ตอนที่ 359 สตรีศรีสังคม
เรื่องต่างๆ ของประเทศเมียนมาร์ถูกจัดการโดยเย่เชียนอย่างสมบูรณ์แบบภายใต้น้ำมือของเขาและแน่นอนว่านี่ไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวตนของเย่เชียนกับประเทศนี้เพียงเท่านั้น เพราะตัวตนที่เปิดเผยของเย่เชียนในประเทศเมียนมาร์นั้นก็ไม่ได้สำคัญอะไรมากนัก และเขาก็แค่ต้องการที่จะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากประเทศเมียนมาร์อย่างสมบูรณ์นั่นเอง
ภายใต้แรงกดดันของรัฐสภาจึงทำให้หน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติของประเทศเมียนมาร์ได้จับกุมตัวฉานเซ่อและทำการกักขังและสอบสวนอย่างลับๆ แต่ทว่าคนใหญ่คนโตอย่างฉานเซ่อก็มีทั้งเงินและอำนาจดังนั้นเย่เชียนจึงวางแผนซ้อนแผนเอาไว้โดยใช้เงินซื้อคนใกล้ตัวของฉานเซ่อและสั่งให้เขาคนนั้นเปิดเผยเรื่องทั้งหมดต่อสาธารณชนโดยบอกว่าฉานเซ่อคือผู้บงการเรื่องทั้งหมดนั่นเอง
การที่ผู้ใต้บังคับบัญชาของตัวเองออกมาเปิดเผยสิ่งต่างๆ เช่นนั้นเป็นผลให้ฉานเซ่อไม่สามารถลบล้างความผิดของเขาได้อย่างสมบูรณ์และถูกตัดสินโทษในทันที
หลังจากผ่านมานานกว่าครึ่งเดือนอาการบาดเจ็บของอู๋จิ่วก็ดีขึ้นอย่างมากและเขาก็สามารถเดินไปไหนมาไหนได้แล้วอย่างราบรื่น และความนิยมของอู๋จิ่วก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและแทบจะไม่ต้องกังวลใดๆ จึงทำให้เขาได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศเมียนมาร์อย่างสง่าผ่าเผยและเมื่อเห็นการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์เย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยเพราะประเทศเมียนมาร์เป็นสถานที่ที่ดีสำหรับเย่เชียนในการสร้างฐานทัพของเขี้ยวหมาป่าในการเก็บอาวุธยุทโธปกรณ์ในอนาคตและยิ่งไปกว่านั้นทิศทางของการลักลอบขนยาเสพติดในสามเหลี่ยมทองคำยังก็ควบคุมผ่านประเทศเมียนมาร์อีกด้วย ซึ่งเท่ากับว่าการลักลอบขนยาเสพติดส่วนใหญ่ในโลกนั้นตกอยู่ในกำมือของเย่เชียนเป็นที่เรียบร้อยแล้วและโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชียและยุโรปนั้นยาเสพติดเกือบจะทั้งหมดก็มาจากสามเหลี่ยมทองคำ ดังนั้นในตอนถ้าหากเย่เชียนไม่อนุญาตล่ะก็จะไม่มีใครสามารถลักลอบขนยาเสพติดได้อีกต่อไป
แน่นอนว่าสิ่งต่างๆ ยังต้องใช้เวลาอีกสักพักดังนั้นเย่เชียนจึงทิ้งส่วนที่เหลือทั้งหมดให้กับเฟิงหลานจัดการและยังสั่งให้เล้งยี่ระดมพลมาเสริมทัพเพิ่มและจัดหาบุคลากรให้มากขึ้น โดยคราวนี้จะเน้นไปที่การว่าจ้างอดีตสมาชิกหน่วยรบพิเศษต่างๆ หรือผู้ที่ปลดประจำการจากกองทัพในนานาประเทศนั่นเอง
สำหรับนโยบายการยุติระบบกองโจรนั้นเย่เชียนก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลกับเรื่องนี้อีกต่อไปเพราะเหลือแค่ต้องใช้ในการหารือเพียงเท่านั้นและฝากเรื่องต่างๆ เอาไว้กับเฟิงหลานและหลิวเทียนเฉินเพราะเย่เชียนยังคงกังวลเกี่ยวกับไต้หวันอยู่เช่นกันเพราะถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงเกาะเล็กๆ แต่ก็เป็นพื้นที่ที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างมากและภายใต้อิทธิพลและการสนับสนุนของประเทศสหรัฐอเมริกานั้นประเทศที่เป็นเมืองขึ้นก็ย่อมที่จะทำกำไรได้อย่างมากมายมหาศาล
ปล่อยเรื่องต่างๆ ให้คนอื่นจัดการและมุ่งเป้าไปที่ภารกิจที่หูวหนานเจียนมอบให้ต่อ ซึ่งถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่ได้สนใจมากนัก แต่มันก็เป็นโอกาสที่ควรค่าแก่การพยายามเพราะถ้าหากว่าเขาสามารถควบคุมไต้หวันได้อย่างราบรื่นด้วยมือของเขาล่ะก็สิ่งต่างๆ ก็จะง่ายขึ้นมาก
ซึ่งเย่เชียนก็ยังคงกังวลเกี่ยวกับบุคคลที่ลึกลับในประเทศจีนอยู่ดังนั้นเขาจึงต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ประเทศยืนอยู่ข้างเขา เพราะด้วยการสนับสนุนของรัฐนั้นคือจุดแข็งที่สุดเพราะท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีองค์กรใดหรือบุคคลใดที่สามารถเผชิญหน้ากับรัฐบาลทั้งประเทศได้อย่างแน่นอน
สถานการณ์ในประเทศเมียนมาร์ก็มั่นคงแล้วแน่นอนว่าหลังจากนั้นไม่กี่วันเย่เชียนก็บินกลับไปที่ไต้หวัน แต่ทว่าเย่เชียนก็ไม่ได้บอกใครเกี่ยวกับการกลับไปที่ไต้หวันเพราะแม้แต่เฟิงหลานและหลิวเทียนเฉินเย่เชียนก็ยังเก็บความลับเอาไว้ แล้วเหตุใดทำไมเย่เชียนถึงเลือกทำเช่นนี้? นั่นก็เพราะว่าสถานะผู้สังเกตการณ์ที่ไร้ตัวตนของเขานั้นจะทำอะไรได้อย่างอิสระมากกว่าเดิม
สถานการณ์ในไต้หวันนั้นก็ไม่ง่ายอย่างที่คิดเพราะองค์กรยักษ์ใหญ่ทั้งสามก็เพียงพอที่จะทำให้เย่เชียนเหงื่อตกแล้ว เพราะการที่พวกเขารู้ว่าเย่เชียนนั้นเดินทางไปประเทศเมียนมาร์เช่นนั้นโดยปกติแล้วสายและข่าวกรองของพวกเขาก็จะผ่อนคลายกันอย่างมากและสิ่งที่เย่เชียนต้องการก็คือผลลัพธ์นี้และมีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่เย่เชียนจะสามารถทำอะไรได้อย่างอิสระและพวกเขาก็จะไม่สนใจเย่เชียนจึงทำให้เย่เชียนสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะมันจะต้องใช้เวลาสักพักใหญ่ๆ กว่าองค์กรยักษ์ใหญ่ทั้งสามจะหมดระแวงกับสิ่งต่างๆ เพราะท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ต้องรับรู้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในเมืองเซี่ยงไฮ้ของจีนภายใต้น้ำมือของเย่เชียนและโดยธรรมชาติแล้วพวกเขาก็จะคิดว่าเครือน่านฟ้ากรุ๊ปนั้นไม่ใช่องค์กรการค้าธรรมดาๆ อย่างแน่นอน ดังนั้นในฐานะเจ้าถิ่นของไต้หวันอย่างพวกเขาต้องพิจารณาถึงสิ่งเหล่านี้และต้องรู้ถึงวิกฤตที่จะมาเยือนอีกด้วย
ถึงแม้ว่าองค์กรสามมุมเมืองจะเป็นพันธมิตรกับเย่เชียนอยู่ในตอนนี้ก็ตามแต่ถึงยังไงโจวเจิ้งผิงก็ยังคงระแวงเย่เชียนอยู่ แต่ทว่าการกระทำของเย่เชียนในตอนนี้นั้นทำให้โจวเจิ้งผิงไม่รู้สึกว่าเย่เชียนนั้นมีจุดประสงค์เกี่ยวกับเรื่องของโลกใต้ดินในไต้หวันแต่อย่างใด และคิดเพียงว่าเย่เชียนเป็นแค่นักธุรกิจที่ทะเยอทะยานเพียงเท่านั้น และเนื่องจากผลประโยชน์จากพันธมิตรเกี่ยวกับศูนย์ขนส่งโลจิสติกส์นี้ก็ทำให้โจวเจิ้งผิงต้องตกลงกับเครือน่านฟ้ากรุ๊ปไปโดยปริยาย แต่แน่นอนว่าโจวเจิ้งผิงจะไม่ยอมเสียผลประโยชน์ไปโดยไม่มีเหตุผลอย่างแน่นอน
ทางด้านของชิงเฟิงและนากาจิมะชินนะก็กำลังซุ่มติดตามองค์กรทั้งสามอยู่อย่างลับๆ เพราะเนื่องจากเย่เชียนกำลังทำการโครงการใหญ่ๆ จึงทำให้องค์กรทั้งสามระมัดระวังตัวกันอย่างมากและตอนนี้ที่เย่เชียนลือกที่จะทำเช่นนี้เพราะเขานั้นสามารถเคลื่อนไหวได้อิสระขึ้นในการจัดการกับองค์กรยักษ์ใหญ่ทั้งสามนั่นเอง
เย่เชียนนั้นก็เชื่อว่าการที่องค์กรสามมุมเมืองสามารถได้รับประโยชน์จากเครือน่านฟ้ากรุ๊ปได้มากเช่นนี้นั้นก็ทำให้องค์กรซูเหลียนและองค์กรเทียนเต๋านั้นไม่เต็มใจอย่างแน่นอน ซึ่งในขณะนี้ทั้งชิงเฟิงและนักฆ่าหน่วยกรงเล็บหมาป่าที่อยู่ภายใต้นากาจิมะชินนะนั้นเย่เชียนก็เชื่อว่าความขัดแย้งของทั้งสามองค์กรจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และไม่นานพันธมิตรชั่วคราวระหว่างสามองค์กรนี้ก็จะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ และเมื่อพวกเขาเริ่มทำสงครามกันแล้วเย่เชียนก็จะสามารถยึดครองดินแดนของพวกเขาได้อย่างราบรื่นนั่นเอง
นี่คือเคล็ดลับในการล่องูออกจากถ้ำเพราะเย่เชียนได้วางแผนเอาไว้แล้วเมื่อเขาก้าวเข้ามาเหยียบในไต้หวันตั้งแต่ครั้งแรก และเหตุผลในการเลือกทั้งองค์กรสามมุมเมืองมาเป็นพันธมิตรนั้นก็เพราะว่าพวกขามีอำนาจมากที่สุดในเมืองไทเปแห่งนี้ และไม่แยแสองค์กรซูเหลียนและองค์กรเทียนเต๋านั่นก็เพราะว่ากันไม่ให้องค์กรสามมุมเมืองสงสัยในตัวเขานั่นเอง และข้อเท็จจริงก็ได้พิสูจน์แล้วว่าแนวทางของเย่เชียนนั้นถูกต้องเพราะถ้าหากเย่เชียนเลือกองค์กรซูเหลียนหรือองค์กรเทียนเต๋าแทนที่จะเป็นองค์กรสามมุมเมืองล่ะก็เย่เชียนก็จะไม่สามารถทำสิ่งต่างๆ ให้มาถึงจุดนี้ได้อย่างแน่นอน
เนื่องจากร่วมมือกับองค์กรสามมุมเมืองนั้นจึงทำให้องค์กรซูเหลียนและองค์กรเทียนเต๋าไม่สามารถเข้ามาแทรกแซงได้และสิ่งนี้ก็สามารถทำให้มั่นใจได้ว่าการดำเนินการตามแผนของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปนั้นจะเป็นไปได้อย่างราบรื่นและเพื่อกระตุ้นความขัดแย้งของพวกเขาได้และหลังจากนั้นพวกเขาก็จะทำสงครามกันนั่นเอง
หลังจากลงจากเครื่องบินแล้วเย่เชียนก็เดินออกมาจากสนามบินแต่เขาก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าโทรศัพท์มือถือและกระเป๋าสตางค์ของเขาหายไปอย่างน่าเศร้าและหลังจากครุ่นคิดอย่างรอบคอบแล้วมันอาจจะตกอยู่ที่ไหนสักแห่งในประเทศเมียนมาร์แน่ ๆ เพราะรอบๆ สนามบินคงจะไม่มีมิจฉาชีพและนักล้วงกระเป๋าอย่างแน่นอน
เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและเดินออกไปนอกสนามบินอย่างหดหู่และในทันใดนั้นร่างคนร่างหนึ่งก็โผล่ออกมาจากด้านข้างของเขาและเกือบจะวิ่งชนเย่เชียนและก่อนที่เย่เชียนจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นจู่ๆ ก็มีเสียงดังมาจากด้านหลังว่า “จับขโมยที..มันเป็นขโมย!”
เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะกระตือรือร้นขึ้นมาและเขาก็ไล่ตามขโมยคนนั้นไปอย่างรวดเร็ว เพราะปรากฏว่าเขาเจอคนล้วงกระเป๋าที่สนามบินดังนั้นเย่เชียนก็ไม่รู้ว่าเงินและโทรศัพท์ของเขาถูกขโมยคนนี้ขโมยไปหรือเปล่าดังนั้นเขาจึงรีบตามไปอย่างทันที ซึ่งมันอาจจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ และผู้หญิงที่อยู่ข้างหลังเขาก็ไล่วิ่งไล่ตามมาด้วยซึ่งน่าจะเป็นคนที่ถูกขโมยอะไรบางอย่างไปเช่นกัน
ความเร็วในการวิ่งของขโมยคนนั้นก็แทบจะเทียบได้กับนักวิ่งโอลิมปิกเลย แต่โชคดีที่เย่เชียนนั้นออกกำลังกายเป็นประจำไม่เช่นนั้นเขาก็คงจะไล่ตามไปไม่ทันอย่างแน่นอน ซึ่งเย่เชียนก็ถึงกับต้องถอนหายใจเพราะขนาดเขาเองก็ยังวิ่งไล่ไปแทบจะไม่ทันพลางคิดว่าประเทศจีนนี้มีคนที่มีพรสวรรค์ในทุกที่และถ้าหากเด็กคนนี้ถูกฝึกซ้อมอย่างเป็นทางการล่ะก็เขาคาดว่าประเทศจีนก็คงจะไม่มีปัญหาในการคว้าเหรียญในโอลิมปิกเลย
ขโมยคนนั้นก็ไม่ได้หันกลับมามองแต่อย่างใดเขาเพียงแค่ตั้งใจวิ่งหนีไปอย่างใจจดใจจ่อและวิ่งผ่านรถที่สันจรไปมาอย่างรวดเร็วซึ่งโดยธรรมชาติแล้วเย่เชียนก็ไม่ได้คิดที่จะหยุดเช่นกันเขาจึงวิ่งไล่ล่าต่ออย่างกระตือรือร้นและเมื่อเย่เชียนวิ่งมาถึงข้างๆ รถ BMW จู่ๆ ประตูรถ BMW ก็เปิดออกอย่างกะทันหัน “เฮ้ย..เดี๋ยว!” เย่เชียนตะโกนออกมาแต่ทว่ามันก็สายเกินไปเสียแล้วที่จะหยุดเพราะภายใต้ความเร็วในการวิ่งเต็มที่ของเย่เชียนนั้นก็ทำให้ร่างของเขาเข้ามาใกล้กับประตูรถแล้วและเขาก็กระแทกเข้าไปอย่างแรงจนทำให้เขาเห็นดวงดาวนับไม่ถ้วนก็กะพริบอยู่ในดวงตาของเขาและเย่เชียนก็ล้มลงพื้นไป
เย่เชียนหลังจากที่เย่เชียนตั้งสติได้เขาก็เห็นต้นขาเรียวค่อยๆ ก้าวออกมาจากรถอย่างสง่างามจนเย่เชียนอดไม่ได้ที่จะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นไปมองและเขาก็ต้องตกตะลึงในทันทีและรู้สึกได้ว่าเลือดในร่างกายเดือดพล่านจนเลือดกำเดาแทบจะพุ่งออกมา หลังจากนั้นเขาก็เห็นใบหน้าที่ไร้ที่ติและงดงามอย่างมากปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาและดวงตากลมโตคู่หนึ่งก็เป็นประกายและมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสผสมกับความสะใจบนใบหน้าของเธอ ซึ่งทำให้เย่เชียนมั่นใจได้แล้วว่าผู้หญิงคนนี้จงใจเปิดประตูรถใส่เขานั่นเอง
ในเวลานี้หญิงสาวคนที่ถูกขโมยอะไรบางอย่างไปก็วิ่งเข้ามาด้วยอาการเหนื่อยหอบอย่างหนักและเธอก็จ้องมองไปที่เย่เชียนที่นอนอยู่บนพื้นและเธอก็พูดว่า “นี่นายยังหนุ่มยังแน่นอยู่เลยนะแล้วทำไมถึงได้มาเป็นขโมยกันล่ะเนี่ย! ..รีบคืนของของฉันมาให้ฉันเดี๋ยวนี้เลย!”
“โถ่ป้า..นี่ป้าตาบอดรึเปล่าเนี่ย..ผมเหมือนขโมยขนาดนั้นเลยหรอ..ผมกำลังช่วยคุณวิ่งไล่ตามขโมยอยู่เนี่ย” เย่เชียนพูดด้วยความหดหู่ใจ
“ป้าหรอ? ..ใครป้า? ..ใครเป็นป้านาย?” หญิงสาวร้องเสียงหลงขณะที่เธอก้มเหนื่อยหอบอยู่จนหน้าอกของเธอเผยออกมาให้เห็น
“ก็ได้ๆ ..เอาล่ะ..นี่ตกลงว่าคุณไม่เห็นหรอว่าผมกำลังช่วยคุณวิ่งไล่จับขโมยน่ะ..แล้วทำไมคุณถึงโทษว่าผมเป็นขโมยล่ะ?” เย่เชียนพูดด้วยใบหน้าที่โศกเศร้า
“นายมันหน้าด้าน..นายมันไม่ใช่ผู้ชาย..ครอบครัวไม่สั่งไม่สอนบ้างเหรอ!” หญิงสาวคนนั้นตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยว
ทันใดนั้นสีหน้าของเย่เชียนก็มืดมนลงเพราะถ้าหากด่าเขาล่ะก็เขาก็จะไม่ว่าแต่นี่เธอกลับด่าของครัวของเขาเย่เชียนจึงจ้องมองไปที่หญิงสาวคนนั้นอย่างเย็นชาและพูดว่า “คุณด่าคนเป็นอย่างเดียวเหรอ? ..ทำอย่างอื่นไม่เป็นแล้วรึไง?”
หญิงสาวคนนั้นก็จ้องไปที่ดวงตาของเย่เชียนและเธอก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นและเธอก็พูดอย่างตะกุกตะกักว่า “ทำไม? ..อะไรกัน? ..นายคิดว่าฉันจะกลัวนายเหรอ..รีบๆ คืนกระเป๋าของฉันมาซะ..แล้วฉันจะลืมมันไป..ไม่งั้นฉันจะโทรแจ้งตำรวจเดี๋ยวนี้แหละ
“นายดูดีมากแล้วทำไมถึงมาเป็นขโมยกันล่ะ..ฉันละอายใจกับนายจริงๆ” หญิงสาวคนขับรถ BMW จ้องมองไปที่แย่เชียนและพูดอย่างเย้ยหยัน
.
.
.
.
.
.
.