาดใหญ่และตะโกนอย่างบ้าคลั่งกันเต็มไปทั่วทุกพื้นที่
“คุณเป็นคนจีนหรือ? ..คุณไม่ควรมาที่ประเทศเมียนมาร์ในเวลานี้เลย..ชาวเมียนมาร์หลายคนกำลังเรียกร้องนโยบายของนายิบผู้สมัครจากพรรคเสรีนิยมให้ขับไล่ชาวจีนทั้งหมดออกจากประเทศเมียนมาร์น่ะ!” คนขับแท๊กซี่พูดขณะขับรถ
“แล้วคุณล่ะคิดว่าไง?” เย่เชียนถาม
“มันก็แค่เรื่องไร้สาระน่ะ..ไอ้พวกที่มาก่อการจลาจลและประท้วงน่ะส่วนใหญ่พวกนั้นก็มาจากการว่าจ้างหรือรับเงินมาจากพรรคการเมืองน่ะแหละ..และพวกนั้นก็ไปปั่นป่วนและสร้างความวุ่นวายให้กับผู้คนเพื่อเพิ่มคะแนนเสียงจากพรรคที่คอยสนับสนุนพวกเขาอยู่อย่างไม่ต้องสงสัยเลย” คนขับแท็กซี่พูด
เย่เชียนก็หัวเราะเบาๆ และเขาก็รู้สึกว่าคนขับแท็กซี่คนนี้เป็นคนที่เข้าใจอะไรได้ชัดเจนดีและเขาก็เข้าใจโลกภายนอกเป็นอย่างดีเพราะคนธรรมดาอย่างพวกเขาต่อให้ไปประท้วงหรือสร้างความวุ่ยวายแค่ไหนถึงยังไงมันก็ต้องจบลงด้วยความเห็นชอบจากเสียงข้างมากอยู่ดี “นายิบคนนั้นเขาไม่ชนะการเลือกตั้งหรอก” เย่เชียนพูดเบาๆ
“ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้นล่ะ..เขาเป็นที่นิยมมากในปัจจุบันและคนส่วนใหญ่ก็สนับสนุนเขา..เพราะขนาดตาเฒ่าหัวหน้าพรรคประชาธิปไตยก็ยังสู้เขาไมได้เลย” คนขับแท๊กซี่พูด
เย่เชียนก็ยิ้มและไม่ได้พูดอะไรใดๆ ต่อ
ใช้เวลาไม่นานนักรถแม๊กซี่ก็มาถึงบริเวณคฤหาสน์ซึ่งจากระยะไกลนั้นก็สามารถเห็นคฤหาสน์ที่รายล้อมไปด้วยกลุ่มคนจำนวนมากและพวกเขาก็เอาแต่ตะโกนอยู่หน้าประตูกันอย่างบ้าคลั่ง โดยทุกๆ ประตูของคฤหาสน์นั้นก็มีทหารรักษาการณ์อยู่โดยเป็นเหล่าทหารรับจ้างของเขี้ยวหมาป่าโดยถือปืนและบรรจุกระสุนอย่างเตรียมพร้อมอยู่ ซึ่งบางทีอาจเป็นเพราะเหตุนี้จึงทำให้คนเหล่านั้นไม่กล้าจะบุกเข้ามา
หลังจากจ่ายค่าโดยสารแล้วเย่เชียนก็ลงจากรถและยิ้มให้คนขับแท๊กซี่และพูดว่า “รอดูข่าวก็แล้วกัน..ผมกล้าพูดได้เลยว่านายิบจะไม่ได้รับเลือกตั้ง!”
คนขับก็ถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะและเขาก็คิดไม่ออกว่าทำไมเย่เชียนถึงได้มั่นใจขนาดนี้แต่เขาก็ไม่สนใจอะไรเพราะมันไม่ใช่เรื่องของเขาดังนั้นเขาจึงขับรถออกไปอย่างไม่แยแสสิ่งใด
เย่เชียนก็หยิบบุหรี่ออกจากเสื้อของเขาแล้วจุดไฟจากนั้นก็คีบเข้าปากแล้วค่อยๆ เดินไปที่คฤหาสน์แต่ทว่าเมื่อฝูงชนที่อยู่รอบๆ คฤหาสน์นั้นเห็นเย่เชียนเดินเข้ามาพวกเขาก็ไปรายล้อมเย่เชียนทันทีพร้อมกับส่งเสียงตะโกนด่าและสาปแช่งกันอย่างบ้าคลั่ง
มีรอยยิ้มที่ชั่วร้ายปรากฏออกมาจากมุมปากเย่เชียนซึ่งดูเหมือนว่าเย่เชียนจะทำเหมือนไม่ได้ยินอะไรเลยเพราะเขากลับยืนอยู่ที่นั่นและค่อยๆ สูบบุหรี่ของเขาอย่างสบายใจเฉิบและหลังจากนั้นไม่นานเขาก็โยนบุหรี่ทิ้งลงพื้นแล้วใช้เท้าเหยียบมันเพื่อดับไฟบุหรี่และหลังจากนั้นเขาก็ยื่นนิ้วโป้งออกมาและลูบริมฝีปากของตัวเองเบาๆ และในทันใดนั้นเองดวงตาของเย่เชียนก็เย็นยะเยือกขึ้นในทันทีและเขาก็เริ่มปล่อยหมัดต่อยคนรอบๆ เขาไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งในตอนนี้เย่เชียนนั้นก็ไม่ได้ยั้งมือแต่อย่างใดเพราะเขาใส่พละกำลังไปอย่างเต็มแรงจนทำให้ฝูงชนรอบๆ ตัวเขาที่เขาต่อยไปหมดสติและบางคนก็ถึงกับตายกันไปในทันที
เมื่อฝูงชนเห็นเย่เชียนเริ่มลงมือและใช้ความรุนแรงกันแล้วพวกเขาคนที่เหลือก็เข้ามารุมเย่เชียนซึ่งในตอนนี้เย่เชียนก็ไม่ได้แสดงความเมตตาใดๆ เลยแม้แต่น้อยเพราะมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะจัดการกับคนเหล่านี้ด้วยเหตุผลซึ่งมีเพียงวิธีการใช้กำลังเพียงเท่านั้นเพราะไม่เช่นนั้นพวกเขาเหล่านี้ก็คงจะหยิ่งผยองและด่าสาปแช่งหยามเกียรติของตัวเองเป็นแน่
ฝูงชนก็ล้มลงไปทีละคนๆ และในขณะนี้เฟิงหลาน,หลิวเทียนเฉิน,เจมส์และวิลเลียมก็ได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมมาจากด้านนอกดังนั้นพวกเขาจึงโผล่ออกมาดูและพวกเขาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นเย่เชียนถูกล้อมรอบด้วยฝูงชนเหล่านั้น เมื่อเห็นเช่นนั้นเฟิงหลานก็รีบตะโกนว่า “ทุกคนเร็วๆ ..บอสมาแล้ว” ในขณะที่เขาพูดเขาก็ชักปืนขึ้นโดยไม่ลังเลใดๆ และยิงไปที่ฝูงชนทันที
ในทันใดนั้นเหล่าฝูงชนก็ตกใจและหยุดส่วนหลิวเทียนเฉิน,เจมส์และวิลเลียมและทหารรับจ้างอีกสองสามคนก็วิ่งไปสมทบเย่เชียนที่ประตูคฤหาสน์หลังจากนั้นเย่เชียนก็จัดระเบียบเสื้อผ้าบนร่างกายของเขาและสายตาของเขาก็กวาดไปที่เหล่าฝูงชนตรงหน้าทีละคนๆ
“ไอ้พวกบ้านี่มันกล้ายิงเรางั้นเหรอ..ได้! ..พวกเราฆ่าไอ้พวกหมูจีนซะ!” จู่ๆ เสียงๆ หนึ่งก็ตะโกนออกมาท่ามกลางฝูงชนและทันใดนั้นอารมณ์ที่บ้าคลั่งของฝูงชนก็เริ่มปะทุขึ้นมากกว่าเดิมและหลังจากนั้นพวกเขาก็วิ่งกรูกันเข้าไปหาเย่เชียนที่ด้านหน้าประตู ซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่าคนที่เพิ่งจะตะโกนออกมานั้นเป็นแกนนำของฝูงชนเหล่านี้ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือคนคนนั้นกำลังล้างสมองและหลอกใช้คนเหล่านี้อยู่ เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็คว้าปืนมาจากซองปืนของทหารรับจ้างของเขี้ยวหมาป่าที่อยู่ข้างๆ เขาและยิงไปที่หัวของแกนนำในเสี้ยววินาที
“พี่น้องของผม..ถ้าพวกมันกล้าเข้ามาล่ะก็..ฆ่าแม่งให้หมด!” เย่เชียนตะโกนอย่างรุนแรงและเดือดดาล
ด้วยคำสั่งของผู้นำกองกำลังทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าผู้ยิ่งใหญ่แล้วก็ไม่มีใครที่มีท่าทีขัดขืนเลยแม้แต่น้อย ซึ่งพวกเขาทั้งหมดก็ชักปืนขึ้นมาทีละคนและเล็งไปทั่วๆ ฝูงชนในทันที จู่ๆ ในขณะนี้ก็มีรถบรรทุกและรถถังหลายสิบคันขับเข้ามาจากระยะไกลๆ และมีเสียงจากวิทยุกระจายเสียงสั่งให้ทุกคนหยุดการกระทำต่างๆ ซึ่งหลังจากนั้นทุกคนก็หยุดรวมไปถึงฝูงชนที่บ้าคลั่งเหล่านั้นด้วยเช่นกัน
ซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่านั่นคือกองทัพอย่างแน่นอนดังนั้นเย่เชียนก็ต้องหยุดซึ่งนั่นก็เพราะว่าเขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นคนของฝ่ายไหนกันแน่และยิ่งไปกว่านั้นเหล่าสมาชิกของเขี้ยวหมาป่าก็มีกันอยู่เพียงแค่ 20 คน ซึ่งเสียเปรียบอย่างมากและถึงแม้ว่าพวกเขาจะสามารถตอบโต้ได้ก็ตามแต่ถึงยังไงมันก็คือการมองหาความตายอยู่ดี ซึ่งถ้าหากว่าสถานการณ์ในตอนนี้มันเป็นความเป็นความตายในสนามรบจริงๆ ล่ะก็เย่เชียนกับคนอีกยี่สิบคนที่เหลือก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อกวาดล้างศัตรูเป็นแน่ แต่เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ในตอนนี้ก็เป็นเพียงแค่การเจรจาเพียงเท่านั้น
ในไม่ช้าเหล่าคนจากกองทัพก็กระโดดลงจากรถบรรทุกล้อมรอบไปทั่วทุกพื้นที่อย่างรวดเร็วโดยมีรถถังประจำการอยู่เป็นระยะๆ ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานชายชราสองคนก็ออกมาจากรถออฟโรดหุ้มเกราะซึ่งพวกเขามีอายุประมาณห้าสิบกว่าๆ ซึ่งคนหนึ่งแต่งกายมาด้วยชุดสูทส่วนอีกคนหนึ่งอยู่ในชุดทหารทางการที่น่าเกรงขามอย่างมาก “จับพวกมันไปให้หมด!” ชายชราในชุดทหารตะโกนอย่างดุดันและในทันใดนั้นเหล่าทหารหลายร้อยนายก็รายล้อมฝูงชนและยับยั้งการกระทำของฝูงชนกันอย่างรวดเร็ว
เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเมื่อเขามองไปที่อินทรธนูยศบนบ่าของชายชราในชุดทหารคนนั้นซึ่งเขาอยู่ในระดับผู้บัญชาการเหล่าทัพสูงสุดซึ่งเขาไม่ใช่คนธรรมดาๆ เลยจริงๆ และเมื่อดูท่าทีของชายชราอีกคนในชุดสูทฉันแล้วเย่เชียนก็คิดว่าพวกเขาคงจะอยู่ในระดับเดียวกันซึ่งสิ่งนี้ทำให้เย่เชียนประหลาดใจอย่างมากเกี่ยวกับตัวตนของชายชราในชุดสูท
หลังจากนั้นก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินออกจากรถและเดินตามชายชราทั้งสองมาอย่างเคารพและเดินตรงมาที่เย่เชียน ซึ่งเมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็ยื่นปืนในมือของเขาคืนให้ทหารรับจ้างคนข้างๆ และโบกมือส่งสัญญาณให้พวกเขาลดปืนลง
ชายชราทั้งสองก็หยุดอยู่ตรงหน้าเย่เชียนและมองเย่เชียนจากหัวจรดเท้าและชายชราในชุดสูทก็หัวเราะและพูดว่า “คุณเป็นผู้นำของที่นี่สินะ..คุณรู้มั้ยว่าสิ่งที่พวกคุณกำลังทำอยู่มันผิดกฎหมายของประเทศนี้น่ะ?”
“ผมรู้แค่ว่าตอนนี้ผมกำลังปกป้องตัวเองอยู่..เพราะถ้าผมไม่ทำแบบนั้นล่ะก็เกรงว่าผมเองที่จะเป็นฝ่ายตายน่ะ..ถ้าหากกฎหมายของพวกคุณสนับสนุนให้ผู้คนมาคุกคามหรือมาก่อความวุ่นวายแบบนี้ล่ะก็..ผมก็คงไม่มาเหยียบที่นี่หรอก!” เย่เชียนพูดอย่างดุดันโดยไม่มีร่องรอยของการนอบน้อมเลยแม้แต่น้อย
.
.
.
.
.
.
.