ทางเหนือมีสโมสรเฮฟเว่นแอนด์เอิร์ธส่วนทางใต้มีสโมสรลาสดรีมเรดแมนชั่น เพราะในประเทศจีนนั้นมีสโมสรขนาดใหญ่ทั้งสามแห่งนี้และมันไม่สามรถเปรียบเทียบกันได้เลยเพราะทั้งหมดล้วนแล้วเป็นที่นิยมชมชอบพอๆกันทั้งสามแห่ง สโมสรลาสดรีมเรดแมนชั่นและเฮฟเว่นแอนด์เอิร์ธนั้นถูกสั่งปิดโดยรัฐบาลจีนและมีเพียงสโมสรเจิดจรัสเท่านั้นที่ยังคงยืนหยัดและไม่ล่มสลายลง และสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ก็ยังดูครุมเครือเพราะมีรายงานว่าประธานของสโมสรเจิดจรัสมีวิธีการพิเศษเพราะเนื่องจากลูกน้องของเขามีอิทธิพลไปทั่วประเทศจีน และยังมีข่าวว่าประธานของสโมสรเจิดจรัสมีประวัติอาชญากรรมเทียบเท่ากับพวกองค์กรมาเฟียระดับโลก แต่มันก็ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันต่างๆนาๆเพราะสุดท้ายแล้วก็ไม่มีอะไรที่พิสูจน์ได้เลย ดังนั้นภูมิหลังของประธานสโมสรเจิดจรัสและวิธีการและเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่และยังไม่ถูกเปิดเผย
ห้องของสโมสรเจิดจรัสแบ่งออกเป็นห้าชั้นซึ่งตั้งชื่อตามคุณธรรมทั้งห้าประการได้แก่,ความเมตตากรุณา, ความชอบธรรม, ความสุภาพ, ความฉลาดและความจริงใจ ตามลำดับและมันขึ้นอยู่กับสถานะของลูกค้าเพราะห้องทั้งหมดนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง หากคุณเป็นข้าราชการของรัฐอย่างมากคุณก็มีสิทธิได้ใช้ห้องเมตตากรุณาได้เท่านั้น ห้องระดับสูงสุดของสโมสรเจิดจรัสเคยถูกใช้เพียงครั้งเดียวนับตั้งแต่เปิดทำการมาเพราะในเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่ทหารใหญ่ชั้นนายพลมาเยี่ยมเยือน
ถึงแม้ว่าหวังปิงจะเป็นเจ้าหน้าที่ระดับเทศบาลเมืองแต่เซี่ยงไฮ้ก็ยังเป็นเมืองของฝ่ายบริหารระดับต้นๆของประเทศ ซึ่งเขาไม่สามารถเอาตัวเองลดลงไปเทียบกับข้าราชการทั่วไปได้เลย
แต่อย่างไรก็ตามหวังปิงไม่ใช่คนโอ้อวดและผยิ่งผยอง เขารักษาความเป็นตัวเองและถ่อมตนอย่างรอบคอบและถี่ถ้วนเพื่อรอโอกาสที่จะโค่นล้มศัตรูทางการเมืองของเขาให้สิ้น การทำงานอย่างหนักหน่วงของเขานั้นก็ได้ผลดีแก่ตัวเขาในที่สุดและไฟล์และเอกสารลับและบันทีกของอู่หยางเฉิงที่เขาได้รับจากเย่เชียนนั้นก็เป็นประโยชน์และช่วยเหลือเขาได้อย่างมากมาย อู่หยางเฉิงยังคงอยู่ระหว่างการสอบสวนทางวินัยในขณะที่ยังไม่ทราบผลและแม้ว่าอู่หยางเฉิงจะออกมาโดยไม่ได้รับโทษใดๆจากการสอบสวนทางวินัยก็ตาม แต่อาชีพทางการเมืองของเขาก็ไม่ได้ราบอื่นอีกต่อไปแล้วเพราะเขาทำได้เพียงแค่รอดูรอชมการแข่งขันการเลือกตั้งผู้ว่าเทศบาลเมืองเซี่ยงไฮ้ของพรรคอื่นๆได้เพียงเท่านั้น
ตั้งแต่ตอนที่เย่เชียนถูกจับไปหวังปิงก็รู้สึกตะหงิดใจเบาๆว่าเย่เชียนนั้นโชคดีอย่างไม่น่าเชื่อและตั้งแต่ตอนที่จ้าวเทียนห่าวเรียกประชุมคณะกรรมการของพรรคทั้งหมดในเมืองหวังปิงก็แอบสงสัยว่าเย่เชียนไม่คนง่ายๆธรรมดาๆอย่างที่หลี่ฮ่าวพูดและตลอดแปดปีที่ผ่านมานั้นจริงๆแล้วเย่เชียนทำอะไรอยู่ตลอดเวลานั้นกันแน่? และที่ไหน?..หวังปิงค่อนข้างอยากรู้อยากเห็นอย่างมาก และเมื่อเขาไม่มีทางเลือกเขาจึงใช้เครือข่ายของเขานับต่อนับไม่ถ้วนแต่ถึงยังไงมันก็ไม่มีอะไรคืบหน้าแม้แต่น้อยเขาไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับเย่เชียนเลย หวังปิงจึงรู้สึกว่าถ้าเขามีเย่เชียนเป็นพันธมิตรแล้วอนาคตทางการเมืองของเขานั้นเย่เชียนจะต้องช่วยเขาได้มากอย่างแน่นอน และเมื่อเขาได้ยินจากหลี่ฮ่าวว่าเย่เชียนตกลงที่จะพบปะกับตนนั้นหวังปิงจึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ตามเขารู้ว่าการพบปะในครั้งนี้เหตุผลต่างๆมันจะไม่ง่ายอย่างนั้นอย่างแน่นอนเพราะเย่เชียนจะต้องมีจุดประสงค์ในการยอมมาพบของเขาอย่างแน่นอน เพราะถ้าเขาไม่รู้จักเย่เชียนและไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรหรือศัตรูกับเขาก็ตามไม่ว่าจะทางไหนมันก็ไม่มีทางไหนที่ดีเลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตามหวังปิงนั้นอยู่ในระบบราชการและรัฐบาลมาหลายปีแล้วและเขาก็รู้ด้วยว่าโอกาสบางอย่างมันมักจะถูกซ่อนอยู่ท่ามกลางอันตรายและความเสี่ยงต่างๆและถ้าหากไม่กล้าหาญพอก็จะไม่สามารถคว้ามันเอาไว้ได้ และไม่ว่าจะดำเนินแผนการหรือเคลื่อนไหวใดๆและสิ่งต่างๆจะไปในทิศทางแบบไหนก็ตามแต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือต้องพบต้องรู้จักเย่เชียนก่อนเป็นอันดับแรก
การตกแต่งห้องหมายเลขสองของสโมสรเจิดจรัสแห่งนี้นั้นไม่ได้เลิศหรูอลังการแต่เผยให้เห็นถึงความสง่างามได้อย่างง่ายดาย เย่เชียนเดินเข้าไปในห้องและเห็นหวังปิงและหลี่ห่าวนั่งอยู่ในห้องนั้นอยู่แล้วพวกเขาหันหน้าไปทางหญิงสาวที่สวมชุดกีเพ้าและกำลังชงชาอยู่อย่างประณีตและจากนั้นก็รินชาจากกาที่เธอถืออยู่ไปยังถ้วยน้ำชาของทั้งสอง
เนื่องจากเย่เชียนไม่มีเวลาไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเขายังคงแต่งตัวเหมือนเมื่อคืนนี้ จากนั้นเย่เชียนก็ถอดแว่นกันแดดออกขณะที่เขาเดินเข้าไป เย่เชียนยิ้มเล็กน้อยและเดินไปหาหวังปิงและนั่งลงฝั่งตรงข้ามเขา เมื่อหวังปิงอยู่ที่นี่ด้วยเป็นธรรมที่หลี่ห่าวจะไม่กล้าที่จะเปิดประเด็นคุยก่อน ทางด้านหวังปิงก็เฝ้าดูการเคลื่อนไหวของเย่เชียนอย่างใจเย็นโดยไม่พูดอะไร เย่เชียนยังคงยิ้มทักทายหวังปิงอย่างใจเย็นด้วยสายตาที่ดูกระตือรือร้น
ตลอดเวลาที่ผ่านมาหวังปิงเห็นว่าการจ้องมองและสายตาของเย่เชียนนั้นปราศจากความกลัวและความกังวลใดๆเพราะใบหน้าของเขายังคงสงบและสุขุมอย่างยิ่งจึงทำให้หวังปิงก็อดไม่ได้ที่จะแอบหวั่นเกรงเล็กน้อย ตั้งแต่แรกเขาตั้งใจจะทำให้เย่เชียนรู้สึกกดดันเล็กน้อยแต่อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้คาดหวังว่าชายหนุ่มคนนี้จะไม่มีการตอบสนองๆต่อความหวั่นเกรงใดๆเพราะเขามีแต่ใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างสงบและมั่นคงอย่างยิ่งจนหวังปิงอดไม่ได้ที่จะชื่นชมเขาอย่างใจจริง “ดื่มชาก่อนสิ!” หวังปิงยื่นมือไปทางชาและพูดกับเย่เชียน
เย่เชียนมีการแสดงออกที่โผงผางมากเขายกถ้วยน้ำชาขึ้นแล้วเขาจิบชาอยู่สองสามอึกจากนั้นเขาก็ดื่มมันจนหมดในทีเดียวขณะที่ชาเดือดๆร้อนๆไหลตรงไปตามลำคอของเขา “ชาแดนมังกร..ชาชั้นดี!” เย่เชียนยิ้มอย่างนอบน้อมและพูดอีกว่า “ชาที่ดี..คนก็ต้องดี” เขาพูดพร้อมกับเหลือบมองไปที่พนักงานเสิร์ฟที่กำลังชงชาและยิ้มอย่างสบายใจ
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงไปชั่วขณะพวกเขาไม่ได้คาดคิดว่าเย่เชียนจะพูดคำแบบนั้นในโอกาสอย่างเป็นทางการเช่นนี้โดยไม่คาดคิด พนักงานเสิร์ฟชงชานั้นมักจะมีรอยยิ้มแบบมืออาชีพอยู่บนใบหน้าของพวกเธอเสมอเพราะเธอทำงานที่นี่เธอพบเจอลูกค้ามามากมายดังนั้นเธอจึงไม่ค่อยแปลกใจมากนัก หลี่ฮ่าวอดไม่ได้ที่จะแอบหยิกแขนเย่เชียน ส่วนหวังปิงก็ไม่ได้พูดแต่ก็ไม่เหมาะสมนักถ้าเขาจะตอบสนองต่อเหตุการณ์นี้ หวังปิงชะงักไปครู่หนึ่งแต่เขาก็ฟื้นคืนสติได้อย่างรวดเร็ว เขาไม่คิดว่าคำพูดของเย่เชียนนั้นจะเป็นการชื่นชมและชมเชยพนักงานเสิร์ฟ แต่เป็นการบอกใบ้บางอย่างเกี่ยวกับเขา
หลังจากชูมือและหันหน้าไปทางพนักงานเสิร์ฟและบอกเธอว่าเธอทำหน้าที่เสร็จแล้วออกไปก่อนได้จากนั้นหวังปิงก็ลุกขึ้นและยื่นมือของเขาออกไปและพูดว่า “ฉันขอแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการ..ฉันหวังปิง!”
“เย่เชียนครับ!” เย่เชียนยิ้มและจับมือของหวังปิงอย่างดูเป็นทางการ
“คุณเย่..คุณทำงานอะไรหรือ” หวังปิงถาม
“ผมรับจ้างชั่วคราวและทำหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดให้หัวหน้าเพื่อหาเลี้ยงชีพครับ” เย่เชียนพูดเบาๆ
หวังปิงชะงักเล็กน้อยและคิดว่ามันเป็นไปได้ไหมที่ว่าเย่เชียนเป็นเพียงเบี้ยของคนอื่นและมีผู้ที่มีอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่อยู่เบื้องหลังเขา? หรือนี่เป็นเพียงคำพูดที่เหลวไหลของเขา? “โอ้..ฉันไม่รู้ว่าหัวหน้าของคุณคือใคร..บอกฉันได้ไหมเผื่อฉันอาจจะรู้จักกับเขา?” หวังปิงยังคงถามต่อ
“คุณจ้าวเทียนห่าวประธานของบริษัทเทียนหยากรุ๊ป..ท่านรองผู้ว่าการหวังอาจจะไม่รู้จักเขา” เย่เชียนพูด
“ฉันรู้จักเขา..แน่นอนว่าฉันรู้จักคุณจ้าวเป็นอย่างดี เขาเป็นบุคคลสำคัญในโลกธุรกิจของเซี่ยงไฮ้เขามีส่วนช่วยอย่างมากต่อเศรษฐกิจของเมืองเซี่ยงไฮ้นี้” หวังปิงพูด อย่างไรก็ตามเขารู้ดีในใจว่าถึงแม้ว่าจ้าวเทียนห่าวจะมีอิทธิพลมากมายเซี่ยงไฮ้ ก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีความสัมพันธ์ใดๆกับอู่หยางเฉิงเลยเพราะว่าอู่หยางเฉิงนั้นมีความสัมพันธ์บางอย่างกับศัตรูของเทียนหยากรุ๊ป ซึ่งเป็นกลุ่มเครือบริษัทน่านฟ้า เพราะฉะนั้นจ้าวเทียนห่าวไม่สามารถติดต่อเป็นการส่วนตัวกับอู่หยางเฉิงได้เลย
“ฉันได้ยินมาจากเสี่ยวหลี่ว่าคุณเย่ก็เป็นคนเซี่ยงไฮ้เช่นกันแต่คุณออกจากเซี่ยงไฮ้ไปตอนที่คุณยังเป็นเด็ก แล้วแปดปีที่ผ่านมาคุณเย่ไปอยู่ที่ไหนมาหรือถึงได้รวยขนาดนี้?” หวังปิงถาม
เย่เชียนเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเสี่ยวหลี่นั้นหมายถึงหลี่ฮ่าว และเกี่ยวกับที่หลี่ฮ่าวบอกหวังปิงเกี่ยวกับความเป็นมาของเย่เชียน เย่เชียนก็ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้มากเกินไปเย่เชียนเพียงแค่ยิ้มและพูดว่า “รวยอะไรกัน..ผมไม่ได้รวยอะไรเลยผมแค่พอที่จะเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตัวเอง นั่นคือสิ่งที่ผมดิ้นรนอยู่ต่างแดนมาหลายปี แต่สุดท้ายแล้วผมก็รู้ตัวว่ามันไม่มีอะไรดีขึ้นเลย ผมก็เลยกลับมาสู่รากเหง้าของตัวเอง และผมก็เพิ่งจะกลับมาเมื่อสองสามวันก่อนนี้เอง”
.