เย่เชียนพูดง่ายๆแต่หวังปิงไม่คิดว่ามันจะง่ายขนาดนั้นจากมุมมองของเขาเย่เชียนกำลังซ่อนความลับบางอย่าง ส่วนความลับนั้นเป็นไปในรูปแบบไหนตนเองก็ไม่ทราบ
เย่เชียนหัวเราะเบาๆจากนั้นก็พูดว่า “ผมไม่รู้ว่าท่านรองผู้ว่าการหวังพอใจกับของขวัญที่ผมให้ไปครั้งที่แล้วหรือเปล่าครับ?”
หวังปิงผงะไปชั่วขณะ ของขวัญ? ทันใดนั้นเขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ว่าคนที่แอบเข้าไปในบ้านของเขาซึ่งได้วางแฟ้มเอกสารอาชญากรรมของอู่หยางเฉิงไว้บนโต๊ะข้างเตียงของเขาคือเย่เชียนอย่างงั้นเหรอ? แต่ตอนนั้นเขาควรจะอยู่ที่ห้องคุมขังของสถานีตำรวจไม่ใช่หรือ? แต่เมื่อมองไปที่การแสดงออกของเย่เชียนดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้พูดโกหกเลย เพราะถ้าไม่ใช่เย่เชียนที่ทำมันเขาจะรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร? หวังปิงยิ่งคิดเข้าไปใหญ่ว่าเย่เชียนไม่ใช่คนง่ายๆ หวังปิงนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งและเขาก็มีแผนบางอย่างในใจแล้ว
“ถ้าคุณเย่ไม่รังเกียจฉันขอเรียกคุณว่าเสี่ยวเย่จะได้มั้ย?” หวังปิงพูดอย่างเป็นกันเอง
“แน่นอนครับ” เย่เชียนตอบ
“เรากลับมาเข้าเรื่องกันดีกว่าเสี่ยวเย่..คุณเป็นพี่ชายคนที่สองของเสี่ยวหลี่เพราะฉะนั้นคุณไม่ใช่คนนอกอีกต่อไป วันนี้คุณนัดเจอฉันและฉันก็แน่ใจว่ามันต้องไม่ง่ายเหมือนการแลกเปลี่ยนของกันใช่มั้ย? หากคุณมีเรื่องอะไรจะปรึกษาพูดคุยตราบใดที่มันไม่ใช่เรื่องที่ละเมิดหรือผิดกฎหมายหรือสิ่งที่ผิดกฎหมายๆและตราบใดที่มันอยู่ในความสามารถของหวังคนนี้มันก็จะสำเร็จลุล่วงได้ด้วยดีอย่างแน่นอน” หวังปิงพูดอย่างแน่วแน่
“ที่จริงมันก็ไม่มีอะไรหรอก ถึงแม้ว่าผมเพิ่งจะกลับมาได้ไม่นานแต่ผมก็ได้ยินมาว่าท่านรองหวังเป็นข้าราชการที่ดีและมีเกียรติและซื่อสัตย์และน้องสามของผมก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากท่านรองหวังเช่นกันอาจพูดได้ว่าถ้าไม่ใช่เพราะท่านรองหวังแล้วล่ะก็น้องสามของผมก็คงไม่เป็นเขาอยู่ทุกวันนี้และนิสัยของน้องสามของผมก็ค่อนข้างตรงไปตรงมาและมีมารยาทมาก ดังนั้นที่ผมได้มาพบกับท่านรองหวังในวันนี้ก่อนอื่นเลยผมมาเพื่อขอบคุณท่านรองหวังที่ช่วยดูแลน้องสามของผมมาตลอดที่ผ่านมา และเหตุผลที่สองผมหวังว่าท่านรองหวังและผมเราจะมีสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกันมากขึ้น” เย่เชียนพูดอย่างน้อบน้อมจากใจจริง
หวังปิงเข้าใจได้อย่างเป็นธรรมชาติว่าเย่เชียนที่ขอบคุณเขาเพียงเพราะในนามของหลี่ห่าวและนั่นเป็นเพียงแค่เบื้องหน้าเท่านั้นเพราะสิ่งที่แท้จริงคือประโยคสุดท้ายที่เขาพูด “เอาหน่าๆ..มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เราต้องช่วยกัน..ถึงยังไงเราก็คนกันเอง” หวังปิงพูดพลางหัวเราะเบาๆ
จากนั้นเย่เชียนก็ยื่นภาพวาดที่อยู่ในมือของเขาให้หวังปิงและพูดว่า “ผมได้ยินมาว่าท่านรองหวังชอบศึกษาเกี่ยวกับภาพวาดแลประดิษฐ์อักษรและผมก็บังเอิญเคยซื้อภาพวาดโบราณถังป๋อหูแท้ๆจากพ่อค้าของโบราณมาพอดี และคนอย่างผมจะเข้าใจถึงการประดิษฐ์ตัวอักษรหรือภาพวาดได้อย่างไร..ดาบสองคมนั้นยังถูกมอบให้แก่วีระบุรุษและผมยังคงหวังว่าท่านรองหวังนั้นจะยอมรับสิ่งนี้จากผม”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ถังป๋อหู’ หวังปิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นเพราะถ้าผู้ใดที่ชื่นชอบการประดิษฐ์อักษรและภาพวาดโบราณล่ะก็และถ้าหากผู้นั้นได้ครอบครองถังป๋อหูของแท้ล่ะก็มันจะมีค่าเสียยิ่งกว่าเงินหลายล้านอีก แต่อย่างไรก็ตามหวังปิงเข้าใจว่าการยอมรับสิ่งสิ่งหนึ่งของคนคนหนึ่งอาจหมายถึงการที่จะต้องช่วยให้คนคนนั้นแคล้วคลาดจากหายนะ เพราะเมื่อเขารับของขวัญชิ้นนี้แล้วอาจหมายความว่าเขาและเย่เชียนจะอยู่บนเรือลำเดียวกันแล้วและไม่ว่ามันจะดีหรือแย่ถ้าเขาเลือกที่จะไม่ยอมรับมันนั่นก็หมายความว่าคำพูดที่เขาพูดก่อนหน้านี้ไม่ใช่อะไรที่น่ายินดีเลยแม้แต่น้อยและมันก็บ่งบอกด้วยว่าเขาวางตัวเองอยู่ฝั่งตรงข้ามของเย่เชียนในฐานะศัตรูของเขา
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งหวังปิงก็ยิ้มและหัวเราะเบาๆจากนั้นก็หยิบภาพวาดที่เย่เชียนมอบให้และพูดว่า “ถ้างั้นฉันก็รับไว้ด้วยความเคารพน้ำใจฮ่าฮ่า”
เย่เชียนก็ไม่ได้คิดอะไรมากเย่เชียนนั้นก็ชื่นชมรสนิยมของหวังปิงเล็กน้อยและเขาก็พยักหน้าและยิ้มให้หวังปิง
“มา..เรามาชาดื่มชากัน!” หวังปิงพูดพลางหัวเราะเบาๆ เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาเดิมพันในครั้งนี้นั้นมันถูกหรือผิด แต่ชีวิตของคน ๆหนึ่งมันคือการเดิมพันอยู่แล้วและเขาก็ต้องการใช้อาชีพทางการเมืองของตัวเองทั้งหมดในการเสี่ยงโชคเพื่อเดิมพันในครั้งนี้ และถ้าหากสิ่งที่เขาเดิมพันนั้นถูกต้องล่ะก็ในอนาคตภายภาคหน้าในอาชีพของเขาก็จะรุ่งเรืองและรุ่งโรจน์และเขาจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้สูงยิ่งขึ้นเข้าไปอีก แต่ถ้าหากเขาเดิมพันผิดล่ะก็เขาก็จะหวนคืนสู่มามัญ แต่เขานั้นรู้ตัวดีว่าเขากำลังทำอะไรและอะไรที่ทำได้และอะไรที่ไม่ควรก้าวข้าม…
★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★
เย่เชียนพึงพอใจมากกับการพบกับหวังปิงในครั้งนี้ถึงแม้ว่าจะไม่มีอะไรคืบหน้ามากนักแต่สิ่งที่เขาหว่านเมล็ดเอาไว้ก็ไม่ได้น้อยเช่นกัน อย่างน้อยที่สุดหวังปิงก็บอกใบ้ถึงการให้ความร่วมมือของเขาด้วยวาจาจากเจ้าตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และตราบใดที่เขาเข้าใจมันได้อย่างถูกต้องแล้วในอนาคตภายภาคหน้าจากนั้นเขาก็พาหวังปิงเดินไปบนเส้นทางของเขาและหวังปิงก็ต้องพึ่งพาเขาและเขาก็ต้องพึ่งพาหวังปิงและอยู่ข้างเขาอย่างสมบูรณ์และทุกๆอย่างมันก็จะไม่ใช่เรื่องไร้สาระอีกต่อไป
หลังจากที่ส่งหวังปิงออกไปจากร้านด้วยความเคารพแล้วเย่เชียนก็กลับเข้าไปในห้องส่วนตัวอีกครั้งและนั่งลง เขาเรียกพนักงานเสิร์ฟมาให้ชงชาให้เขาดื่มจากนั้นก็เอนกายพิงโซฟสูบบุหรี่แล้วอย่างผ่อนคลาย ปัญหาหลักๆได้รับการแก้ไขโดยเฉพาะหน้าไปแล้ว เย่เชียนควรจะเริ่มพิจารณาแผนขั้นต่อไป แต่อย่างไรก็ตามเขายังคงเป็นผู้นำสูงสุดของเหล่าเขี้ยวหมาป่าและหัวหน้าใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังของเครือบริษัทน่านฟ้ากรุ๊ป และตัวเขาเองก็ไม่ต้องการปล่อยให้ลูกน้องของเขาจัดการกับทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมดด้วยตัวของพวกเขาเพราะเขายังคงต้องการนำทิศทางของการพัฒนาส่วนใหญ่ให้กับลูกน้องและเขาก็สามารถทิ้งรายละเอียดไว้ให้ลูกน้องจัดการได้และเขาก็ไม่จำที่จะเป็นต้องดูแลทุกอย่างเองด้วยตัวเอง
“คุณทำงานที่นี่มานานแค่ไหนแล้ว?” เย่เชียนถามพลางเหลือบมองพนักงานเสิร์ฟที่กำลังชงชาให้เขา ถึงแม้ว่าเขาจะเพิ่งกลับมาเมื่อไม่นานมานี้แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเย่เชียนจะไม่ทำอะไรเลย เพราะเขี้ยวหมาป่าต้องการใช้เมืองเซี่ยงไฮ้เป็นรากฐานของการพัฒนาแห่งใหม่ของพวกเขาในประเทศจีนนี้ด้วยวิธีการทำความเข้าใจกับพลังและอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่ของเมืองเซี่ยงไฮ้เพราะมันเป็นสิ่งสำคัญที่สุด และเย่เชียนก็รู้ว่าประธานสโมสรเจิดจรัสแห่งนี้มีอำนาจที่ยิ่งใหญ่อย่างกว้างขวางมากในเมืองเซี่ยงไฮ้แห่งนี้หรือแม้แต่ทั่วประเทศจีนเลยด้วยซ้ำ เย่เชียนยังรู้สึกได้ว่าลาสบอสที่ซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ดูเหมือนจะค่อนข้างคล้ายกับตัวของเขาเองที่ลึกลับและยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง นั่นเป็นเหตุผลที่เย่เชียนต้องการลองดูว่าจะเป็นไปได้ไหมที่ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากพนักงานเสิร์ฟที่สโมสรแห่งนี้
“ห้าปีค่ะ!” พนักงานเสิร์ฟตอบ
“ห้าปีนี่ไม่เลวเลย..สวัสดิการหรือเงินเดือนของที่นี่จะต้องดีเลยทีเดียว?” เย่เชียนยิ้มและใช้น้ำเสียงที่เรียบง่ายเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับชีวิตของเธอ
เธอทำงานในสถานที่แห่งนี้มาสักระยะหนึ่งแล้วและได้พบเห็นผู้มีอิทธิพลมากมาย แต่ไม่มีใครวางตัวเรียบง่ายและเป็นกันเองเหมือนเย่เชียนมาก่อนเลย ในสายตาของเธอนั้นการที่มีแขกที่มาและทำตัวเรียบง่ายสบายๆและเป็นกันเองกับพนักงานธรรมดาๆอย่างเธอนั้นเธอจึงคิดว่าเย่เชียนจะต้องเป็นคนที่มีภูมิหลังที่แข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัยเลย และบรรดาแขกที่เธอเคยพบเจอมาซึ่งคนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเย่เชียนหลายคนล้วนโอ้อวดและหยิ่งผยองต่างก็ใช้บุญบารมีของพ่อและแม่ทั้งนั้น แต่เย่เชียนเป็นคนที่สงบเสงี่ยมสุขุมและเรียบง่ายซึ่งทำให้เธอสามารถพูดถึงชีวิตและความเป็นมาของเธอได้อย่างเป็นธรรมชาติและเธอก็รู้สึกสบายใจมากและรู้สึกดีที่ได้พบเจอคนอย่างเย่เชียน
“ใช่แล้ว..แต่คุณก็คงจะทราบดีว่านิสัยใจคอของผู้มีอิทธิพลนั้นค่อนข้างคาดเดาได้ยากเลยทีเดียว มันจึงลำบากใจในการรับใช้พวกเขาในบางครั้งน่ะ” เพราะหัวใจของเธอรู้สึกผ่อนคลายได้มากจึงทำให้ลักษณะการพูดของเธอดูสนุกสนานและสบายใจมากขึ้น
เย่เชียนหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “ผมไม่ใช่คนที่มีอิทธิพลอะไรเลย..คุณทำงานที่นี่มาตั้งห้าปีแล้วถ้างั้นคุณก็ต้องรู้จักที่นี่ดีใช่มั้ยล่ะ..ผมไม่รู้ว่าประธานของคุณเขาเป็นคนแบบไหนถึงได้สามารถเปิดสถานที่ผักผ่อนหย่อนใจที่ใหญ่โตขนาดนี้ได้..คุณเคยเห็นเขามั้ย?”
“ไม่เคยเลย..อย่าว่าแต่ฉันที่ไม่เคยเลยเพราะแม้แต่ผู้จัดการของเราก็ยังไม่เคยเห็นเลยว่าประธานเป็นยังไงและก็ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าประธานเขาเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงน่ะ” พนักงานเสิร์ฟตอบอย่างตรงไปตรงมา
เป็นเรื่องธรรมดาที่ยิ่งลึกลับมากเท่าไหร่เย่เชียนก็จะยิ่งสนใจมันมากขึ้นเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามถ้าหากเขาต้องการที่จะพบกับลาสบอสที่อยู่เบื้องแห่งความยิ่งใหญ่อันโชติช่วงนี้ล่ะก็เขาเกรงว่าอาจจะต้องใช้กลยุทธ์และวิธีการบางอย่างเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย แต่ถึงอย่างไรก็ตามเย่เชียนยังไม่สามารถใช้กลยุทธ์และวิธีการเหล่านั้นได้ และยิ่งไปกว่านั้นเย่เชียนก็แทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับลาสบอสคนนั้นเลย เขาจึงไม่ต้องการปลุกปั่นความโกรธและโทสะของลาสบอสคนนี้เพียงเพราะความผิดพลาดของเขาเอง
.