หลินโรวโร่วเผยให้เห็นใบหน้าที่มีความสุขและพูดว่า “ใครเป็นภรรยาของคุณฉันยังไม่ได้สัญญาว่าจะแต่งงานกับคุณเลย”
“หัวใจของคุณเปลี่ยนไปแล้วหรือ?. เย่เชียนพูดด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยและพูดต่ออีกว่า “มันทำร้ายหัวใจที่เปราะบางของผมมาก”
“มันไม่ได้ร้ายแรงอะไรเลย คุณคิดไปเองและฉันจะไม่แต่งด้วยหรอก” หลินโรวโร่วทำให้เย่เชียนนตกตะลึงเล็กน้อย
เย่เชียนยิ้มและพูดว่า “จะทำอย่างนั้นได้อย่างไรหัวใจของผมเป็นของคุณแล้ว ให้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็นพยาน เย่เชียนจะไม่แต่งงานกับใครอีกแล้ว”
ระหว่างที่พวกเขาทั้งสองคุยกันพวกเขาก็เห็นชายหนุ่มสี่คนเดินมาหาพวกเขา และพวกเขาคือหลี่ตงซึ่งเดินนำมาพวกเขาเหล่านั้นที่ถูกเย่เชียนสั่งสอนวิถีแห่งลูกผู้ชายให้ถึงสองครั้ง เมื่อเย่เชียนเห็นพวกเขาเย่เชียนก็ยิ้มเล็กน้อยดูเหมือนว่าพวกนั้นกำลังมาส่งเงินให้เขา “พี่เย่!” เมื่อพวกเขามาถึงด้านหน้าของเย่เชียนหลี่ตงก็พูดอย่างสุภาพ
เย่เชียนพยักหน้าและหันไปหาพ่อและพูดว่า “พ่อกับเสี่ยวเซว่รอผมอยู่ที่รถก่อนนะผมจะไปคุยกับเพื่อนของผมสักครู่”
พ่อมองไปที่หลี่ตงและเห็นคนอีกสองสามคนและเห็นว่าพวกเขาถึงจะไม่ได้แต่งตัวดีแต่ก็เคารพและสุภาพกับเย่เชียนมาก เมื่อเห็นแบบนี้ท่านก็พยักหน้าและท่านกับฮันเซว่ก็เข้าไปในรถ เย่เชียนมองไปที่หลี่ตงและเดินไปข้างๆโรงพยาบาลจากนั้นหลี่ตงและคนอื่นๆรีบตามไป
“พี่เย่..เราเตรียมเงินที่คุณต้องการมาแล้วนี่ประมาณสองหมื่นหยวนฉันไม่รู้ว่ามันเพียงพอหรือไม่” หลี่ตงส่งซองเงินที่ห่อด้วยกระดาษน้ำตาลอย่างสุภาพ
เย่เชียนหยิบมันขึ้นมาโดยไม่ได้มองและดึงเงินออกมาไม่กี่ใบจากนั้นเขาส่งมันกลับไปให้หลี่ตงพร้อมพูดว่า “เอาเงินนี้ไปดื่มกินกับพี่น้องของนายคิดซะว่าเป็นค่ารักษาจากฉันก็แล้วกัน อะไรที่มันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านพ้นไปและมาเป็นเพื่อนกันดีกว่า!”
หลี่ตงค่อนข้างมีความสุข แต่เขาก็ตกตะลึงอย่างมากเมื่อคิดว่าเงินนี่มันน้อยเกินไปหรือเปล่า? มีใครที่ไหนบ้างที่จะเอาเงินไปมอบให้กับผู้ที่อ่อนแอกว่า เขาสงสัยอย่างมากจึงเอ่ยปากถามว่า “คุณเย่มันไม่น้อยเกินไปใช่หรือไม่..อย่าเพิ่งกังวลไปเดี๋ยวพวกฉันจะรีบไปหาให้เพิ่ม!” เขารีบเปลี่ยนคำเรียกเย่เชียนจากพี่เป็นคุณด้วยความหวั่นเกรง
เย่เชียนยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า “ฉันจะให้นาย นายก็รับมันไว้เถอะ ฉันต้องการความช่วยเหลือจากพวกนายน่ะ..ไม่รู้ว่าพวกนายจะเต็มใจหรือเปล่า!”
ตอนนี้หลี่ตงเห็นว่าเย่เชียนเป็นคนที่ใจกว้างและจริงใจอย่างแท้จริงเขาจึงรับเงินและรีบพูดว่า “คุณเย่..ถ้าคุณต้องการอะไรขอแค่คุณพูดมา..ตราบใดที่หลี่ตงคนนี้สามารถทำให้ได้ไม่ว่าจะบุกน้ำหรือลุยไฟผมก็จะทำมัน!”
“มันไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้น..ฉันแค่อยากจะขอยืมรถนายอีกสักวันน่ะเพราะวันนี้พ่อของฉันเพิ่งจะออกจากโรงพยาบาลและมีกระเป๋าเยอะมาก เลยไม่สะดวกที่จะกลับโดยรถประจำทางน่ะ”
หลี่ตงก็คิดว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่เสียอีก มันกลับกลายเป็นสิ่งเล็กน้อยแน่นอนว่าเขาไม่ลังเลที่จะตอบตกลง เขาพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก “ได้เลยถ้าคุณเย่ต้องการก็เอามันไว้ใช้ก่อนเลย!”
“ไม่ๆ..นายสามารถไปเอามันได้ที่หน้าบ้านของฉันพรุ่งนี้ช่วงบ่ายๆ” เย่เชียนพูดเสร็จก็หันหลังเดินกลับไปที่รถ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็หยุดและหันไปพูดว่า “ถ้านายไม่รังเกียจก็เรียกชื่อฉันก็ได้ ในบ้านฉันเป็นพี่คนรองน่ะพวกนายเรียกฉันพี่สองก็ได้”
“ได้ได้..นายน้อยที่สอง เดินทางปลอดภัยครับ!” หลี่ตงพูดอย่างตื่นเต้นเล็กน้อย หลังจากคลุกคลีอยู่บนท้องถนนเป็นเวลานาน หลี่ตงก็ไม่ได้โง่และไม่ได้ตาบอดเขาได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นที่บาร์ในคืนนั้น มิหนำซ้ำเย่เชียนก็มีพวกพ้องอย่างหวังหูด้วย ดังนั้นหลี่ตงก็เดาเอาในใจว่า เย่เชียนไม่ใช่คนธรรมดาๆอย่างแน่นอน ที่เป็นแค่ยามรักษาความปลอดภัยธรรมดาๆมันก็แค่ชั่วคราว เขาเชื่อว่าเย่เชียนจะโบยบินทยานขึ้นสู่ฟ้าไม่ช้าก็เร็วในสักวันหนึ่งเขาอยากเห็นกับตาตัวเองสักครั้ง สำหรับการกระทำและการแสดงออกของเย่เชียนนั้น หลี่ตงรู้สึกมีความสุขอย่างเป็นธรรมชาติมาก และตราบใดที่เขาเดินบนเส้นทางของเย่เชียนแล้วมันจะก่อให้เกิดประโยชน์มากมายสำหรับตัวเขาเอง
“นายน้อยที่สอง?” เย่เชียนพึมพำกับตัวเองเพราะชื่อนี้เขาไม่เคยได้ยินมันมานานมากแล้ว ดูเหมือนว่าแปดปีที่แล้วตอนที่เย่เชียนมีกลุ่มแก๊งอยู่บนท้องถนนน้องๆบางคนเรียกเขาด้วยชื่อนี้ ในความเป็นจริงแล้วเย่เชียนเห็นว่าหลี่ตงไม่ใช่คนทรยศและหลี่ตงก็คลุกคลีอยู่ในเมืองเซี่ยงไฮ้มานานแล้วเขาจึงคิดว่าหลี่ตงจะช่วยเขาได้มากแค่ไหนในอนาคต จะเป็นการดีกว่าที่จะมีเพื่อนเพิ่มมาคนหนึ่ง ดีกว่าเพิ่มศัตรูมาคนหนึ่ง ดังนั้นเย่เชียนจึงแสดงให้เขาเห็นว่าเย่เชียนนั้นใจกว้างมากแค่ไหนและหลังจากดูท่าทางของหลี่ตงแล้วเย่เฉียนพยักหน้าด้วยความพึงพอใจอย่างมาก
หลังจากรับประทานอาหารกลางวันกับพ่อและฮันเซว่ที่ร้านอาหารด้านนอกโรงพยาบาลเสร็จ เย่เชียนก็ส่งพวกเขากลับบ้าน ในตอนแรกพ่อยังไม่เต็มใจโดยบอกว่าการไปร้านอาหารนั้นสิ้นเปลืองเกินไปมันต้องใช้เงินเยอะ แต่ท่านไม่อาจปฏิเสธความปรารถนาดีของเย่เชียนได้ นอกจากนี้เย่เชียนก็ใช้เหตุผลว่าเป็นการเฉลิมฉลองการออกจากโรงพยาบาลของพ่อ ความฟุ่มเฟือยนี้ไม่ใช่ปัญหาใดๆเลย
ในตอนบ่ายเย่เชียนไม่ได้ไปมหาวิทยาลัย แต่อย่างไรก็ตามเขาขออาจารย์ฉินหยูลาครึ่งวันแล้วและไม่จำเป็นที่จะต้องไป เขาอยู่พูดคุยกับพ่อของเขาอยู่พักหนึ่ง ส่วนฮันเซว่กำลังจะสอบดังนั้นเธอจึงไปที่ห้องของเธอเพื่อทบทวนบทเรียน เนื่องจากเธอต้องอยู่ดูแลพ่อที่อยู่ในโรงพยาบาล ฮันเซว่จึงมีเวลาทบทวนบทเรียนไม่มากนักดังนั้นเธอจึงพยายามอย่างหนักเพื่อชดเชยเวลาที่เธอใช้ไป
จนเวลาห้าโมงเย็น เย่เชียนบอกลาพ่อและรีบตรงไปยังมหาวิทยาลัย พ่อก็ไม่ได้ถามอะไรมากได้แต่บอกว่าให้กลับบ้านเร็วๆ
เขาเรียกแท๊กซี่เพื่อเดินทางและไม่นานก็ถึงมหาวิทยาลัยเขาก็ไปที่ประตูทางเข้ามหาวิทยาลัยและหลังจากลงจากรถแล้วเย่เชียนก็เห็นเด็กวัยรุ่นเดินเข้ามาหาเขาด้วยรอยยิ้มที่แสนเจ้าเล่ห์ หลังจากมองดูรูปลักษณ์ของเด็กคนนั้นอย่างถี่ถ้วนแล้วเย่เฉียนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะและตะโกนว่า “เฮ้ย..นี่มันไม่เร็วเกินไปเหรอ?”
เด็กหนุ่มคนนั้นเดินไปหาเย่เชียนด้วยรอยยิ้มและพูดว่า “บอส..ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
“อย่าบอกนะว่า..นายแอบสอดแนมฉัน?” เย่เชียนถามด้วยความสงสัย
“ผมจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร..ผมแค่คอยอารักขาบอสอย่างลับๆ..บอสเป็นถึงหัวหน้าของหน่วยเขี้ยวหมาป่าของพวกเรา..จะให้พวกเราผ่อนคลายและปล่อยให้บอสกลับมายังประเทศจีนตามลำพังได้อย่างไร” เด็กหนุ่มพูดด้วยรอยยิ้มที่จริงใจ
“โถ่เอ้ย!” เย่เชียนส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ ดูเหมือนว่าเขาจะผ่อนคลายเกินไปในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เขาไม่ได้สังเกตุด้วยซ้ำว่าเขาถูกจับตามองมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โชคดีที่เป็นเพื่อนร่วมทีมของเขาถ้าหากเป็นศัตรูล่ะก็เขาคงเสียใจไปนานแล้ว
“นายรู้ได้อย่างไรว่าฉันมาที่ประเทศจีน? ฉันจำได้ว่าฉันเพิ่งจะแจ้งตำแหน่งของฉันไปหนิ” เย่เชียนงุนงงเล็กน้อย เขาจำได้อย่างชัดเจนว่าเขาเพิ่งจะระบุตำแหน่งของเขาในประเทศจีนให้หน่วยเขี้ยมหมาป่าทราบเมื่อไม่นานมานี้เอง
“บอส..บอสกำลังตกอยู่ในเมืองที่อ่อนโยนและบอสก็ผ่อนคลายกับบ้านเกิดของบอสมากเกินไป บอสลืมไปได้อย่างไร?” สิ่งที่เด็กหนุ่มพูดดูราวกับว่าเขากำลังตบหน้าเย่เชียนเพื่อเรียกสติของเย่เชียน
“บัดซบเอ้ย..ฉันผ่อนคลายและชะล่าใจเกินไป!” เย่เชียนเหลือบมองเขาและถามอีกว่า “เอาล่ะ..นายรู้ได้อย่างไรว่าฉันอยู่ที่ประเทศจีน”
“โถ่บอส..บอสลืมโทรศัพท์ของพวกเราไปแล้วหรือ?..ทุกเครื่องของหน่วยเราติดตั้งระบบ GPS ที่ระบุตำแหน่งได้ทั่วโลก..แล้วพวกเราจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าบอสอยู่ที่ไหน” เด็กหนุ่มพูดอย่างกระวนกระวาย
.
.
.
.
.
.
.