“นั่งลง!” อาจารย์ฉินหยูเห็นใบหน้าของเย่เชียนที่ดูว้าวุ่นใจอีกครั้งและเธอก็บอกให้เขานั่ง
เย่เชียนไม่เชื่อว่าเงินเดือนและสวัสดิการของอาชีพครูบาอาจารย์จะดีขนาดนี้ ถึงแม้ว่าจะเห็นได้ชัดว่าดีกว่าที่เขาเคยทราบมา แต่ก็ไม่น่าเป็นไปได้อย่างมากที่อาจารย์ธรรมดาจะมีห้องทำงานส่วนตัว เย่เชียนจึงเดาว่าผู้หญิงคนนี้ต้องมาจากตระกูลที่มีอิทธิพลอย่างแน่นอนไม่เช่นนั้นแล้วเธอจะได้รับผลประโยชน์เช่นนี้ได้อย่างไร? เมื่อเขาได้ยินเสียงของฉินหยูแล้วเย่เชียนก็กลับมาสงบสติอารมณ์และนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของเธอ
“เย่เชียนฉันอยากให้เธอเข้าใจว่าฉันไม่สนใจว่าเธอจะมีความสัมพันธ์อะไรกับผู้อำนวยการหวาง..เนื่องจากเธออยู่ในคลาสเรียนของฉันเธอก็ต้องปฏิบัติตามกฎของฉัน” ฉินหยูพูดอย่างจริงจัง
เย่เชียนตกใจเล็กน้อยเพราะเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดๆกับผอ.คางคกนั่นเลย เขาครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่พักหนึ่งและอยากจะอธิบายว่าเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดๆกับผอ.คางคก แต่หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่นึงเขาก็คิดว่ามันคงไร้ประโยชน์ถ้าจะอธิบายไป เขาได้แต่พยักหน้าด้วยความมุ่งมั่นและตอบว่า “ผมเข้าใจแล้ว ตราบใดที่ผมข้างกายของคุณ ผมก็จะปฏิบัติตามกฎของคุณ”
ฉินหยูไม่สามารถช่วยได้เธอพูดไม่ออกเพราะคำพูดของเย่เชียนฟังดูเหมือนว่าเขาคุ้นเคยกับการพูดคุยกันในหมู่พวกนักเลงอันพาล คำว่า ‘ข้างกายของคุณ’ ตอนนี้เธอก็คิดได้แล้วว่าเด็กคนนี้อาจเป็นพวกนักเลงจริงๆและเคยเป็นพวกโดดเรียนหนีออกจากบ้านจากพูดคำเหล่านี้จึงไม่แปลกสำหรับเขา
จากนั้นฉินหยูก็พูดว่า “ตอนนี้เธอเป็นนักศึกษาแล้วเธอต้องดูเหมือนนักศึกษาสิ ดูสิว่าเธอแต่งตัวอย่างไรในตอนนี้..มันไม่เหมาะสมเลย”
เย่เชียนก้มมองลงไปที่เสื้อผ้าของเขา เขาเพิ่งมาจากต่างประเทศและไม่มีเวลาไปซื้อเสื้อผ้าใหม่จริงๆ นอกเหนือจากชุดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองชุดแล้วเขาก็มีเพียงแค่ชุดนี้ที่เป็นเสื้อยืดและกางเกงสีดำของหน่วยรบพิเศษและรองเท้าบู๊ตคอมแบทที่ดูเก่าและสีซีดจาง เขาจึงพูดอย่างน่าเวทนาว่า “อ้อ..ผมมีเพียงแค่ชุดนี้ชุดเดียว”
“เธอใส่ชุดนี้ตลอดทั้งปีเลยเหรอ?” ฉินหยูถามด้วยความประหลาดใจ เธอเป็นผู้หญิงที่ชอบความสะอาดและเธอก็ไม่กล้าที่จะสวมใส่เสื้อผ้าชุดเดียวกันเลยแม้แต่วันเดียว และไม่ต้องพูดถึงการสวมใส่เสื้อผ้าชุดเดียวกันตลอดทั้งปีเลย
“อ๋อ..ไม่ๆ..ผมเพิ่งจะมาจากต่างประเทศน่ะ และผมรีบมากเกินไปจนไม่ได้เอาพวกเสื้อผ้าติดมาด้วย..และผมก็ยังไม่มีเวลาไปหาซื้อใหม่เลยต้องทนกับเรื่องนี้ไปก่อน” เย่เชียนตอบกลับด้วยสายตาที่ดูน่าสงสารอย่างยิ่ง
“เธอเคยไปต่างประเทศมาแล้วหรือ? ไปประเทศไหนมา” ฉินหยูถามอย่างตื่นเต้นเล็กน้อย
“ประเทศทางตะวันออกกลางน่ะ” เย่เชียนตอบกลับง่ายๆ
“ตะวันออกกลาง? เธอไปทำอะไรที่นั่น? ไปศึกษาเหรอ?” ฉินหยูถามด้วยความประหลาดใจ เธอได้ยินมาว่าสถานที่นั้นกำลังอยู่ในสภาวะสงคราม ในตอนแรกเธอคิดว่าเย่เชียนจะบอกว่าเขามาจากประเทศอังกฤษหรือไม่ก็สหรัฐอเมริกาเสียอีก เธอไม่ได้คาดหวังเอาไว้เลยว่าเย่เชียนจะพูดว่าตะวันออกกลาง
เย่เชียนหัวเราะและพูดว่า “ที่นั่นมันค่อนข้างยุ่งเหยิงน่ะ..มันจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะหาเงิน”
ฉินหยูจ้องมองเย่เชียนอย่างสับสนงงงวยเธอรู้สึกว่ายิ่งมองและยิ่งรู้มากเท่าไหร่เธอก็ยิ่งสับสนและเอ่ยปากถามว่า “เธอมีงานทำแล้วเหรอ? แล้วอะไรทำให้เธอตัดสินใจย้ายมาเรียนที่นี่ล่ะ” ฉินหยูถามอย่างสงสัย
เย่เฉียนลุกขึ้นอย่างสบาย ๆ และเดินไปที่หน้าต่างมองออกไปข้างนอก เขาไม่ได้พูดมาเป็นเวลานานเกี่ยวกับความเป็นมาของเขาและเขาก็ได้เรียนรู้วิธีพูดกับผู้คนต่างๆนาๆ และเขารู้ดีว่าการพูดตัดพ้อและชีวิตความเป็นอยู่ที่น่ารนทดอดสูนั้นเป็นอาวุธที่ดีสำหรับผู้หญิงนั้น เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่และพูดว่า “ผมเป็นเด็กกำพร้ามาตั้งแต่ผมยังเด็กผมไม่เคยเห็นหน้าพ่อแม่เลย ผมทำได้แค่ขอทานตามถนนนอนใต้สะพานและอดมื้อกินมื้อ และต่อมาผมก็ได้รับการเลี้ยงดูจากผู้ที่มีจิตใจเมตตานั่นก็คือตอนที่ผมมีสิ่งที่เรียกว่าครอบครัวเป็นครั้งแรก ชายชราที่รับอุปถัมภ์ผมมานั้นไม่ได้ร่ำรวยแต่อย่างใดท่านก็เป็นแค่คนเก็บขยะเท่านั้นผมจึงไม่มีเงินไปศึกษาเล่าเรียนเหมือนใครเขา ถ้าไม่ใช่เพราะท่านผมก็คงจะต้องตายเพราะความหิวโหยไปนานแล้ว ถึงแม้ว่าท่านจะยากจนแต่ท่านก็ให้ความอบอุ่นที่เหมือนบ้าน และแปดปีที่ผ่านมาที่ผมออกจากบ้านผมก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรมากเลย แต่อย่างน้อยๆผมก็ไม่หิวโหยหรือหนาวเหน็บอีกต่อไป ดังนั้นผมจึงตัดสินใจที่จะชดเชยเวลาที่ขาดหายไปในชีวิตของผม การมาเรียนที่มหาวิทยาลัยมันเป็นความฝันอย่างหนึ่งของผม ผมเคยคิดว่าถ้าผมสามารถได้เรียนที่นี่ได้ผมก็จะไม่เสียใจเลย!..”
เย่เชียนไม่ได้โกหกฉินหยูเพราะคำเหล่านี้มาจากใจของเขาจากชีวิตของเขาจริงๆ เขาไม่จำเป็นต้องโกหกเลย เขาไม่คิดว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่น่าละอายใจเลย
หลังจากที่ฉินหยูได้ยินคำพูดของเขาเธอก็ตกอยู่ในภวังค์เล็กน้อย ผู้หญิงอย่างเธอจะจินตนาการถึงชีวิตความเป็นอยู่เช่นนั้นได้อย่างไร เธอเป็นลูกสาวของครอบครัวที่มีฐานะมาตั้งแต่เธอเกิดมา เธอนึกไม่ออกเลยว่าชีวิตเด็กขอทานข้างถนนเป็นอย่างไร เธอไม่คาดคิดเลยว่าชีวิตของเย่เชียนจะมีเรื่องราวเช่นนี้ เธอจ้องมองแผ่นหลังของเขาขณะที่เขายืนมองออกไปนอกหน้าต่าง เธอจึงคิดกับตัวเองว่า “บางทีเขาอาจไม่อยากให้ฉันรู้ว่าเขามีภูมิหลังที่น่าอับอายเช่นไร” ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าเย่เชียนต้องลำบากมากแค่ไหน แต่เธอก็คิดว่าเส้นทางของเขานั้นมีแต่ขวากหนามไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบแต่อย่างใด ท้ายที่สุดแล้วมันต้องยากมากสำหรับคนที่ไม่มีอะไรเลยและไม่มีในสังคมไม่มีคนหนุนหลังไม่มีคนสนับสนุนล้วนแล้วแต่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย เธอจึงมองไปที่ชายหนุ่มผู้เปล่งประกายที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้ใหญ่ในรูปของชายหนุ่ม ฉินหยูอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหลงทางและหวั่นไหวและเธอก็คิดว่า ‘เขาต้องผ่านเรื่องราวมามากมาย’
เย่เชียนเพิ่งที่พึ่งจะเล่าเรื่องราวอันน่าเศร้าไปเขาก็หันกลับมาแล้วพูดว่า “ผมขอโทษนะ..ที่ผมพูดอะไรไปเรื่อยเปื่อยน่ะ”
ฉินหยูส่ายหัวและตอบว่า “เนื่องจากตอนนี้เธอมีโอกาสนี้แล้ว..ฉันก็หวังว่าเธอจะรักษามันไว้ได้ในชีวิตมหาวิทยาลัยนี้..ฉันคิดว่าเธอคงไม่อยากเสียเวลาไปเปล่าๆหรอกใช่มั้ย”
เย่เชียนยิ้มอ่อนๆและตอบว่า “ขอบคุณ..ผมขอบอกตามตรงเลยนะว่าผมอาจจะอยู่ที่นี่ได้ไม่นานนัก ผมอยู่ที่นี่เพราะมันเป็นความฝันของผมมานานแล้ว แต่ท้ายที่สุดแล้วผมก็ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำภาระนั้นๆข้างนอก ผมไม่มีเวลามากพอสำหรับเรื่องนี้เลย” เย่เชียนรู้ดีว่ามันแปลกมากที่เขาจะพูดแบบนี้กับคนแปลกหน้า บางทีมันอาจจะเป็นอย่างที่เขาพูดไว้ก่อนหน้านี้ก็ได้ว่า เขารู้สึกราวกับว่าเขาและฉินหยูเคยพบกันมาก่อนหน้านี้ นี่อาจจะเป็นสิ่งที่ผู้คนเรียกกันว่าโชคชะตาก็เป็นได้
เมื่อเธอได้ยินเย่เชียนพูดว่าเขาอาจจะอยู่ที่นี่ได้ไม่นานนัก ฉินหยูก็รู้สึกไม่ดีและไม่เต็มใจกับคำนั้นแต่เพียงชั่วครู่ฉินหยูก็ขจัดความรู้สึกนั้นๆออกไปและพูดว่า “ในเมื่อเธอตัดสินใจด้วยตัวเองฉันก็จะไม่รั้งเธอ”
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดอยู่นั้นจู่ๆประตูก็ถูกเปิดออก โดยชายหนุ่มคนที่กำลังหนึ่งถือดอกไม้เข้ามาในห้อง เมื่อเขาเห็นฉินหยูมีรอยยิ้มเผยให้เห็นบนใบหน้าของเธอและชายหนุ่มก็พูดขึ้นมาว่า “หยูหยู่ไม่มีสอนแล้วหรือ? ฉันจองโต๊ะเอาไว้แล้ววันนี้..คุณจะให้เกียรติไปทานข้าวกับฉันได้ไหม”
ฉินหยูขมวดคิ้วของเธอและมองชายคนนั้นอย่างรังเกียจและตอบอย่างเย็นชาว่า “เหว่ยเฉิงหลง!..คุณไม่มีมารยาทเหรอ? คุณไม่รู้จักเคาะประตูหรือไง? และนอกจากนี้ก็เรียกฉันด้วยชื่อเต็มของฉันด้วย..เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น!”
เหว่ยเฉิงหลง เสียหน้าเล็กน้อยจากนั้นก็ฟื้นคืนสติอย่างรวดเร็วและยิ้มตอบว่า “เอาล่ะฉันจะเรียกคุณว่าฉินหยู..ดีพอหรือยัง? ฉินหยู..ฉันจองร้านอาหารเอาไว้เรียบร้อยแล้วและรถก็กำลังจอดรออยู่ชั้นล่างคุณจะให้เกียรติฉันไหม?”
.
.
.
.
.
.
.