ฉินหยูเคยชินกับคำพูดที่เยินยอปากหวานของเย่เชียนแล้วเธอได้แต่ยิ้มอยู่ในใจและเธอก็พูดขึ้นมาว่า “ในเมื่อเธอเป็นบอดี้การ์ดของจ้าวหยาได้..เธอก็มาเป็นบอดี้การ์ดของฉันด้วยสิ!..เดี๋ยวฉันจ้างเธอเอง”
“จริงหรอ?” คุณไม่ได้ล้อผมเล่นใช่มั้ย?” เย่เชียนถาม
“แน่นอนสิ ฉันดูเหมือนคนที่ชอบล้อเล่นหรอ?”
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาหรอกแต่หลังเลิกเรียนล่ะ?..ผมไม่สามารถปกป้องคุณและจ้าวหยาพร้อมกันทั้งคู่ได้” เย่เชียนพูดอย่างจริงจัง
ฉินหยูยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และพูดว่า “ที่จริงแล้วฉันกับหยาเอ๋อเราก็สนิทสนมกันดีนะ..เราอยู่บ้านเดียวกันน่ะ เธอคิดว่าไงบ้าง? หากเป็นเป็นเช่นนี้เธอจะเป็นบอดี้การ์ดของฉันได้ไหม?”
สิ่งเหล่านี้เหนือความคาดหมายเย่เชียนมากเขาจึงถามฉินหยูด้วยความตกตะลึงว่า “คุณพูดจริงหรอ?”
“มันไม่ใช่เรื่องน่าอายทำไมฉันต้องโกหกเธอล่ะ” ฉินหยูตอบ
“อ๋อ..ถ้าอย่างงั้นผมจะพิจารณาดูนะ..แต่ว่า..อ้องั้นตกลง” เย่เชียนฉีกยิ้มขณะพูดและเมื่อเขานึกถึงอะไรบางอย่างได้เขาก็ไม่ลังเลที่จะปฏิเสธ
ฉินหยูมองเย่เชียนอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า “เรื่องเงินหรอ? ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอกเดี๋ยวฉันจะตอบแทนอย่างงาม”
เย่เชียนแสยะยิ้มและพูดอย่างเจ้าเล่ห์ว่า “เราก็คนกันเองหน่า..สักสองสามหมื่นหยวนต่อเดือนก็พอแล้ว”
“เธอนี่พูดเกินตัวจริงๆ ค่าว่าจ้างของบอดี้การ์ดอยู่ที่ห้าพันไม่เกินหนึ่งหมื่นหยวนต่อเดือนนะ”
“คุณพูดแบบนั้นได้อย่างไร คุณไม่สามารถเอาผมไปเปรียบเทียบกับบอดี้การ์ดคนอื่นๆได้นะ ผมเป็นคนที่มีฝีมือแล้วเชี่ยวชาญมากเลยนะ!” เย่เชียนพูดอย่างพอใจกับตัวเอง
ฉินหยูเธอไม่ได้ซีเรียสเรื่องเงินและนอกจากนี้เธอก็รู้ว่าเย่เชียนกำลังแกล้งหยอกเธอเพียงเท่านั้น และเธอก็คิดว่าถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้จ่ายค่าว่าจ้างให้เขาก็ตามผู้ชายคนนี้ก็จะไม่เรียกร้องหรือไม่ตำหนิอะไรเธอเลย “อ้อใช่..ตอนนี้เธอตกเป็นผู้ต้องสงสัยในการสืบสวนคดีฆาตกรรม แต่เธอดูไม่ได้กังวลอะไรเลย..เธอไม่กลัวเลยหรอ” ฉินหยูเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาและถามอย่างเป็นห่วง
“ผมไม่กลัว..เพราะผมไม่ได้ทำอะไรผิดผมจะกลัวไปทำไม” เย่เชียนพูดอย่างเย็นชา
“ถ้าเธอไม่ได้เป็นคนทำ มันก็มีอยู่แค่สองอย่างคืออย่างแรกพวกเจ้าหน้าที่ตำรวจชี้ผิดตัวแต่โอกาสที่จะเป็นเช่นนี้นั้นค่อนข้างน้อยและความเป็นไปได้อีกอย่างก็คือมีใครสักคนต้องการจะกำจัดเธอและล้อมกรอบเธอให้เธอต้องจนมุม ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ใช่คนธรรมดาเลยนะ” ฉินหยูพูดอย่างถี่ถ้วน
เย่เชียนยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า “ผมเพิ่งจะกลับมาที่ประเทศจีนผมจะไปทำให้ใครขุ่นเคืองหรือไปยั่วยุใครได้อย่างไร ผมคิดว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจคงจะบกพร่องในหน้าที่น่ะ”
ฉินหยูยิ้มอย่างเฉยเมยและพูดว่า “เธอไม่จำเป็นต้องเสแสร้งต่อหน้าฉันแล้ว บอกฉันมาตามตรงเถอะ?”
เย่เชียนหัวเราะเบาๆและโน้มไปข้างๆหูของฉินหยูและกระซิบว่า “หยูหยู่..ผมรู้สึกว่าคุณจะรักผมมากขึ้นทุกทีๆทำดีกับผมมากขึ้นเรื่อยๆ ทำไมเราไม่ไปสำนักงานเขตแล้วจดทะเบียนสมรสกันในวันพรุ่งนี้เลยล่ะ” เมื่อได้ยินเช่นนั้นฉินหยูก็จ้องมองเย่เชียนอย่างตกตะลึงและเธอทำอะไรไม่ถูก จากนั้นเย่เชียนก็พูดต่อโดยไม่มีรอให้เธอตำหนิติเตียนเขา “ที่จริงมันก็ง่ายมากสำหรับผมที่จะหาว่าใครกำลังตีกรอบผม แต่เนื่องจากพวกเขาได้วางแผนกันมาดิบดีพวกเขาคงจะมีวิธีอื่นๆกันเผื่อเอาไว้ เพราะฉะนั้นผมจะรอจนกว่าสุนัขจิ้งจอกจะเผยหางออกมาเอง”
“ถ้าเธอต้องการความช่วยเหลือก็บอกฉันมา ถึงแม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่าเธอกำลังเผชิญหน้าอยู่กับใครหรือพวกเขามีภูมิหลังอย่างไร แต่การพาเธอออกจากสถานีตำรวจมันก็เป็นเรื่องง่ายสำหรับฉัน” ฉินหยูพูดอย่างใจเย็นราวกับว่าสถานีตำรวจเป็นสวนหลังบ้านของเธอเองที่เธอจะสามารถเข้าและออกได้ตามที่ใจเธอต้องการ
“แน่นอน..ในเมืองนี้ผมมีเพื่อนเพียงคนเดียวที่ฉลาดและแสนงดงาม..ถ้าไม่ใช่คุณแล้วผมจะให้พึ่งใคร” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเขาพูดเสร็จพวกเขาก็มาถึงทางเข้าสถานีตำรวจแล้ว จากนั้นฉินหยูก็เดินตามเย่เชียนเข้าไปข้างในและใช้โทรศัพท์อยู่สักพักหนึ่ง หลังจากนั้นไม่นานก็มีกลุ่มผู้ชายร่างกำยำสวมชุดสูทสีดำที่พ่อของฉินหยูส่งมารับเธอถึงสถานีตำรวจ จากนั้นเธอก็กล่าวคำอำลาเย่เชียนและออกไปพร้อมกับผู้คุ้มกันของเธอ แต่แม้ในขณะที่เธอกำลังเดินออกไปเธอก็แลกเปลี่ยนการสบตาอย่างดุดันกับหวังยู่อยู่ครู่หนึ่ง เย่เชียนส่ายหัวอย่างหมดหนทางและสงสัยว่าผู้หญิงสองคนนี้เป็นศัตรูคู้แค้นกันในชาติปางก่อนหรือเปล่าทำไมพวกเธอถึงต้องจ้องที่จะห้ำหั่นกันตลอดเวลาด้วย
เนื่องจากเหตุการณ์ครั้งก่อนเจ้าหน้าที่ตำรวจต่างก็ไม่กล้าที่จะทำให้เย่เชียนต้องอับอายหรือขุ่นเคืองพวกเขาจึงต้องปฏิบัติตามสิทธิของมนุษยชนอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหวังยู่ไม่ได้ปฏิบัติกับเย่เชียนไม่ดีเหมือนครั้งที่แล้วเจ้าหน้าที่คนอื่นจึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะไม่เข้าไปก้าวก่ายเขา เมื่อถึงเวลาเย่เชียนก็เข้าไปในห้องสอบสวนและหวังยู่ก็ตามเขาเข้าไปข้างใน และหลังจากถามคำถามพื้นฐานบางอย่างหวังยู่พูดว่า “เย่เชียน..ถึงแม้ว่าฉันจะเกลียดนายแต่ในฐานะเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว ฉันก็ไม่อยากจะกล่าวหาคนผิดว่าเป็นฆาตกร แต่อย่างไรก็ตามจากข้อมูลทั้งหมดที่เราได้มานั้นมีแนวโน้มว่านายจะเป็นผู้ต้องสงสัยมากที่สุด นอกจากนี้แล้วยังมีพยานที่อ้างว่าเห็นนายด้วยตาของเขาเองเมื่อคืนที่จ้าวเซี่ยถูกฆ่า ซึ่งข้อมูลพวกนี้มันเป็นผลเสียและอัตรายมากสำหรับนาย”
เย่เชียนต้องการหาผู้ที่อยู่เบื้องหลังที่ต้องการกำจัดเขาให้เผยตัวตนออกมา ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถพูดได้ว่าเมื่อคืนเขาอยู่กับจ้าวเทียนห่าวและสิ่งนี้จะทำให้หวังยู่คิดว่าเขาไม่มีคนหนุนหลัง จากนั้นเย่เชียนก็ถามว่า “ใครเป็นพยาน?”
“แฟนสาวของจ้าวเซี่ยที่เป็นผู้ตายชื่อซูย่าหยิงเธอเป็นคนให้ปากคำว่าเธอเห็นนายฆ่าจ้าวเซี่ย” ฉินหยูพูด
สีหน้าของเย่เชียนว่างเปล่าเขาไม่ได้คาดหวังว่าพยานจะเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของหลินโรวโร่วและเห็นได้ชัดว่าซูย่าหยิงกล่าวหาเขาอย่างผิดๆ เธอจะต้องได้รับผลประโยชน์บางอย่างจากใครบางคนที่ต้องการกำจัดเขา หากเป็นเช่นนั้นแล้วบุคคลที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือซูย่าหยิง และเขาต้องตามหาเธอให้พบเพื่อที่จะได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของผู้ที่อยู่เบื้องหลัง “แล้วคุณล่ะ? คุณเชื่อมั้ยว่าผมเป็นคนทำ?” เย่เชียนถามด้วยแววตาที่ดูจริงจัง
หวังยู่ตกตะลึงไปชั่วครู่จากนั้นไม่นานเธอก็พูดว่า “จริงๆแล้วก่อนที่ฉันจะออกไปจับนาย ฉันถูกกำชับจากหัวหน้ากรมว่าถ้านายขัดขืนการจับกุมล่ะก็ให้เราสามารถวิสามัญจับตายนายได้โดยทันที..ถึงแม้ว่าฉันจะไม่รู้แน่ชัดว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ฉันก็รู้ว่าคำสั่งพวกนี้มันต้องมาจากเบื้องบนจากตำแหน่งที่สูงกว่าเขาอย่างแน่นอน มิฉะนั้นหัวหน้ากรมตำรวจจะสามารถออกคำสั่งเช่นนี้ได้อย่างไร และมันก็มีโอกาสมากที่จะมีใครบางคนอยู่เบื้องหลังที่จ้องจะกำจัดนาย คนพวกนั้นมีอำนาจและอิทธิพลมหาศาล และอาจจะมีตำแหน่งที่สูงกว่านี้อีกเพื่อที่แผนจะได้สำเร็จอย่างลุล่วง..”
ถึงแม้ว่าหวังยู่จะไม่ได้ตอบตรงๆแต่คำพูดของเธอก็เพียงพอที่จะบอกเย่เชียนแล้วว่าเธอเชื่อในตัวเขา เย่เชียนจึงมีรอยยิ้มอ่อนๆขณะที่เขาพูดว่า “ตอนนี้ผมค่อนข้างอยากรู้ว่าใครที่กำลังคิดจะกำจัดผม คนที่คิดแผนอันแยลยลและน่ารังเกียจเช่นนี้ได้..เขาต้องเป็นคนที่น่าสนใจมากแน่ๆ”
“นายไม่กังวลเลยหรอ” หวังยู่ถามโดยมองไปที่เย่เชียนด้วยความประหลาดใจ
“เมื่อเรือไปถึงจุดสิ้นสุดของท่าเรือ มันก็จะหยุดลงเองโดยธรรมชาติ” เย่เชียนตอบพร้อมยิ้มอย่างอ่อนโยน
สำนวน : หมายถึงทุกสรรพสิ่งมันก็มีจุดสิ้นสุดของตัวมันเอง
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งหวังยู่ก็กัดริมฝีปากของเธอและพูดว่า “ไม่ต้องกังวลไปนะ..ฉันจะช่วยนายเอง..ฉันจะไม่ปล่อยให้อะไรเกิดขึ้นกับนาย”
เย่เชียนมองไปที่หวังยู่ด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยและเขาก็ไม่สามารถหยุดยิ้มได้ ความสุขเล็กๆน้อยๆก่อตัวขึ้นบนใบหน้าของเขาและคิดว่าผู้หญิงคนนี้ใจดีจริงๆและต่อไปนี้จะไม่ทะเลาะกับเธอและไม่ทำให้เธอโกรธอีก
.