ตอนที่ 354 นักการเมือง
“กล้าดีหนิ!” ชายชราในชุดทหารตะโกนและหลังจากนั้นเหล่าทหารจากกองทัพก็ล้อมรอบเขาทันทีและรีบจ่อปืนไปที่เย่เชียน ซึ่งแน่นอนว่าเหล่าสมาชิกเขี้ยวหมาป่าเองก็ไม่ยอมเช่นกันดังนั้นพวกเขาจึงจ่อปืนเล็งไปที่ชายชราทั้งสองอย่างรวดเร็ว
“ทำไมล่ะ? ..คุณกลัวเหรอ? ..เราอยู่ในยุคของเสรีภาพกันแล้ว..แล้วไง? ..ต่อให้คุณฆ่าผมได้แล้วคุณสามารถหยุดเจตนารมณ์ของผมได้อย่างงั้นเหรอ?” เย่เชียนพูดอย่างดุดัน “ผมขอพูดเอาไว้ที่ตรงนี้เลยนะ..ถ้าพวกคุณยังเพิกเฉยต่อเหตุการณ์นี้อยู่อีกล่ะก็..ผมจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศนี้ถดถอยและล้าหลังไปเป็นสิบๆ ปีเลยคุณเชื่อมั้ยล่ะ?”
เย่เชียนได้ลั่นวาจาออกมาแล้วซึ่งแม้แต่ทวีปอเมริกาใต้อันกว้างขวางใหญ่โตเช่นนั้นเขาก็ทำมาแล้วและไม่ต้องพูดถึงประเทศเมียนมาร์เล็กๆ เช่นนี้เลย เพราะงั้นเย่เชียนก็ไม่เพียงแค่กวาดล้างและล้มล้างระบอบเศรษฐกิจของพวกเขาเพียงเท่านั้นแต่เย่เชียนยังสามารถใช้กองโจรติดอาวุธพันธมิตรของเขาเพื่อเปิดสงครามกับประเทศนี้ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งบางทีการทำเช่นนั้นก็อาจจะล้มล้างระบอบการปกครองของเมียนมาร์ไปโดยสิ้นเชิงก็เป็นได้และไม่ว่ามันจะเลวร้ายเพียงใดก็ตามเพราะท้ายที่สุดแล้วเย่เชียนก็ยังมีอาวุธชีวภาพเคมีที่อยู่กับพ่อค้าอาวุธจากประเทศอียิปต์เพื่อทำลายล้างประเทศเมียนมาร์ให้ถูกลบออกไปจากแผนที่โลกได้อย่างง่ายดาย
ชายชราในชุดสูทก็โบกมือให้ทหารทุกคนถอยกลับไปแล้วคอยจับตามองอย่างระมัดระวังและหลังจากนั้นเขาก็พูดว่า “ฉันคือหัวหน้าพรรคประชาธิปไตยอู๋จิ่ว..ฉันขอทราบชื่อคุณได้มั้ย?”
“นั่น! ..พี่ชาย! ..พี่ชายผู้มีพระคุณใช่มั้ย..พี่ชายผมไม่คิดเลยว่าเราจะได้มาพบกันที่นี่!” เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างหลังของชายชราทั้งสองก็วิ่งมาข้างหน้าและคว้ามือของเย่เชียนเอาไว้อย่างตื่นเต้นและพูด
เย่เชียนก็ถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะและหลังจากเขาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งเขาก็จำได้แล้วว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นเด็กหนุ่มที่ชื่อไท่เหอที่เขาได้ช่วยชีวิตเอาไว้โดยบังเอิญที่เมืองหางโจวในวันนั้น “อ้าว..นายกลับมาแล้วหรอ?” เย่เชียนพูด
“ใช่ครับ..ผมกลับมาเมื่อปีที่แล้ว..พี่ชายผู้มีพระคุณ..ทำไมพี่ชายถึงไม่โทรมาบอกผมว่าพี่ชายมาเมียนมาร์ล่ะ..ผมจะได้ตอบแทนบุญคุณของพี่และต้อนรับพี่อย่างดีที่สุดในฐานะเจ้าบ้านน่ะ!” ไท่เหอพูดอย่างตื่นเต้น
เย่เชียนเองก็รู้สึกยินดีอย่างยิ่งไปกับโชคชะตาของเขาเพราะสิ่งที่เขาทำไปนั้นมันก็แค่เรื่องธรรมดาๆ และเขาก็ไม่ได้ตระหนักถึงสิ่งตอบแทนใดๆ เลยแม้แต่น้อย “เอ่อ..นายเรียกฉันว่าเย่เชียนดีกว่านะ..อย่าเรียกฉันว่าผู้มีพระคุณเลย..มันฟังดูอึดอัดน่ะ” เย่เชียนยิ้มและพูด
“ไท่เหอ! ..เอ็งรู้จักเขาเหรอ?” ผู้อาวุโสทั้งสองก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเพราะเห็นได้ชัดว่าพวกเขานั้นไม่คาดคิดว่าไท่เหอจะรู้จักเย่เชียนและเมื่อสังเกตจากคำพูดของไท่เหอแล้วดูเหมือนว่าเย่เชียนคนนี้จะเป็นคนที่สำคัญสำหรับไท่เหออย่างมาก
“พ่อครับ! ..นี่คือพี่ชายคนที่ผมพูดให้พ่อฟังอยู่บ่อยๆ ยังไงล่ะ..เขาได้ช่วยผมเอาไว้ตอนที่ผมเรียนอยู่ที่ประเทศจีนน่ะ” ไท่เหอพูดอย่างเร่งรีบด้วยความตื่นเต้นอย่างมาก
ชายชราในชุดสูทก็ถึงกับผงะไปและพูดอย่างรีบพูดว่า “โอ้..คุณเย่เชียนเป็นผู้มีพระคุณของเด็กคนนี้นี่เอง..ฉันทำพลาดไปแล้วสินะ..ฉันหวังว่าคุณเย่จะไม่ขุ่นเคืองกับสิ่งที่พวกเราเพิ่งทำลงไปนะ”
เนื่องจากบุคคลระดับหัวหน้าพรรคประชาธิปไตยนอบน้อมและสุภาพกับเย่เชียนมากถึงขนาดนี้แล้วดังนั้นแน่นอนว่าเย่เชียนก็ต้องสุภาพกลับเช่นกัน เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็ยิ้มและพูดว่า “ครับคุณอู๋จิ่ว..เรื่องนั้นไม่เป็นอะไรหรอกครับ..ผมเองก็ต้องขอโทษที่ทำตัวหยาบคายใส่คุณเหมือนกันน่ะครับ”
“อืม..ก็ในเมื่อคุณเป็นคนเย่ช่วยลูกชายของฉันเอาไว้เพราะงั้นเราก็คนกันเองล่ะนะ” อู๋จิ่วพูด “จริงๆ แล้วเรื่องทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นก็เพราะนายิบคนเดียวเลย..ฉันต้องขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ..ทั้งๆ ที่คุณเย่มาลงทุนทำธุรกิจในประเทศของเราแท้ๆ ..เพราะงั้นฉันก็ไม่สามารถปัดความรับผิดชอบไปได้หรอก..เอ่อ..ฉันจอแนะนำคุณหน่อยนะนี่คือผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพของเรา..นายพลต้าเถา”
“ฉันต้องขอโทษคุณเย่จริงๆ ที่กองทัพของเราทำให้คุณโกรธเคือง!” ต้าเถาพูด
“ไม่เป็นครับ..อย่าพูดแบบนั้นเลยท่านนายพล” เย่เชียนพูดต่อ “เอ่อ..เราเข้าไปคุยกันข้างในดีกว่ามั้ยครับ?”
หลังจากทักทายกันแล้วพวกเขาทั้งสามก็เดินเข้าไปในคฤหาสน์พร้อมๆ กัน ซึ่งต้าเถาก็ได้สั่งผู้ใต้บังคับบัญชาให้ควบคุมตัวเหล่าฝูงชนเอาไว้และนำกองกำลังไปยับยั้งการก่อจลาจลและการประท้วงในพื้นที่รอบๆ อย่างเคร่งครัด
เมื่อพวกเขามานั่งกันในคฤหาสน์แล้วเฟิงหลานก็ไปชงชามาสองสามถ้วยแล้วนำมาเสิร์ฟ ซึ่งการที่พวกเขาต้องทำด้วยตัวเองนั้นก็เพราะว่าเนื่องจากเกิดการจลาจลในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาจึงทำให้คนใช้และคนงานในคฤหาสน์ถูกปลดออกไปทีละคนๆ เพราะถ้าหากพวกเขาไม่ทำเช่นนี้แล้วพวกเขาก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าคนไหนเป็นสายลับหรือสปายที่มาคอยสอดส่องเช่นนั้น
“เชิญครับ!” เย่เชียนพูดอย่างสุภาพ
อู๋จิ่วก็พยักหน้าและจิบชาเบาๆ จากนั้นก็พูดว่า “คุณเย่ทำธุรกิจอะไรในประเทศจีนหรือ”
เย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยเพราะนี่คือการซักถามตัวตนของเขานั่นเอง “ผมก็เดินหน้าพัฒนาบริษัทเครือน่านฟ้ากรุ๊ปของผมน่ะครับ..และจะขยายสาขาไปทั่วโลกเพื่อผลักดันเศรษฐกิจในท่องถิ่นน่ะครับ!”
“คุณเย่เป็นCEOของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปหรือ! ..คุณนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ!” อู๋จิ่วถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะและพูดอย่างรีบร้อน
“คุณอู๋จิ่วรู้จักเครือน่านฟ้ากรุ๊ปด้วยหรอครับ?” เย่เชียนถาม
“แน่นอนสิ..เพราะเครือน่านฟ้ากรุ๊ปเป็นบริษัทขนาดใหญ่ในระดับสากล 20 อันดับแรกของโลก..เพราะงั้นฉันก็ต้องรู้จักอยู่แล้ว” อู๋จิ่วพูดต่อ “ฉันไม่ได้คาดหวังเลยว่าคุณเย่จะเป็นCEOใหญ่ของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปน่ะ..เรื่องการลงทุนของคุณถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งสำหรับพวกเรา..โปรดอย่าขุ่นเคืองไปกับเรื่องที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้เลยนะ..เดี๋ยวฉันจะใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดเพื่อยับยั้งการก่อจลาจลในครั้งนี้อย่างเคร่งครัด..เพราะงั้นคุณเย่มั่นใจได้เลยว่าการลงทุนในเมียนมาร์ของคุณในครั้งนี้จะเป็นไปตามที่คุณคาดหวัง”
“ครับ..แต่ผมอยากรู้ว่าคุณอู๋จิ่วจะชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ได้ยังไงครับ? ..เพราะถ้านายิบชนะนั่นก็หมายความว่าพวกเราชาวจีนจะไม่สามารถตั้งหลักปักฐานในเมียนมาร์ได้อีกต่อไปน่ะสิ” เย่เชียนก็ถามตามความเป็นจริงนั่นก็เพราะว่ามันไม่มีอะไรมากไปกว่าการพยายามสร้างสัมพันธไมตรีกับอู๋จิ่ว ซึ่งแม้แต่การช่วยให้อู๋จิ่วชนะการเลือกตั้งนั่นก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรเพราะท้ายที่สุดแล้วถ้าหากอู๋จิ่วเป็นฝ่ายชนะล่ะก็เย่เชียนก็จะได้รับผลประโยชน์ต่างๆ มากกว่าการที่นายิบชนะการเลือกตั้งอย่างแน่นอน
อู๋จิ่วก็หัวเราะแห้งๆ และพูดว่า “พูดกันตามตรงเลยนะตอนนี้คะแนนเสียงความนิยมของนายิบน่ะค่อนข้างมากกว่าฉันเยอะเลย..เพราะเขาปลุกระดมและเสแสร้งทำเป็นใช้จิตสำนึกในการปกป้องชาติของประชาชนแบบนั้น..และถ้าหากเรื่องนี้มันยังบานปลายไปต่อล่ะก็..บอกเลยว่ามีโอกาส 80% ที่นายิบจะได้รับการเลือกตั้ง!”
“แล้วกองทัพล่ะครับ? ..กองทัพสนับสนุนฝ่ายไหน?” เย่เชียนหันไปถามต้าเถา
“นับตั้งแต่ที่มีการออกกฎหมายมาก่อนหน้านี้กองทัพก็หยุดแทรกแซงเรื่องทางการเมือง..โดยจะเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาโดยตรงเข้าสู่รัฐสภาในทุกๆ ปี..และในกรณีนี้เราก็ทำได้เพียงแค่เพิกเฉยไป..เพราะไม่งั้นมันอาจจะนำไปสู่สงครามกลางเมืองก็ได้น่ะ” ต้าเถาตอบ
เย่เชียนก็พยักหน้าเบาๆ และพูดว่า “คือเครือน่านฟ้ากรุ๊ปของผมก็มีอิทธิพลอย่างมากในต่างประเทศเช่นทวีปยุโรปและทวีปอเมริกาและเอเชียรวมไปถึงแอฟริกาคือพูดง่ายๆ เลยก็คือทั่วโลกนั่นแหละ..เพราะงั้นผมก็คิดว่าถ้าหากเครือน่านฟ้ากรุ๊ปพูดเพียงไม่กี่คำมันก็เพียงพอที่จะทำให้หลายๆ ประเทศมาสนับสนุนคุณอู๋จิ่วได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน..และแน่นอนว่าในฐานะนักธุรกิจนั้นผมก็อยากจะรู้ว่าผมจะทำกำไรได้มากแค่ไหนถ้าหากผมทำแบบนั้น..ซึ่งอันที่จริงแล้วถึงแม้ว่านายิบจะชนะการเลือกตั้งไปก็ตามแต่ถึงยังเครือน่านฟ้ากรุ๊ปของผมก็ไม่มีปัญหาอะไรอยู่ดี..เพราะการผันผวนของเศรษฐกิจในประเทศเมียนมาร์นั้นก็ไม่มีผลกระทบอะไรต่อเครือน่านฟ้ากรุ๊ปของผมอยู่ดี..แต่สำหรับประเทศเมียนมาร์แล้วผมพูดได้เลยว่ามันจะเลวร้ายมาก”
“คุณเย่ทำแบบนั้นได้จริงๆ หรือ?” เห็นได้ชัดเลยว่าอู๋จิ่วนั้นตื่นเต้นอย่างมากเพราะถึงแม้ว่าการเลือกตั้งนั้นจะเป็นเรื่องภายในประเทศก็ตามแต่ถ้าหากพิจารณาถึงสถานะสากลของประเทศเมียนมาร์ในปัจจุบันแล้วถ้าหากมีแรงกดดันจากต่างประเทศหลายฝั่งหลายฝ่ายล่ะก็มันจะส่งผลอย่างมากต่อการเลือกตั้งอย่างแน่นอน “ถ้าอย่างนั้นฉันขอรับประกันเลยว่าตราบใดที่ฉันชนะการเลือกตั้งล่ะก็..การลงทุนของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปในประเทศเมียนมาร์จะไม่มีข้อจำกัดใดๆ เลยแม้แต่น้อย..และแม้แต่ที่นั่งของคุณเย่ในรัฐสภาฉันก็ยินดี!”
เย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้ม “แต่ผมจะมั่นใจได้ยังไงว่าถ้าหากคุณอู๋จิ่วชนะการเลือกตั้งแล้วคุณจะไม่เป็นเหมือนนายิบน่ะ..แบบนั้นมันจะไม่เหมือนว่าผมกำลังเดินไปเตะก้อนหินก้อนใหญ่อย่างงั้นหรอกเหรอ?”
“พี่เย่มั่นใจในเรื่องนี้ได้เลย..พ่อของผมน่ะเขาสนับสนุนการรวมชาติมาโดยตลอดและพยายามดึงดูดนักธุรกิจต่างชาติจำนวนมากให้มาลงทุนในประเทศของเรา..เพราะนี่ก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการส่งเสริมการพัฒนาของประเทศเมียนมาร์น่ะ!” ไท่เหอพูดต่อ “ถ้าพ่อของผมชนะการเลือกตั้งล่ะทุกๆ อย่างก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับพี่เย่และจะไม่มีปัญหาอะไรใดๆ ในภายภาคหน้าอีกด้วย”
“ใช่ๆ ..คุณเย่เองก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าถ้าหากนายิบชนะการเลือกตั้งล่ะก็มันก็หมายความว่าชาวจีนในประเทศเมียนมาร์จะถูกขับไล่และเนรเทศไป..และถึงแม้ว่าเศรษฐกิจของประเทศเมียนมาร์จะไม่ใหญ่โตอะไรมากก็ตามแต่ถึงยังไงเครือน่านฟ้ากรุ๊ปก็ยังทำกำไรได้มากมายอยู่ดีและฉันก็เชื่อว่ามันไม่ได้น้อยเลยในฐานะนักธุรกิจน่ะ..คุณเย่ควรตระหนักถึงผลกำไรมหาศาลที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความเสี่ยง..นั่นก็เพราะว่ายิ่งความเสี่ยงสูงเท่าไหร่ผลกำไรมันก็จะสูงมากเท่านั้นใช่มั้ยล่ะ? ..ทำไมคุณเย่ไม่ลองเดิมพันดูสักหน่อยล่ะ?”
เย่เชียนก็หยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาและจิบอย่างช้าๆ และอย่างแผ่วเบาพร้อมกับพูดว่า “น่าเสียดายที่สถานการณ์แบบนี้ผมไม่ค่อยชอบการเดิมพันมากนัก..เพราะถ้าผมอยากจะสู้ล่ะก็ผมก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุดและจะไม่มีการเดิมพันใดๆ ทั้งสิ้น! ..คุณอู๋จิ่วก็น่าจะรู้ดีไม่ใช่หรอว่ามีชาวจีนจำนวนมากที่ตั้งหลังปักฐานกันที่ประเทศเมียนมาร์น่ะ..เพราะงั้นตั้งแต่ที่นายิบประกาศกร้าวให้ขับไล่ชาวจีนออกไปเพื่อกระตุ้นความขัดแย้งทางชนชาติน่ะทำไมคุณอู๋จิ่วถึงไม่ใช้นโยบายการปกป้องชาวจีนเพื่อให้ได้รับการสนับสนุนจากชนชั้นสูงและเหล่านักธุรกิจชาวจีนในประเทศเมียนมาร์ล่ะ? ..ผมคิดว่าเสียงของพวกเขานั้นไม่ใช่น้อยๆ เลยนะ”
อู๋จิ่วก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงไปและเขาก็ครึ่งคิดอย่างลับๆ ว่าทำไมเขาถึงไม่ทำแบบที่เย่เชียนพูดกันล่ะ? เพราะในประเทศเมียนมาร์นั้นคนรวยและมหาเศรษฐีโดยพื้นฐานแล้วก็ล้วนเป็นคนจีนชนชั้นสูงเกือบ 80% ซึ่งถ้าหากเขาได้รับการสนับสนุนจากชาวจีนล่ะก็มันก็จะมีผลอย่างมากต่อการเลือกตั้งของเขา
“ฉันขอพูดเลยนะว่าคุณเย่เนี่ยเหมาะกับการเป็นนักการเมืองจริงๆ ..เอาล่ะฉันจะใช้วิธีนี้แหละ! ..เพราะหลังจากที่ฉันไตร่ตรองและพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วนี่ก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการแข่งกับนายิบแล้ว” อู๋จิ่วพูดอย่างกระตือรือร้น
“คุณอู๋จิ่วครับ..คือผมคิดว่าคุณต้องเข้าใจนะว่านี่มันไม่ใช่การแข่งขันแต่มันถือเป็นการสนับสนุนอย่างจริงใจของชาวจีนและผลประโยชน์ของพวกเขา..เพราะถึงยังไงชาวจีนก็ล้วนมาอาศัยอยู่ในต่างแดนเพราะงั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย..และสิ่งที่สำคัญกว่าก็คือการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างชาวจีนและคนในพื้นที่ของประเทศนั้นๆ ..เพราะงั้นการที่มิตรภาพของทั้งสองฝ่ายอยู่ในความสมดุลล่ะก็มันก็ทำให้อะไรๆ ดียิ่งขึ้น” เย่เชียนพูด
“เรื่องนั้นแน่นอนอยู่แล้ว” อู๋จิ่วพูด “ฉันคิดว่าถ้าคุณเย่เข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองล่ะก็คุณจะต้องเป็นดาวดวงใหม่ที่รุ่งโรจน์ในเวทีและแวดวงการเมืองอย่างแน่นอน!”
เย่เชียนก็ยิ้มและพูดว่า “ผมขอบคุณที่คุณอู๋จิ่วชื่นชมผมนะครับ..แต่จริงๆ แล้วผมไม่ได้สนใจเรื่องการเมืองเลย..ผมเป็นคนขี้เกียจเกินไป..เพราะสิ่งที่ผมชอบก็คือชีวิตที่อิสระ!”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะเย่เชียนก็พูดต่อ “เอ่อ..อันที่จริงแล้วผมยังมีอีกวิธีที่จะทำให้คุณอู๋จิ่วชนะการเลือกตั้งน่ะครับ..ไม่ทราบว่าคุณอู๋จิ่วสนใจที่จะฟังมั้ยครับ?”
.
.
.
.
.
.
.