“ผมแค่รู้สึกประหม่านิดหน่อยเท่านั้นเองไม่มีอะไรหรอก!” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้มที่เขินอายเล็กน้อย สวรรค์ชั้นฟ้าก็ยังมีทวยเทพและหลินโรวโร่วก็มีลุงของเธอ ลุงซูไห่คนนี้มีอำนาจมากที่สุดในบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ในครอบครัวเธอ สถานการณ์แบบนี้เป็นครั้งแรกสำหรับเย่เชียนและเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เขาจะค่อนข้างกระวนกระวายเล็กน้อย ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะเป็นถึงผู้นำของกลุ่มเขี้ยวหมาป่าก็ตามแต่เขาก็ใจเต้นเล็กน้อยเพียงเท่านั้นและแม้ว่าเขาจะค่อนข้างประหม่าแต่ก็ยังไม่ถึงขนาดที่ต้องกังวลอะไรมาก
ซูไห่ตกตะลึงเล็กน้อยและคิดกับตัวเองว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นคนตรงไปตรงมาอย่างไม่คาดคิด ซูไห่ก็ยิ้มให้เล็กน้อยและพูดว่า “จริงๆแล้วตอนที่โรวโร่วเริ่มอยากจะเป็นพยาบาลในเมืองเซี่ยงไฮ้นั้นผู้หลักผู้ใหญ่ที่บ้านต่างก็ไม่เห็นด้วยนัก อย่างไรก็ตามนิสัยของโรวโร่วนั้นคล้ายกับฉันนิดหน่อยที่ดื้อรั้นและไม่ยอมใคร ดังนั้นพวกเราจึงยอมให้โรวโร่วไปทำตามฝันของเธอ ฉันคิดว่าเธอคงรู้ภูมิหลังครอบครัวของโรวโร่วอยู่แล้วใช่ไหม”
เย่เชียนตกตะลึงเล็กน้อยเพราะเขาเองก็ไม่รู้ภูมิหลังครอบครัวของหลินโรวโร่วเลยเขาจึงยิ้มกลับและพูดว่า “ผมรู้มาบ้าง แต่ไม่มาก”
“จริงๆแล้วฉันกับป้าของโรวโร่วไม่ได้มีแนวคิดเกี่ยวกับครอบครัวของโรวโร่วเลยที่ว่าเธอจะต้องคบกับใครหรือแต่งงานกับใครมันก็เป็นเรื่องของคนหนุ่มสาวหน่ะในมุมของฉัน แต่อย่างไรก็ตามตระกูลหลินในมณฑลเจ้อเจียงนั้นถือได้ว่าเป็นตระกูลที่มีอิทธิพลอย่างล้นหลามและพ่อแม่ของโรวโร่วเองก็เข้มงวดเป็นอย่างมากพวกเขาให้ความสำคัญกับการแต่งงานของโรวโร่วอย่างถึงที่สุด” ซูไห่ยังพูดไม่จบเช่นเดียวกับข้าราชการระดับสูงๆและพวกขุนนางกับนายทหารยศสูงที่ส่วนใหญ่พวกเขาเหล่านั้นมักจะชอบที่จะหยุดกลางคันและไม่พูดจบประเด็นเสมอ
เย่เชียนเข้าใจความหมายในสิ่งที่ซูไห่พูดเป็นอย่างดี แต่ว่าถึงยังไงพวกเขาก็ยังคงต้องการคู่ที่เหมาะสมในทั้งในแง่ของสถานะทางครอบครัวที่ดีและสิ่งอื่นๆอีกหลายอย่าง และนี่ก็เป็นคำตอบเกี่ยวกับภูมิหลังครอบครัวของเขาเองโดยทางอ้อม อย่างไรก็ตามเย่เชียนเป็นคนที่มุ่งมั่นเสมอและในสายตาของเขาเองไม่ว่าจะเป็นเรื่องของฐานะครอบครัวหรือภูมิหลังของครอบครัวทรัพย์สินและตำแหน่งทางสังคมสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระสิ้นดี ดังนั้นเมื่อซูไห่พูดจบเย่เชียนก็ไม่พูดอะไรเพียงแค่นิ่งเงียบอย่างสงบและในขณะนั้นเขาก็แสร้งทำเป็นไม่รู้โดยพูดว่า “ผมจะไปเยี่ยมท่านพ่อตาและท่านแม่ยายที่เคารพด้วยตัวเองเมื่อผมมีเวลาครับ!”
คำพูดของเย่เชียนนั้นดูเหมือนเขาตบเข้าไปที่หน้าซูไห่อย่างไรความปราณี ซูไห่อดไม่ได้ที่จะตะลึงอยากมากเขาไม่เข้าใจจริงๆว่าชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูดจริงๆเหรอหรือว่าเด็กคนนี้โง่เกินกว่าที่จะทำความเข้าใจได้?
อาหารและเครื่องดื่มทั้งหมดก็ถูกเสิร์ฟมายังโต๊ะ เย่เชียนก็ลุกขึ้นรินไวน์ให้ซูไห่และเฉิงเฟิงเจิ้นพร้อมกับพูดว่า “คุณลุงครับ..ผมเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่ผมยังเล็ก..ผมไม่เคยเห็นหน้าผมไม่เคยพบพ่อกับแม่ผู้ให้กำเนิดผมมาเลย ผมตระหนักได้ถึงความยากลำบากในครานั้นมันฝังอยู่ในหัวของผมไม่เคยเลือนหาย..แต่ในท้ายที่สุดพวกเราก็ได้รับการอุปถัมภ์เลี้ยงดูจากชายชราที่เก็บขยะขายและผมก็เห็นเขาว่าเขาเป็นพ่อผู้ให้กำเนิดของผมมาโดยตลอด เขาไม่มีแม้แต่เงินหรืออิทธิพลใดๆเลย แต่เขาเป็นชายชราที่ใจดีที่สุดที่ผมเคยพบเจอมาและพวกเราทุกคนก็เรียกเขาว่าพ่อได้เต็มปาก พ่อรับเด็กมาอุปถัมภ์และมีลูกบุญธรรมทั้งหมดสี่คนและเด็กทั้งสี่คนนั้นมีสองคนที่ถือได้ว่าเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงของเมืองเซี่ยงไฮ้นี้ด้วย..พี่ใหญ่เป็นรองเสนาธิการอยู่ในเขตทหาร..ส่วนน้องสามเป็นอธิการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะรัฐ..และน้องเล็กเธอยังเรียนอยู่ในตอนนี้..ส่วนคนที่ไม่เป็นที่รู้จักใดๆเลยก็คือผม..ผมทำงานอย่างหนักหน่วงและไม่รู้เหนือรู้ใต้อะไรอยู่ในต่างแดนมาเป็นเวลาแปดปีในแถบตะวันออกกลาง..และคุณก็น่าจะทราบดีว่าสถานที่แถบนั้นอยู่ในช่วงสงครามและความโกลาหลอย่างดุเดือดไปทั่วทุกสารทิศ..จนผมคุ้นเคยกับชีวิตและความตายและถึงแม้ว่าผมจะไม่มีความสำเร็จอะไรใดๆเลย..แต่ผมขอสาบานว่าผมจะดูแลโรวโร่วให้ดีที่สุดเท่าที่ผมจะสามารถทำได้..นี่อาจจะเป็นเพราะว่าตั้งแต่ตอนที่ผมยังเป็นเด็กเล็กผมเจอความลำบากมามากมายนับไม่ถ้วน…ผมที่ไม่เคยสัมผัสแม้แต่สิ่งที่เรียกว่าประชาชนคนธรรมดาและสิ่งต่างๆที่ได้รับจากพ่อแม่ที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือนักธุรกิจต่างๆที่มีให้กับลูกๆของพวกเขาเลย เพราะเหตุนั้นผมจึงไม่เคยมีความประทับใจหรือความเข้าใจใดๆต่อผู้ที่สูงส่งเช่นนี้ แต่สำหรับคุณลุงและคุณป้าของโรงโร่วคุณทั้งสองเป็นผู้อาวุโสกว่าผมและผมก็เคารพคุณทั้งสองมาก แต่อย่างไรก็ตามความรักในครั้งนี้มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างโรวโร่วกับผมจึงไม่ควรมีใครมาขวางกั้นหรือกีดกันเราออกจากกัน….คุณลุงกับคุณป้าคิดอย่างไรกันบ้าง”
คำพูดของเย่เชียนนั้นไม่ได้หยิ่งผยองหรือเห็นแก่ตัวอะไรเลยน้ำเสียงและท่าทางการพูดของเขามีความหมายอย่างชัดเจนมากนั่นไม่ได้ขึ้นอยู่กับความจริงที่ว่าเพียงเพราะเขาทั้งสองจะเป็นลุงและป้าของหลินโรวโร่วแล้วจะเข้าไปยุ่งในเรื่องส่วนตัวของหลินโรวโร่วได้
ซูไห่และเฉิงเฟิงเจิ้นอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงอย่างสุดขีด แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ได้ยินความหวังดีและจริงใจจากคำพูดของเย่เชียนซึ่งเป็นคนที่อดทนอดกลั้นอยู่ในแถบตะวันออกกลางและทำงานอย่างหนักมาตั้งแปดปีในสถานที่แบบนั้น แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจก็คือความจริงที่เย่เชียนพูดเอาไว้ว่า ‘ไม่ควรมีใครมาขวางกั้นหรือกีดกันเราออกจากกัน’ นี่เป็นทัศนคติคนหนุ่มสาวมีต่อผู้อาวุโสของพวกเขาอย่างงั้นจริงๆเหรอ ในความเป็นจริงเย่เชียนนั้นสำหรับลุงและป้าทั้งสองนั้นพวกเขาก็ไม่ได้ชอบโปรดปรานและก็ไม่ได้เกลียดเย่เชียนเลย สำหรับเย่เชียนที่ไม่มีการโอ้อวดหรือหยิ่งผยองหรือวางท่าใดๆเหมือนที่พวกคนหนุ่มสาวในสมัยนี้มักจะทำกันในปัจจุบันนี้ และเมื่อพวกเขาทั้งสองมองดูเย่เชียนอย่างใกล้ชิดแล้วพวกเขาก็คิดว่าเย่เชียนได้โตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้วและต้องมีความสามารถและมีประสบการณ์ที่เขาไม่เคยเผยให้คนอื่นรู้อีกเป็นแน่และนอกจากนี้ร่างกายของเขาดูมีความเป็นสุภาพบุรุษที่สมบูรณ์แบบตามฉบับผู้ชายที่ดี..แต่ไม่เพียบพร้อม..
หลินโรวโร่วที่อยู่ข้างๆยังคงเงียบและนิ่งเธอเพียงจ้องมองไปที่เย่เชียนด้วยสายตาที่อบอุ่นอ่อนโยนและให้กำลังใจเขาผ่านสายตาของเธอและถึงแม้ว่าเย่เชียนจะเป็นเพียงแค่ผู้ชายที่แสนจะธรรมดาแต่ถึงยังไงเธอก็ยังคงรักเขาหมดหัวใจ เธอไม่ได้สนใจภูมิหลังทางครอบครัวหรือภูมิหลังส่วนตัวใดๆของเขาเลย เพราะถ้าหากว่าเธอใส่ใจในสิ่งเหล่านี้เธอก็คงจะไม่เลือกเย่เชียนตั้งแต่ตอนแรกแล้ว เพราะท้ายที่สุดแล้วเมื่อพิจารณาจากภูมิหลังครอบครัวและตัวตนของหลินโรวโร่วแล้วการหาผู้ชายหรือนายน้อยที่ร่ำรวยค้ำฟ้าหรือมีอิทธิพลและทรงอำนาจนั้นคงไม่ใช่เรื่องยากหากเธอต้องการจะหาจริงๆ
เย่เชียนยกแก้วไวน์แล้วลุกขึ้นยืนแล้วก้มโค้งยื่นแก้วให้เขาซูไห่จากนั้นก็พูดว่า “คุณลุงให้เกียรติดื่มกับผมสักนิด”
ซูไห่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะจากนั้นก็หยิบแก้วไวน์แล้วพูดว่า “เอ้า..ดื่ม”
หลังจากที่ใช้เวลาในการพูดคุยกันมานานสักระยะหนึ่งแล้ว แต่ซูไห่ก็ยังคงตกตะลึงไปกับหนุ่มน้อยคนนี้ได้อยู่เสมอ บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่พวกเขาเรียกกันว่าเสน่ห์อันน่าลุ่มหลงและเย่เชียนที่มีเสน่ห์อันเหลือร้ายเฉพาะตัวที่คนอื่นไม่มี
ในการพบกันครั้งนี้ซูไห่และเฉิงเฟิงเจิ้นเพียงต้องการทำความเข้าใจกับความเป็นมาของครอบครัวและภูมิหลังส่วนตัวของเย่เชียนเพียงเท่านั้นและตอนนี้เย่เชียนก็ได้บอกกับพวกเขาเกี่ยวกับภูมิหลังของเขาไปหมดแล้วซึ่งเป็นเรื่องปกติและดูน่าเวทนาเล็กน้อย ถึงกระนั้นพวกเขาก็รู้สึกว่ามันเหมือนกับว่าพวกเขายังไม่รู้อะไรเลยแม้แต่น้อยเกี่ยวกับเย่เชียน
ความล้มเหลวเพียงเล็กน้อยซูไห่และเฉิงเฟิงเจิ้นคิดเช่นนั้นและไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะคิดแบบนี้ และอย่างน้อยที่สุดชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าของพวกเขาไม่ได้เพรียบพร้อมเหมือนที่พวกเขาอยากให้เป็นเป็นและก็ไม่ได้เรียบง่ายเหมือนที่พวกเขาได้เห็น เพราะนี่คือสิ่งที่พวกเขารู้สึกและสัมผัสได้ในฐานะผู้มีประสบการณ์การทำงานในระบบราชการและสังคมชนชั้นสูงที่พวกเขาสั่งสมมานานหลายปี
การรับประทานอาหารค่ำได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการและเย่เชียนกับซูไห่ยังไม่หยุดดื่มไวน์กันอย่างอภิรมย์ เฉิงเฟิงเจิ้นจับมือของหลินโรวโร่วและกระซิบคุยกันบางอย่าง ชัดเจนว่าเฉิงเฟิงเจิ้นในฐานะป้าของเธอเขาต้องการรู้ข้อมูลเกี่ยวกับเย่เชียนจากปากของหลินโรวโร่วเอง อย่างไรก็ตามผลที่ตามมาทำให้เฉิงเฟิงเจิ้นรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเกี่ยวกับภูมิหลังของเย่เชียนเพราะหลานสาวของตัวเองก็ไม่ทราบอะไรเลยเหมือนกันเฉิงเฟิงเจิ้นไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีในขณะนั้น
ซูไห่ไม่สามารถทนต่อการชักชวนของเย่เชียนที่กระตุ้นให้เขาต้องดื่มไวน์ได้อีกต่อไปเพราะเขาดื่มมากเกินไปแล้ว และตัวเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเวลาที่เย่เชียนรินไวน์ให้เขาแล้วทั้งๆที่เขาอยากจะปฏิเสธเย่เชียนแต่สุดท้ายแล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะดื่มมันอยู่ดี
เย่เชียนก็ไม่ได้ดื่มมากเกินไปเพราะเขารู้ว่าอะไรที่เรียกว่าการหักโหม และหลังจากที่รินไวน์ให้ซูไห่ไปประมาณครึ่งแก้วเย่เชียนก็หยุดและยิ้มหวานๆและพูดว่า “ผมจองห้องที่โรงแรมเอาไว้แล้ว!”
“อะอ่ะ…” ซูไห่อดไม่ได้ที่จะสำลักไวน์ออกมา ส่วนป้าเฉิงเฟิงเจิ้นก็มีสีหน้าที่ยิ้มแย้มและเขินอายเล็กน้อย
ในด้านของหลินโรวโร่วนั้นเธอมองไปที่เย่เชียนด้วยสีหน้าที่เขินอายและอ่อนโยนด้วยใบหน้าที่แดงก่ำและคิดในใจว่า ‘ผู้ชายคนนี้กล้าที่จะพูดแบบนี้ต่อหน้าลุงและป้าของเธอได้อย่างไร?’ แต่ถึงยังไงหัวใจของหลินโรวโร่วก็เต็มไปด้วยความรู้สึกที่หวานหอมและอื่มเอมใจอย่างบอกไม่ถูก
.