หลังจากที่หลี่เหว่ยยี่เตือนสติเย่เชียน เขาก็นึกขึ้นได้ว่าโทรศัพท์มือถือของสมาชิกในทีมแต่ละคนจะมีระบบระบุตำแหน่งดาวเทียม GPS ทั่วโลกและติดตั้งซอฟต์แวร์พิเศษเอาไว้ด้วย เช่นโทรได้ทั่วโลกโดยไม่เสียเงิน เมื่อพูดถึงหน่วยเขี้ยวหมาป่าแล้วสำหรับโลกภายนอกมักคิดว่าพวกเขาล้วนเป็นแค่กลุ่มทหารรับจ้างธรรมดาๆที่มีฝีมือทางการทหารเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วทีมของพวกเขานั้นล้วนแล้วเป็นคนที่มีความสามารถทั้งวิทยาการและเทคโนโลยีล้ำยุคต่างๆพวกเขาก็เพรียบพร้อมอย่างยิ่ง เช่นสโนว์วูล์ฟแจ็คที่ติดตั้งระบบและซอฟต์แวร์ให้โทรศัพท์มือถือของพวกเขา เขาคืออัจฉริยะทางคอมพิวเตอร์อย่างแท้จริง และแม้แต่คอมพิวเตอร์เซิฟเวอร์ของ FBI และ CIA ก็ถูกเขาแฮ็กและแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญจากทางการก็หาไม่ได้ว่าใครเป็นคนทำ
เย่เชียนยิ้มแหยงๆและพูดว่า “ฉันป่วยฉันไม่สบาย”
หลี่เหว่ยส่ายหัวและหัวเราะและไม่รู้จะร้องไห้ดีหรือไม่ เพราะในหน่วยเขี้ยวหมาป่านั้นปัญหาของเย่เชียนเป็นที่รู้จักกันดีในวงกว้าง เพราะเย่เชียนนั้นมีความจำที่ดีเกี่ยวกับสิ่งสำคัญเป็นเลิศแต่บางครั้งเขาก็ลืมบางสิ่งบางอย่างไปด้วยความใจอ่อน และบางครั้งพวกเขาทั้งหลายในหน่วยก็สงสัยว่าเย่เชียนจงใจแกล้งลืมหรือเผลอตัวจริงๆ “บอส..วีรบุรุษผู้อ่อนโยนและกล้าหาญ..บอสต้องมั่นคงเอาไว้อย่าจมปลักอยู่ในโคลน” หลี่เหว่ยเตือนสติอย่างจริงจัง
“โถ่ๆ..นายพูดเช่นนี้กับฉันได้อย่างไรถ้าอย่างงั้นก็ไปพาแฟนของพวกนายมาเข้าทีมซ่ะเลยสิ!” เย่เชียนตะค่อกเด็กหนุ่มคนนี้ และคิดว่าที่หลี่เหว่ยมาถึงเร็วขนาดนี้มันก็จะเป็นการที่ดีกว่าเพราะเขาจะได้ไม่ต้องอยู่เคียงข้างจ้าวหยาในทุกๆวินาที และถึงแม้ว่าศัตรูของจ้าวเทียนห่าวจะไม่ส่งคนมายังสถาบันแห่งนี้เพื่อจัดการกับจ้าวหยาก็ตาม แต่ก็ควรที่จะกันเอาไว้ก่อนที่จะไปตามแก้ปัญหาทีหลัง
“นี่..มันคือความจริงบอส” หลี่เหว่ยยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
เย่เชียนมองไปยังเด็กหนุ่มคนนั้นด้วยสายตาที่ดุดันและพูดว่า “ไหนๆนายก็มาแล้วช่วยปกป้องเด็กสาวคนนึงชื่อจ้าวหยาให้ฉันทีสิ แต่..จำเอาไว้ว่าเราทำได้แค่ในความมืดเท่านั้นห้ามให้ใครรู้และอย่าปะทะถ้ามันไม่จำเป็นและห้ามทำอะไรไม่ดีกับเธอเป็นอันขาด ไม่งั้นฉันจะจับนายแก้ผ้า!”
เย่เชียนไม่ค่อยเข้าใจถึงบุคลิกของหลี่เหว่ยสักเท่าไหร่ เด็กหนุ่มคนนี้มีใบหน้าขาวเรียวที่ดูหล่อเหลาและเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความรักความสุนทรีย์แทบจะไม่มีผู้หญิงคนใดต้านทานเสน่ห์เขาได้ บางครั้งเย่เชียนก็แอบสงสัยว่าเด็กคนนี้ป่วยเป็นโรคอ่ะไรหรือเปล่าเพราะหน่วยของพวกเขามักจะไปอยู่ในประเทศต่างแดนเช่นตะวันออกกลางและพวกเขามักจะฝึกซ้อมกันกลางแจ้งแล้วทำไมผิวของเด็กคนนี้ถึงยังดูขาวอย่างธรรมชาติขนาดนี้
หลี่เหว่ยยิ้มอย่างมีความสุขและพูดว่า “ผมจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร!..เธอจะเป็นถึงพี่สะใภ้ของผมในอนาคต อย่ากังวลไปเลย..ถ้าผมของพี่สะใภ้ล่วงแม้แต่เส้นเดียวบอสฆ่าผมได้เลย!..”
ถึงแม้ว่าหลี่เหว่ยจะเป็นคนที่จู้จี้จุกจิกและชอบพูดตลกหยอกล้ออยู่เสมอ แต่ทุกคนที่รู้จักเขาจะรู้ดีว่าเขาเป็นคนที่รักษาคำพูดยิ่งกว่าใคร ตราบใดที่เขาสัญญาแล้วแม้ว่าชีวิตของเขาจะดับสูญเขาก็จะทำมันให้สำเร็จ เย่เชียนเชื่อมั่นในตัวเขามากและพูดว่า “เยี่ยมมาก..นายไปได้แล้ว ฉันมีนัดอยู่ไว้ค่อยคุยกันทีหลัง”
หลี่เหว่ยยิ้มอย่างร้ายกาจและพูดว่า “บอส..ต้องการให้ผมจองห้องที่โรงแรมให้มั้ย?”
“โถ่..นายคิดว่าฉันเหมือนนายหรือไง?..ของแบบนี้มันต้องใช้คารมและเวลาเข้าใจไหม” เย่เชียนพูดอย่างแน่วแน่
หลี่เหว่ยส่ายหัวด้วยความประหลาดใจและพูดว่า “ผมไม่เข้าใจหรอก..ผมก็พูดไปตามที่เห็น”
“ฉันขี้เกียจเถียงกับนายแล้วปล่อยฉันไปเถอะ” เย่เชียนขมวดคิ้วจากนั้นก็พูดอีกว่า “แล้วก็เอาปืนของนายไปเก็บไว้ซะ สิ่งนี้ถูกควบคุมอย่างเข้มงวดในประเทศจีน..เดี๋ยวมันจะมีปัญหา!”
หลี่เหว่ยยิ้มเจื่อนๆและพูดว่า “นี่เหมือนลูกของผม ผมจะไม่ใช้มันเพราะงั้นผมจะไม่เอามันไปเก็บ..ได้ใช่มั้ย?”
เย่เชียนรู้ดีว่าไม่มีทางโน้มน้าวเด็กคนนี้ได้เพราะความรู้สึกของหลี่เหว่ยเกี่ยวกับปืนนั้นก็เหมือนกับส่วนหนึ่งบนร่างกายของเขามันเหมือนกับเลือดเนื้อของเขา เปรียบเสมือนดาบของอัศวินในยุคโบราณที่ต้องอยู่ข้างกายเสมอ
“ได้..ฉันเชื่อนายว่าควบคุมตัวเองได้ ไว้พวกมันมาเมื่อไหร่ค่อยทำตามแผนต่อไป!”
หลี่เหว่ยยิ้มอย่างพอใจและพยักหน้าอย่างเคร่งขรึมจากนั้นเขาก็เดินไป
ไม่นานหลังจากที่หลี่เหว่ยจากไปเย่เชียนก็ได้ยินเสียงกระหึ่มของเครื่องยนต์รถและเขาเห็นว่ามันเป็นรถลัมโบร์กินี่สีดำทมิฬ เย่เชียนมองไปที่รถลัมโบร์กินี่ด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นอาจารย์ฉินหยูนั่งอยู่ในนั้น เย่เชียนกระพริบตาปริบๆจากนั้นฉินหยูก็พูดว่า “มีอะไรผิดปกติหรือไง?..ขึ้นรถมาสิ!..”
หลังจากที่เย่เชียนเข้าไปในรถแล้วเขาก็ยังคงจ้องมองไปที่ฉินหยูและคิดในใจว่า ‘อาจารย์ในมหาวิทยาลัยธรรมดาๆจะสามารถซื้อลัมโบร์กินี่ได้เชียวหรือ? เย่เชียนปฏิเสธที่จะเชื่อและดูเหมือนว่าการคาดเดาของเขาจะถูกต้องที่ว่าภูมิหลังของหญิงสาวผู้นี้นั้นไม่ธรรมดาๆเลย
“มองอะไร?..มีดอกไม้ติดอยู่บนหน้าของฉันเหรอ?” หลังจากที่ฉินหยูสตาร์ทรถแล้วเธอก็เหยียบคันเร่งออกไปเหมือนพายุสายฟ้า
“หนุ่มน้อยลัมโบร์กินี่คันนี้..การเป็นอาจารย์มันเริศหรูขนาดนี้เชียวหรือ?” เย่เชียนจงใจถามแสร้งทำเป็นเหมือนไม่รู้
“ฝันไปเถอะเงินเดือนของฉันห้าสิบปียังซื้อรถคันนี้ไม่ได้เลย!” ฉินหยูพูดอย่างเกรี้ยวกราด
“อาจารย์ผมไม่ทราบจริงๆ..ปกติคุณดูเหมือนคนที่เย็นชา แต่คุณดูมีเสน่ห์เหลือร้ายมากเมื่อเห็นคุณขับรถแบบนี้!” เย่เชียนพูดอย่างตรงไปตรงมา
“ทำไม..ฉันขับไม่ได้เหรอ?” ฉินหยูพูดอย่างดุดัน
“ไม่ๆ..ผมกำลังจะบอกว่ามันจะดูเหมือนว่าคุณกำลังโอ้อวดอยู่ในสายตาคนอื่น? ผมกลัวว่าคุณจะถูกใครสักคนปล้น? สมัยนี้คนชั่วคนเลวมันมีถมเถไปพวกขาเหล่านั้นสามารถทำทุกอย่างได้ก็เพื่อเงิน!”
ฉินหยูพูดอย่างเกรี้ยวกราดและเย้ยหยันว่า “ใครจะกล้ามาปล้นฉัน..นอกเสียว่าพวกเขาจะเบื่อหน่ายกับชีวิตและอยากตายอะนะ!”
เย่เชียนขมวดคิ้วและคิดว่าแม้แต่กวนอูยังมีคู่แค้น โจโฉยังมีสหาย มีหรือที่พ่อของเธอจะยิ่งใหญ่แล้วจะไร้ซึ่งศัตรู? เย่เชียนยิ้มอ่อนๆและถามว่า “อาจารย์..จริงๆแล้วที่บ้านของคุณทำอะไร?”
“ทำธุรกิจ” ฉินหยูพูดเบาๆและดูเหมือนว่าเธอจะไม่อยากพูดอะไรมากนัก
เมื่อฉินหยูไม่ได้พูดเย่เชียนก็ไม่ถามเธออีก “อาจารย์จะพาผมไปดินเนอร์ที่ไหน” เย่เชียนถาม
“อาหารตะวันตกน่ะ..ฉันจองที่เอาไว้แล้ว” ฉินหยูตอบ
“ห๊ะอาหารตะวันตกอีกแล้วเหรอ” เย่เชียนลั่นออกมาอย่างช่วยไม่ได้ที่จะคิดว่าอาหารตะวันตกพวกนั้นรสชาติไม่จัดจ้านเอาเสียเลยแล้วทำไมสาวๆถึงนิยมทานกันนัก
“ทำไม..เธอไม่ชอบอาหารตะวันตกหรือ?” หลังจากที่เธอถามเสร็จเธอก็รีบพูดขึ้นมาทันทีว่า “ถ้างั้นเราไปกินอาหารญี่ปุ่นกันมั้ย?”
ในความเป็นจริงแล้วเย่เชียนไม่ใช่ว่าไม่ชอบอาหารตะวันตก ไม่สำคัญว่าจะกินอาหารประเภทนี้หนึ่งมื้อหรือสองมื่อต่อวัน แต่ที่สำคัญก็คือเขาอยู่ที่ต่างประเทศมานานเขากินอาหารประเภทนี้เป็นประจำเขาจึงรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อยกับสิ่งนี้
“อาหารญี่ปุ่นก็แพงและไม่อิ่มด้วย!” เย่เชียนพูดอย่างฉุนเฉียว
ฉินหยูก็ไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไปและพูดอย่างฉุนเฉียวว่า “ถ้าอย่างนั้นเธอก็บอกมาสิว่าเธออยากกินอะไร!”
เย่เชียนยิ้มเล็กยิ้มน้อยอย่างเจ้าเล่ห์และเอนหัวเข้าไปข้างๆหูของฉินหยูจากนั้นเขาก็พูดอะไรบางอย่างสองสามคำ ทันใดนั้นฉินหยูก็หันหน้ามาและมองเขาด้วยความตกตะลึง ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความตกตะลึงอย่างมาก
.
.
.
.
.
.
.
.