ตอนที่ 7 น้ำตาลูกผู้ชาย
เมื่อเขามาถึงโรงพยาบาล เขาก็เห็นฮันเซ่ลหลับอยู่ข้างเตียงพ่อ หนังสือที่เธออ่านค้างไว้ตกอยู่ที่พื้น เขาเห็นพ่อมองฮันเซ่ลด้วยรอยยิ้มละมุน เมื่อได้ยินเสียงประตูเปิด พ่อก็เงยหน้าขึ้นมองและเห็นเย่เชียนเดินย่องเข้ามาในห้องอย่างเงียบ ๆ
เย่เชียนไม่อยากรบกวนฮันเซ่ลที่กำลังหลับใหล เขาย่องเข้าไปในห้องอย่างเงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วปิดประตูเบา ๆ ตามหลัง เมื่อเขาเข้ามาในห้อง เขาก็เดินไปข้าง ๆ พ่อของเขาและถามไถ่อาการด้วยความเป็นห่วง
“พ่อครับ พ่อเป็นอย่างไรบ้าง รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือยัง ?”
พ่อพยักหน้าเล็กน้อยและพูดว่า “พ่อสบายดี แล้วแกล่ะ เป็นยังไงบ้าง แปดปีที่ผ่านมานี้แกไปทําอะไรมาบ้างล่ะเสี่ยวเชียนเอ๋อร์ ?”
เย่เชียนเงียบไปพักหนึ่งและตอบพ่อ
“พ่ออย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้เลยครับ ผมซื้อโจ๊กมาให้ พ่อค่อย ๆ กินนะ”
ผู้เป็นพ่อรู้ทันทีว่าลูกชายไม่ต้องการที่จะพูดถึงอดีตและเขาเองก็ไม่อยากบังคับลูกให้ต้องเล่าเช่นกัน เขามองไปที่ฮันเซ่ลและพูดขึ้น
“เด็กคนนี้น่าสงสารนะ พ่อแม่ของเธอเสียไปเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์และเธอก็ไม่ได้เงินจากพ่อแม่เธอเลยแม้แต่แดงเดียว พวกเขาน่าจะวางแผนสำรองเอาไว้ให้ดีกว่านี้หน่อย เฮ้อ!”
เย่เชียนมองไปที่ฮันเซ่ลอย่างเอ็นดูก่อนจะหันกลับมาพูดกับพ่อ
“พ่อครับ… หลายปีมานี้พ่อคงจะเหนื่อยมากสินะครับ ในเมื่อผมกลับมาแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เราจะไม่ต้องไปเผชิญกับความยากลำบากอีกแล้ว เราจะได้พักผ่อนกันมากขึ้นและมีความสุขกับชีวิตที่เหลืออยู่ แต่มีอย่างนึงที่ผมยังไม่หายสงสัย ทําไมพี่ใหญ่กับน้องสามถึงไม่กลับมาหาพ่อเลยครับ ?” เย่เชียนหยิบกล่องเล็ก ๆ ออกมาจากถุงพลาสติกขณะที่เขาพูด
“พวกเขามีงานที่ต้องทำ อีกอย่าง พ่อเองก็ไม่อยากไปเป็นภาระให้ใคร พ่อรู้จักลูกของพ่อทุกคนดีว่าลูกพ่อแต่ละคนมีลักษณะนิสัยยังไง” พ่อพูดพลางยิ้ม
ขอบตาของเย่เชียนเริ่มแดง หลังจากที่ฟังพ่อพูดจบ เขาก็รู้สึกได้เลยว่าพ่อคิดถึงลูก ๆ ทุกคนเสมอแม้ว่าจะไม่ใช่สายเลือดเดียวกันก็ตาม พวกเขาไม่ต้องรอให้ใครมาบอกก็รู้ว่าพ่อของพวกเขานั้นเป็นคนที่สำคัญที่สุดในหัวใจสำหรับพวกเด็กกําพร้าที่พ่อรับมาอุปถัมภ์เป็นลูกทุกคน เย่เชียนหยิบโจ๊กขึ้นมายื่นให้พ่อ
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกและผมจะเป็นคนดูแลพ่อเอง ผมสัญญา”
พ่อผลักโจ๊กกลับไปขณะที่เขามองไปที่ฮันเซ่ลพร้อมกับพูดว่า
“เอาให้เสี่ยวเซ่ลเถอะ พ่อไม่หิว อีกอย่าง เธอก็ยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่ตอนเย็นแล้ว เธอคงจะหิวแน่ ๆ”
พ่อเขย่าตัวฮันเซ่ลเบา ๆ และปลุกเธอให้ตื่นขึ้นจากภวังค์
“เสี่ยวเซ่ว เสี่ยวเซ่วลูก! ตื่นเถอะ”
ฮันเซ่ลลืมตาขึ้นมาดูพ่ออย่างเป็นห่วง เมื่อเธอเห็นว่าพ่อไม่ได้ปลุกเธอเพราะเหตุฉุกเฉิน เธอจึงขยี้ตาเบา ๆ พร้อมพูดว่า
“พ่อตื่นแล้วเหรอคะ หิวน้ำไหม เดี๋ยวหนูไปเอาน้ำมาให้นะคะ”
พ่อส่ายหัว
“ไม่เป็นไรหรอกลูก เสี่ยวเซ่วเอ๊ย พี่สองของลูกซื้อโจ๊กมาให้ ลูกรีบกินซะสิ เดี๋ยวมันจะเย็นเสียก่อน”
ฮันเซ่ลเพิ่งจะเห็นเย่เชียนจึงเรียกเขา “อ้าว พี่สอง พี่มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ทำไมไม่พักผ่อนอยู่ที่บ้านกันล่ะ” จากนั้น เธอก็หันไปบอกพ่อว่า “พ่อคะ หนูยังไม่หิว พ่อกินเถอะนะคะ”
“พี่ซื้อมาสองถุงน่ะ สำหรับพ่อกับเซ่ลคนละถุง” เย่เชียนพูดหลังจากนั่งดูทั้งสองเกี่ยงกันไปมาไม่ยอมกิน และพูดต่ออีกว่า “เสี่ยวเซ่ลกินเสร็จก็กลับบ้านไปพักผ่อนได้แล้ว เดี๋ยวพี่จะอยู่กับพ่อเอง”
“ไม่ค่ะพี่สอง หนูดูแลพ่อได้ดีกว่า พี่นั่นแหละที่ต้องกลับบ้านไปพักผ่อน” ฮันเซ่ลยังคงรั้นต่อ
เย่เชียนหัวเราะเบา ๆ กับความหัวรั้นของเธอ แล้วพูดต่ออย่างเอ็นดู
“เด็กโง่เอ๋ย พี่กับพ่อไม่ได้เจอกันตั้งแปดปีเชียวนะ เรามีเรื่องที่จะคุยกันตั้งเยอะตั้งแยะ เธอจะมาขัดเราสองคนเหรอ หืม ?”
ฮันเซ่ลยิ้มหวาน เธอเข้าใจสิ่งที่พี่สองพยายามจะสื่อจึงเลิกดื้อแล้วยอมกลับไปพักผ่อนที่บ้านตามที่เขาบอกอย่างว่าง่าย
“ค่ะพี่สอง ถ้าอย่างนั้นหนูไม่กวนแล้ว ฝากดูพ่อด้วยนะคะ”
หลังกินโจ๊กเสร็จ ฮันเซ่ลก็บอกลาพ่อ เย่เชียนเดินออกไปส่งเธอที่หน้าโรงพยาบาล จากนั้นเขาก็หยิบเงินสองพันหยวนออกมาจากกระเป๋าและส่งให้เธอ
“ตอนนี้มันก็ดึกมากแล้ว มันอันตราย เซ่ลนั่งแท็กซี่กลับบ้านนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะพี่สอง หนูมีเงินอยู่” ฮันเซ่ลพูดอย่างใสซื่อพร้อมกับปฏิเสธเงินที่พี่ชายยื่นให้
“เด็กโง่เอ๋ย พี่คือพี่ชายคนที่สองของเธอนะ เธอไม่ต้องมาเกรงใจอะไรพี่หรอก พี่อยากให้” เย่เชียนพูดไปยิ้มไปโดยไม่ปล่อยให้ฮันเซ่ลพูดตอบโต้ เขาโบกรถแท๊กซี่และบอกที่อยู่บ้านให้กับคนขับพร้อมทั้งกำชับคนขับให้ส่งน้องสาวของเขากลับบ้านโดยสวัสดิภาพ
เมื่อเห็นรถขับออกไป เขาก็เดินกลับเข้ามาในโรงพยาบาล
“เสี่ยวเชียนเอ๋อร์ อันที่จริงลูกก็ควรกลับไปกับน้องด้วยนะ พ่อไม่ต้องให้ใครมาเฝ้าหรอก” พ่อพูดขึ้นเมื่อเห็นเย่เชียนเดินกลับเข้ามาในห้อง
เย่เชียนยิ้มและพูดว่า
“แหมพ่อครับ เราสองคนไม่ได้เจอกันตั้งนาน ไม่คิดจะพูดคุยกันหน่อยเหรอ นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากมากเลยนะพ่อ”
“เฮ้อ… ก็จริง แต่น่าเสียดายที่ไม่มีเหล้ามาดื่มด้วยกัน” พ่อพูดพลางถอนหายใจ
เย่เชียนไม่รอช้า เขาหยิบขวดแก้วออกมาวาง ทั้งสองคนมองหน้ากันแล้วก็ยิ้ม ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าขวดแก้วนั่นมีอะไรบรรจุอยู่ข้างใน
ค่ำคืนของพ่อลูกก็ได้ผ่านไป เย่เชียนไม่รู้ตัวเลยว่าเขาเผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหน เขากับพ่อพูดคุยพลางดื่มกันอย่างมีความสุขเมื่อคืนนี้ แต่เพราะพ่อบาดเจ็บอยู่ ส่วนมากเย่เชียนจึงเป็นคนดื่มเสียมากกว่า และเมื่อวานเขาก็เมามากซึ่งมันอาจจะไม่ใช่แค่เหล้าเพียงอย่างเดียวที่ทําให้เขาเมาได้ขนาดนั้น
เมื่อเขาตื่นขึ้นมา เขาก็เห็นเสื้อกาวน์ของหมอคลุมตัวเขาอยู่โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าใครเป็นคนคลุมให้ เขาเงยหน้าขึ้นไปมองพ่อ และเมื่อเห็นว่าพ่อยังหลับอยู่ เขาจึงเดินออกไปข้างนอก
เย่เชียนเดินไปที่ห้องน้ำเพื่อล้างหน้าให้ตัวเองรู้สึกสดชื่นขึ้น น้ำเย็น ๆ กระทบกับใบหน้าทำให้เขาตื่นเต็มตาและรู้สึกดีขึ้นเล็กหน่อยจากอาการแฮงค์เหล้า ในขณะที่เขากำลังเดินกลับไปที่ห้อง มีนางพยาบาลคนหนึ่งเดินตรงมาหาเขา เมื่อมาถึงเธอก็หยุดยิ้มให้เขาและพูดขึ้นว่า
“ตื่นแล้วหรอคะ เมื่อคืนคุณหลับสบายไหม ?”
“ครับ ผมหลับสบายดี” เย่เชียนมองเธออย่างงุนงงขณะที่ตอบกลับไป
“งั้นฉันขอเสื้อคืนด้วยนะคะ” นางพยาบาลพูดก่อนจะยิ้มให้อีกรอบ
เย่เชียนตกอยู่ในความว่างเปล่า เขาตื่นมาจำอะไรไม่ได้เลย เขารู้แค่ว่านั่นเป็นเสื้อของหมอ แล้วทําไมนางพยาบาลถึงมาขอคืน ‘อย่าบอกนะว่าเธอเป็นคนเอามันมาคลุมให้กับเราเมื่อคืนนี้’ เขาคิดในใจ เมื่อสังเกตดี ๆ แล้ว เขาก็เห็นว่าเธอมีใบหน้าขาวผ่อง แก้มแดงระเรื่อ และรอยยิ้มที่แสนจริงใจ
หลินโรโร่ว ไม่เคยเห็นผู้ชายร้องไห้ฟูมฟายขนาดนี้มาก่อนเลย ในระหว่างเดินตรวจเวรตามปกติเมื่อคืน เธอเห็นเย่เชียนกับพ่อของเขาดื่มและพูดคุยกัน ในตอนแรกเธอโกรธมากและตั้งใจจะเดินเข้าไปเพื่อตักเตือนว่าทางโรงพยาบาลไม่อนุญาตให้นําเครื่องดื่มมึนเมาเข้ามาดื่ม แต่ไม่รู้ว่าทําไมเมื่อเธอมองเย่เชียนแล้วเธอกลับรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้มีความเจ็บปวดที่ฝังลึกไว้ในใจและผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มามากมาย เธอรู้ว่าการแอบฟังเป็นสิ่งไม่ดีแต่เธอก็ยืนเงียบ ๆ มองดูเย่เชียนร้องไห้จนกระทั่งเขาผล็อยหลับไป
เธอตัดสินใจนำเสื้อกาวน์เข้าไปคลุมให้เขา และเมื่อเธอจ้องมองใบหน้าอันหล่อเหลาที่มีแผลเป็นของเขา มือเธอก็เอื้อมไปลูบที่แผลเป็นนั้นอย่างไม่รู้ตัว เธอค่อนข้างแน่ใจว่าชายผู้นี้คงผ่านเรื่องราวมามากโขจริง ๆ
เย่เชียนยิ้มเขิน ๆ พร้อมพูดว่า
“เสื้ออยู่ในห้อง รอซักครู่นะครับ เดี๋ยวผมรีบไปเอามาคืนให้”
“อ๋อ ไม่เป็นไรค่ะ นี่ก็รอบตรวจของฉันพอดี เดี๋ยวเราเดินไปด้วยกันก็ได้” หลินโรโร่วพูดพร้อมกับเดินนำหน้าไป
เย่เชียนรู้สึกประหลาดใจเพราะเขาไม่เคยได้รับความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน ทั้งความกังวลเป็นห่วงและการดูแลเอาใจใส่ เย่เชียนจึงเป็นเสมือนเด็กชายที่น่ารักและเชื่อฟังไปอย่างง่ายดาย
“ครับ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลก่อนเดินตามเธอไป