ตอนที่ 6 ค้นตัว
“หยุดเดี๋ยวนี้! อย่าหนีนะ!”
เย่เชียนได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายดังมาจากด้านนอก เมื่อเขามองออกไปก็แปลกใจ
มีวัยรุ่นชายอายุประมาณ 20 ปีกำลังวิ่งตรงมาทางเขาด้วยความเร็วสูง ในมือมีกระเป๋าถือของผู้หญิงที่เขากำไว้แน่น และข้างหลังชายคนนั้นมีหญิงสาวในเครื่องแบบตํารวจวิ่งตามมาติด ๆ ดูเหมือนว่าเธอกําลังพยายามจับกุมชายหนุ่มคนนั้นอยู่ เธอตะโกนไล่หลังมาด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน
ถึงแม้เย่เชียนจะไม่ได้รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เขาเห็นตรงหน้ามากนัก แต่เขาก็เดาได้ไม่ยากว่าเรื่องมันเป็นมาอย่างไร ชายหนุ่มที่ถือกระเป๋าอยู่นั้นคงจะเป็นโจรวิ่งราว และแน่นอนว่าในฐานะพลเมืองดีอย่างเย่เชียน เขาคงไม่ปล่อยให้คนชั่วหนีรอดไปได้อย่างแน่นอน
ชายหนุ่มที่กำลังวิ่งเข้ามาใกล้เขาทุกขณะตะโกนออกมาเสียงดัง
“หลีกไป!”
ไม่พูดเปล่า เขาเอื้อมมือมาหมายจะผลักเย่เชียน แต่เย่เชียนรู้จังหวะนี้ดี เขาจึงถือโอกาสนี้คว้าแขนของชายหนุ่มแล้วกดเขาลงกับพื้น เย่เชียนล็อกแขนของเขาเอาไว้อย่างแน่นหนาด้วยความเชี่ยวชาญ
เป๊าะ!
เสียงเหมือนกระดูกหักดังขึ้นพร้อม ๆ กันกับเสียงชายหนุ่มร้องโหยหวนออกมาด้วยความเจ็บปวด
ตํารวจสาวเห็นเย่เชียนจับโจรวิ่งราวได้ เธอจึงรู้สึกโล่งใจและพูดขึ้นว่า
“ขอบคุณคุณมากนะคะที่ช่วยจับโจรไว้ ถ้าไม่ได้คุณ ฉันคงต้องวิ่งตามไปอีกไกลโขเลยทีเดียวล่ะ!” จากนั้นเธอก็หยิบกุญแจมือขึ้นมาเพื่อจับกุมชายคนนั้น เธอหันมาหาเย่เชียนอีกครั้งและพูดว่า
“คุณคะ รบกวนคุณช่วยตามฉันไปที่สถานีตํารวจเพื่อไปให้ปากคําในการจดบันทึกเหตุการณ์นี้ด้วยค่ะ”
เย่เชียนเผลอจ้องมองดูนัยน์ตาสีแดงดุจสีขนนกฟีนิกซ์ของเธอ คิ้วคมเข้ม ใบหน้าเรียวสวย อีกทั้งอยู่ในชุดเครื่องแบบตํารวจที่ทําให้เธอดูน่าเกรงขาม เย่เชียนไม่เคยพบเจอเจ้าหน้าที่ตํารวจหญิงคนไหนที่สวยน่ารักแบบเธอมาก่อนเลย แต่ถึงเธอจะสวยปานนางฟ้าลงมาโปรดขนาดไหน มันก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกเกลียดพวกตํารวจน้อยลงไปกว่าเดิม การที่ตำรวจสาวมาขอให้เขาไปให้ปากคําที่โรงพัก อย่าได้หวังว่าคนอย่างเขาจะไปตามคำขอ เขาไม่อยากจะเสวนากับตํารวจหน้าไหนทั้งนั้นถ้าไม่จำเป็น
คำพูดที่ว่า ‘ตํารวจนั้นเป็นเหมือนดั่งผู้พิทักษ์สันติราษฎร์’ มันเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ เขาคิดไม่ออกว่าตํารวจพวกนี้จะเป็นอะไรไปเสียได้นอกจากไอ้พวกโจรในเครื่องแบบที่กดขี่ข่มเหงประชาชนคนธรรมดาดี ๆ นี่เอง
“ไม่เอา! ผมไม่ไป” เย่เชียนพูดและหันหลังเดินออกไป
หวังยู่ ไม่เข้าใจกับท่าทีที่ไม่แยแสของเย่เชียนและเธอก็เริ่มรู้สึกหงุดหงิดกับท่าทีนี้
ที่หน่วยของเธอนั้น เธอเป็นตํารวจหญิงผู้กล้าหาญ ทั้งยังมากความสามารถและน่าดึงดูด เธอมักถูกรายล้อมไปด้วยชายหนุ่มที่หล่อเหลาและมีความสามารถไม่แพ้เธออยู่เสมอ เท่านั้นยังไม่พอ พื้นเพของเธอยังเป็นถึงผู้รักษากฎหมาย
ถึงแม้ว่าเธอเพิ่งจะอายุ 22 ปีก็ตาม แต่เธอก็ได้ปฏิบัติหน้าที่ตํารวจมาไม่น้อยกว่าครึ่งปีแล้ว หนำซ้ำเธอยังพ่วงมาด้วยตำแหน่งผู้กํากับการขั้นหนึ่งอีกต่างหาก อีกไม่นานเกินรอ เธอก็คงได้เลื่อนขึ้นไปเป็นผู้กํากับการขั้นสาม
ถึงแม้หวังยู่จะหงุดหงิดกับท่าทีของเย่เชียนสักเพียงใด แต่เธอก็ไม่ใช่คนประเภทดูถูกเหยียดหยามผู้อื่นและแสดงอารมณ์ที่แท้จริงออกมาให้ใครเห็นขณะปฏิบัติหน้าที่ จริง ๆ แล้วเธอเป็นคนสุภาพเรียบร้อย การที่เธอเห็นว่าชายผู้นั้นไม่แยแสเธอ เธอเองก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่รู้สึกโกรธอยู่ในใจและคิดว่าเขากำลังรักษาระยะห่างระหว่างตัวเองกับเจ้าหน้าที่ตํารวจ
‘หืม… มาอีหรอบนี้เขาต้องไม่ใช่คนดีแน่ ๆ’ ด้วยความคิดนี้ที่ฉุกขึ้นมาในหัว ทำให้เธอตะโกนออกมาอย่างดุดันว่า “หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
เย่เชียนหยุดกึก แล้วค่อย ๆ หันกลับมายิ้มมุมปาก
“ทําไมล่ะ? คุณจะจับผมและพาไปสถานีตํารวจด้วยเหรอ ?”
ลึก ๆ ในใจนั้น เย่เชียนคิดอยู่ตลอดว่า ‘ภายใต้สรวงสวรรค์มักมีอีกาดําอยู่เสมอ’ เขาแอบคิดว่าตํารวจสาวแสนสวยที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ก็คงไม่ต่างอะไรกับตํารวจคนอื่น ๆ เธอดูเหมือนจะเก่งในด้านการข่มเหงคนธรรมดามากกว่าการช่วยเหลือและรักษาความปลอดภัยให้แก่ประชาชน คําขวัญของตำรวจน่ะหรือ เฮอะ! มันไม่ได้มีอะไรไปมากกว่าคำพูดหลอกตัวเอง…
*สำนวน ‘ภายใต้สรวงสวรรค์มักมีอีกาดําอยู่เสมอ’ หมายถึง สุดท้ายแล้วพวกมันก็เหมือนกันทั้งหมด
หวังยู่อยากจะจับเขาไปด้วยอีกคน แต่เอาเข้าจริงเธอมีเพียงลางสังหรณ์ในใจแต่ไม่มีหลักฐานข้อเท็จจริงใด ๆ ซึ่งถ้าไม่มีก็ไม่สามารถเข้าจับกุมได้ แต่หวังยู่ก็ยังพูดต่อไปว่า
“คุณน่ะดูมีพิรุธยังไงชอบกล ฉันว่าคุณต้องแอบลักลอบขนอาวุธผิดกฎหมายแน่เลยใช่ไหม ?! ไหน! มาให้ฉันค้นตัวของคุณหน่อยซิ!”
เย่เชียนยิ้มเย็นชาใส่เธอ นัยน์ตาคมของเขาดุจดั่งกระบี่ที่ปักเข้าไปกลางร่างตำรวจสาวหวังยู่ เขาพูดขึ้นว่า
“ค้นตัวเหรอ ? ในหัวคุณมีแต่น้ำหรือไง ? นี่มันล่วงละเมิดกันชัด ๆ!”
เมื่อหวังยู่ต้องเผชิญหน้ากับท่าทางที่ดุดันของเย่เชียน เธอก็รู้สึกตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้ มันเหมือนมีความเย็นยะเยือกล่องลอยอยู่ในชั้นบรรยากาศโดยรอบ โดยต้นตอของความเย็นยะเยือกนี้แผ่มาจากบุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอนั่นเอง แต่มีหรือเธอจะยอม
หวังยู่ผู้หาญกล้าพูดออกไปอย่างเด็ดเดี่ยวไม่แพ้กัน
“ขอโทษนะคะ ตามกฎหมายของประเทศจีนมีการบังคับใช้กฎหมายที่มอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถค้นตัวบุคคลที่น่าสงสัยได้ เพราะฉะนั้นฉันว่า… ทางที่ดีคุณให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจดีกว่านะคะ ขอบคุณค่ะ”
พูดจบ เธอก็ขยับเข้าไปใกล้เย่เชียนและทําท่าจะเข้าไปค้นตัวเขา
เย่เชียนมีมีดพกด้ามหนึ่งที่เขามักจะพกติดตัวไว้ตลอดเวลา มันมีชื่อว่า—หมาป่าสีเลือด (หรือมีดซูหลาง) ถึงแม้เขาจะบอกกับหวังยู่ว่ามันเป็นแค่มีดพกก็ตามที แต่มันก็คงจะมีความผิดไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง สุดท้ายแล้วตํารวจคงสามารถใช้ประโยชน์จากมันเพื่อทำให้เขาเดือดร้อนได้อีกอยู่ดี และถ้าพวกตำรวจเริ่มสืบข้อมูลเขาอย่างต่อเนื่องล่ะก็ มันอาจจะสาวมาถึงตัวตนของเขาได้
เย่เชียนไม่ต้องการให้ใครรู้ถึงตัวตนของเขา เพราะมันรังแต่จะทำให้อะไร ๆ ยากขึ้นก็เท่านั้น เขาแค่ต้องการใช้ชีวิตที่แสนจะเรียบง่ายและดูแลพ่อตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ของเขา
เย่เชียนขมวดคิ้วพลางคิดในใจอย่างรอบคอบ เขาเม้มปากจนเป็นเส้นโค้งก่อนจะพูดขึ้นว่า
“คุณจะค้นตัวผมเหรอ ? เยี่ยม! ผมแก้ผ้าให้คุณค้นได้นะ คุณจะได้เห็นไงว่าผมน่ะเป็นพลเมืองดีผู้บริสุทธิ์”
ไม่พูดเปล่า เขาเริ่มปลดเข็มขัดออกแล้วเตรียมถอดเสื้อผ้าออกอย่างจริงจัง
หวังยู่ไม่เคยเจอผู้ชายหน้าไม่อายขนาดนี้มาก่อน เธอทำอะไรไม่ถูกและพูดตะกุกตะกักออกมาว่า
“เฮ้ย! คะ… คุณ… คุณจะทําอะไรน่ะ ?”
“อ้าวคุณ… ก็คุณบอกผมว่าจะต้องมีการค้นตัว ก็นี่ไงผมถอดให้ค้น ว่าแต่คุณเถอะจะไม่ค้นแล้วหรือไง ? ผมแค่จะอำนวยความสะดวกให้คุณเฉย ๆ ไหน ๆ ก็จะค้นแล้วก็แก้ผ้าออกให้หมดนี่แหละ ค้นง่ายดีว่าไหมคุณตำรวจ” เย่เชียนพูดอย่างเจ้าเล่ห์
“คุณนี่นะ!”
หวังยู่รู้สึกโกรธมากกับพฤติกรรมยียวนกวนประสาทของเขาจนเธอรู้สึกอับจนหนทาง แต่ทว่าถ้าไม่ใช่เพราะเขา เธอคงจะจับโจรไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่เธออยากจะพูดขอบคุณกับเขาอีกครั้งแท้ ๆ แต่ดูเขาทำตัวสิ น่ารังเกียจชะมัด!!!
“ก็ได้! คุณไปได้!” ในที่สุดหวังยู่ก็ต้องยอมจำใจปล่อยผ่านไปทั้ง ๆ ที่ในใจของเธอรู้สึกโกรธมากเพราะมันไม่มีวิธีอื่นแล้วจริง ๆ
เย่เชียนยิ้มเล็กยิ้มน้อย เมื่อเขามาคิด ๆ ดูแล้ว ตํารวจหญิงคนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับสาวน้อยคนหนึ่งที่ออกจะขัดเขินกับเรื่อง ‘แบบนั้น’ ถ้าหากวันหนึ่งเธอต้องมีข้อตกลงแลกเปลี่ยนกับพวกจิ้งจอกเฒ่าในกรมตํารวจแล้วล่ะก็ มันคงจะยากที่เธอจะเอาชนะพวกมันได้
“อ้าวคุณ… ทําไมไม่ค้นแล้วล่ะ ? ถ้าคุณไม่ค้นแล้วผมจะพิสูจน์ได้ยังไงว่าผมบริสุทธิ์”
“คุณ… เฮ้อ!” หวังยู่หมดคำพูดกับคนกวนประสาทอย่างเย่เชียน เธอค่อย ๆ ทําใจให้เย็นลงเพราะเธอเข้าใจในการทํางานเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจดีว่าท้ายที่สุดแล้ว เธอก็ต้องเจอทั้งโจรและพวกกะล่อนปลิ้นปล้อน พวกทะลึ่ง หรือไม่ก็พวกคนพาลแบบเย่เชียนเข้าสักวัน แต่เธอก็ไม่รู้ว่าทําไมวันนี้อารมณ์ของเธอมันถึงแปรปรวนมากมายอะไรขนาดนั้น ไม่ว่าเย่เชียนจะพูดอะไรเธอก็โกรธไปหมด
เธอจ้องเย่เชียนเขม็งก่อนจะพูดทิ้งท้ายกับเขา
“เอาล่ะ ในอนาคตคุณอย่าคิดก่อเรื่องละกัน ไม่งั้นฉันนี่แหละที่จะเป็นคนจับคุณด้วยมือของฉันเอง! ไม่ว่ายังไงฉันก็จะจับคุณให้ได้ เอ้า! แกน่ะ… ทำไมยังไม่ไปอีก มองอะไรอยู่ห๊ะ!” ประโยคสุดท้ายเธอตะโกนใส่โจร
และแล้วเธอก็จากไปพร้อมกับโจรที่ถูกจับกุม
เย่เชียนมองตามแผ่นหลังของหวังยู่แล้วก็ยักไหล่ เขายิ้มและพึมพำกับตัวเองเบา ๆ “ช่างเป็นเจ้าหน้าที่ตํารวจที่น่ารักจริง ๆ”
เมื่อดูเวลาตอนนี้ก็ปาไปห้าทุ่มครึ่งแล้ว เย่เชียนหาซื้ออะไรมากินรองท้องและนั่งแท็กซี่ตรงไปยังโรงพยาบาล เขาคิดว่าฮันเซ่ลผู้ที่ดูแลพ่อไปพลางและทบทวนบทเรียนไปพลาง เธอคงจะเหนื่อยและเพลียมาก ถ้าเป็นไปได้เขาอยากให้เธอกลับไปพักผ่อนที่บ้านแล้วตัวเขาอยู่กับพ่อแทน
แปดปีที่ไม่ได้เจอกันเขามีหลายสิ่งหลายอย่างมากมายที่เขาแทบจะรอไม่ไหวที่จะได้คุยกับพ่อ…