เนื่องจากพนักงานเสิร์ฟไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์เลยเย่เชียนจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องกลับไปอย่างผิดหวัง แต่เขาก็ไม่ได้สังเกตว่าในขณะที่เขากำลังจะเดินออกไปนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ที่ชั้นบนสุดของสโมสรและกำลังจ้องมองเขาผ่านกระจกด้วยสายตาที่ดูคาดหวังขณะที่เธอพึมพำกับตัวเองว่า “เย่เชียน..ฉันหวังว่าคุณจะไม่ทำให้ฉันผิดหวังนะ”
หลังจากที่ออกจากสโมสรแล้วเย่เชียนก็รู้สึกเบื่อหน่ายและแม้ว่าตอนนี้เขาจะทำหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดแต่เขาก็ค่อนข้างขาดความรับผิดชอบเช่นกัน เขาเรียกแท็กซี่เพื่อไปที่มหาวิทยาลัยเพราะเย่เชียนจำได้ว่าตอนนี้เขายังเป็นนักเรียนอยู่และหน้าที่ของของเขาในตอนนี้ก็คือการปกป้องจ้าวหยานั้นแต่ตอนนี้จ้าวหยาก็ไม่ได้มีปัญหาหรือตกอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงอะไรใดๆ เขาก็เลยคิดว่าตัวตนของเขาในฐานะนักเรียนนักศึกษานั้นอาจจะไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว
อย่างไรก็ตามเมื่อเขาลองคิดไปคิดว่าภายในมหาวิทยาลัยแห่งนี้มีก็ผู้หญิงสวยๆมากมายและเย่เชียนเองก็ยังต้องการสัมผัสชีวิตในมหาวิทยาลัยอยู่ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะทำแบบนี้ต่อไป
ชีวิตในมหาวิทยาลัยนั้นไม่ได้เข้มงวดมากนักเพราะนักเรียนนักศึกก็ค่อนข้างผ่อนคลายและคลายเครียดได้และให้อิสระเสรีภาพของนักเรียนค่อนข้างสูง และเมื่อเย่เชียนมาถึงมหาวิทยาลัยมันก็เป็นเวลาพักเที่ยงแล้วและเย่เชียนก็ตบหน้าตัวเองเบาๆเล็กน้อยและเขาก็คิดว่าเขาลืมเข้าเรียนในคลาสของฉินหยูไปซะแล้วเขาจึงเดินไปที่ออฟฟิศห้องทำงานของฉินหยู
และหลังจากเคาะประตูก็มีเสียงของฉินหยูดังขึ้นมาจากข้างในว่า “เข้ามา!”
เย่เชียนเดินเข้าไปอย่างช้าๆและไปยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของฉินหยูและนั่งลงช้าๆพร้อมกับยิ้มแหยงๆและหัวเราะกลบเกลื่อนจากนั้นก็พูดว่า “อาจารย์ฉินครับ..ผมไม่ได้เข้าคลาสเรียนเมื่อเช้านี้..ไม่ทราบว่าผมสามารถเข้าเรียนชดเชยหรืออะไรได้บ้างไหมครับ?”
ฉินหยูมองเขาและพูดว่า “ดูเหมือนว่าเธอจะลืมตัวตนของเธอไปแล้วสินะ”
“ไม่ๆ..ผมไม่ได้ลืม” จากนั้นเขาก็พูดต่ออย่างจริงจังว่า “อ๋อ..ผมไม่ใช่นักเรียนธรรมดาๆ..แต่ผมเป็นนักเรียนของอาจารย์ฉินที่แสนงดงามและเพรียบพร้อมใช่มั้ย”
“ฉันไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้!” ฉินหยูรู้สึกหมดหนทางกับท่าทีที่ขี้โกงของเย่เชียน แต่เธอก็ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงไม่สามารถโกรธเขาได้เลย
“เอ้าไม่ใช่หรอกเหรอ” เย่เชียนงุนงงไปชั่วครู่จากนั้นเขาก็นึกได้และพูดว่า “อ๋อ..ผมยังคงเป็นบอดี้การ์ดของคุณและจ้าวหยาอยู่..ใช่ๆผู้คุ้มกันฮ่าฮ่า!” เย่เชียนฝืนหัวเราะอย่างโง่เขลาและเกาหัวตัวเอง
“หึ!..เธอคงรู้ตัวสินะว่าเมื่อคืนเธอไปไหนมาทั้งคืนและเธอก็ไม่ได้กลับบ้านมา..เธอไม่กังวลเลยสินะว่าจะมีคนไม่ดีมาทำร้ายฉันและหยาเอ๋อน่ะ” เมื่อคิดถึงสิ่งที่ผู้ชายนี้อยู่ข้างนอกตลอดทั้งคืนฉินหยูก็รู้สึกโกรธเคืองอย่างมาก บอดี้การ์ดหรือผู้คุ้มกันจะทำตัวผ่อนคลายและสบายใจลอยหน้าลอยตาเช่นนั้นได้อย่างไร?
หลังจากที่เย่เชียนได้ยินสิ่งที่ฉินหยูพูดแล้วและเมื่อยิ่งฟังมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรู้สึกผิดมากเท่านั้นเขาจึงพูดออกมาว่า “หยูหยู่..ทำไมผมรู้สึกถึงความหึงหวงในคำพูดของคุณราวกับว่าคุณกำลังรอให้สามีคนนี้กลับบ้านเลยล่ะ..นั่นก็เพราะว่าสามีคนนี้อยู่กับนายหญิงของเขาทั้งคืนยังไงล่ะ..ถึงอย่างงั้นคุณยังจะชอบผมอยู่มั้ย”
ฉินหยูตกตะลึงไปชั่วครู่เมื่อเธอนึกถึงคำพูดของเธอเมื่อไม่นานมานี้และมันดูเหมือนว่าคำพูดของเธอมันฟังดูครุมเครือและมันทำให้เข้าใจผิดจริงๆ “ฉันชอบเธองั้นหรอ? อย่าลืมสิว่าเธอเป็นแค่บอดี้การ์ดของฉันและเธอก็ยังต้องชดใช้หนี้ของเธออีกด้วย” ฉินหยูพูดอย่างขุ่นเคือง
“ความจริงผมไม่ได้มาที่เพื่อจะแก้ตัวอะไรหรอก” เย่เชียนยิ้มอย่างอ่อนโยนและหยิบกล่องผ้าออกมาจากกระเป๋าเสื้อและยื่นให้เธอพร้อมพูดว่า “นี่สำหรับคุณ..สุขสันต์วันเกิดนะ”
ฉินหยูอดไม่ได้ที่จะหัวใจสั่นหวั่นไหว เธอจ้องมองเย่เชียนด้วยความประหลาดใจกับและถามว่า “เธอรู้ได้ยังไงว่าวันนี้เป็นวันเกิดของฉัน”
“มันไม่สำคัญหรอกว่าผมจะรู้ได้ยังไง” เย่เชียนตอบ
ฉินยูหยิบกล่องผ้าจากมือของเย่เชียนและเปิดมันออกและเธอก็ตกใจมากที่เห็นว่าข้างในเป็นเครื่องประดับจากการประมูลในวันนั้นมันเป็นสร้อยคอเพชรดวงดาวแห่งความรักที่เหว่ยเฉิงหลงชนะการประมูล เมื่อเธอเห็นมันเธอรู้สึกได้ถึงน้ำตาที่มันเอ่อล้นอยู่ข้างในแถบจะระเบิดออกมาและหัวใจของเธอก็เต้นรัวมากจากนั้นเธอก็ถามว่า “สร้อยเส้นนี้ไม่ใช่ของเหว่ยเฉิงหลงหรอ..เธอได้มันมาได้ยังไง?” ฉินหยูถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
“เมื่อคืนผมไปที่บ้านของเหว่ยเฉิงหลงและยืนรอเขาทั้งคืนและรอนานมากกว่าเขาจะมาและเมื่อเขามาถึงผมก็เข้าไปหาเขาและคุยกับเขาอย่างลูกผู้ชายแต่ผมก็ไม่คิดว่าเขาจะยอมมอบสร้อยเส้นนี้ให้กับผมจริงๆและไม่ได้เรียกร้องเงินอะไรเลยด้วยซ้ำ” เย่เชียนตอบอย่างง่ายๆ
แต่ฉินหยูนั้นคิดว่าเรื่องนี้มันไม่ได้ง่ายอย่างนั้นเพราะเหว่ยเฉิงหลงเป็นคนแบบไหนนั้นฉินหยูรู้เป็นอย่างดีเพราะว่าเขาใช้เงินตั้งสิบห้าล้านหยวนไปกับสร้อยคอเส้นนี้ เพราะฉะนั้นเขาจะมอบมันให้กับเย่เชียนง่ายๆแบบนี้เชียวเหรอ? ถึงอย่างไรก็ตามเธอไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าเย่เชียนจะได้สร้อยคอเส้นนี้มาหลังจากงานราตรีในคืนนั้น และเมื่อเธอคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่เย่เชียนไปหาเหว่ยเฉิงหลงเมื่อคืนนี้สิ่งที่เขาพูดว่าคุยกันอย่างลูกผู้ชายมันอาจมีความรุนแรงหรือเบื้องหลังบางอย่างแน่นอน ซึ่งมันทำให้เหว่ยเฉิงหลงถึงกับต้องยอมมอบสร้อยคอนี้ให้แก่เย่เชียน สร้อยคอเส้นนี้มีมูลค่าตั้งสิบห้าล้านหยวนแต่เย่เชียนเพิ่งจะมอบมันให้เธอเป็นของขวัญและนอกจากนี้ผู้ชายคนนี้ยังรู้ว่าวันเกิดของเธอคือเมื่อไหร่และวันไหนอีก เพราะเหตุนี้ใช่ไหมเขาจึงพยายามแสวงหาสร้อยคอนี้มาโดยตลอดเพื่อที่จะมอบให้ตัวเธอเอง ฉินหยูจึงรู้สึกประทับใจและตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก
เพราะฉะนั้นในตอนนี้เธอจึงไม่กังวลว่าสักวันหนึ่งเหว่ยเฉิงหลงจะมาคุกคามเย่เชียนเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกแล้ว เพราะถ้าหากเหว่ยเฉิงหลงกล้าแตะต้องแม้แต่เส้นผมของเย่เชียนแล้วล่ะก็เธอสัญญากับตัวเองว่าเธอจะทำให้เหว่ยเฉิงหลงตายทั้งเป็น ก็เพราะเหว่ยเฉิงหลงไม่สามารถปกป้องสิ่งของของตัวเองได้และเขาก็ไม่สามารถโทษใครอื่นได้นอกจากตัวเขาเอง และเย่เชียนก็ได้มอบสร้อยคอเส้นนี้ให้กับเธอเป็นของขวัญแล้ว และใครจะกล้าคิดล่ะว่ามันถูกขโมยไป?
“ขอบคุณนะ!” ฉินหยูพูดด้วยความตื้นตันใจและทันใดนั้นเธอก็รีบลุกขึ้นและจูบไปที่แก้มของเย่เชียนในทันที
เย่เชียนไม่ได้คาดหวังว่าฉินหยูจะจูบเขา ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะชะงักไปชั่วครู่ และเมื่อเขาเอามือไปสัมผัสกับแก้มตัวเองที่ฉินหยูจูบเขาเย่เชียนก็ตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ
“บ่ายนี้เธอยุ่งหรือมีอะไรหรือเปล่า..หลังเลิกเรียนไปฉลองวันเกิดกับฉันได้มั้ย” น้ำเสียงของฉินหยูดูอ่อนโยนอย่างผิดปกติและแตกต่างจากตัวตนที่แสนเย็นชาของเธออย่างสิ้นเชิง
เย่เชียนไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของฉินหยูได้ เขารู้สึกว่าเขาชอบฉินหยูที่ดูเย็นชามากกว่า และฉินหยูก็ไม่รู้ว่าเย่เชียนกำลังคิดเช่นนี้กับเธออยู่มิฉะนั้นเธอคงจะจะสาปแช่งเขาอย่างแน่นอน และเย่เชียนก็ตระหนักถึงสิ่งที่เขาสัญญากับหลินโรวโร่วว่าจะไปบ้านของเธอในคืนนี้มันจึงทำให้เย่เชียนรู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างมาก เพราะความรู้สึกของเขาที่มีต่อหลินโรวโร่วนั้นแตกต่างจากผู้หญิงคนอื่นๆและหัวใจของเขาก็ไม่สามารถถูกแทนที่ได้ดวยผู้หญิงคนอื่นพร้อมกับหลินโรวโร่วในใจของเขา
เมื่อเธอเห็นการแสดงออกที่ดูน่าอึดอัดลำบากใจของเย่เชียนแล้ว ฉินหยูก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังจากนั้นเธอก็พูดว่า “งั้นไม่เป็นไร..ฉันกับหยาเอ๋อและเค่อเอ๋อเราฉลองกันเองได้..ถ้าเธอมีธุรก็ไม่ต้องมาก็ได้” น้ำเสียงของฉินหยูกลับไปสู่ความเย็นชาอีกครั้ง
เย่เชียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “เอาไงดีล่ะ..ถ้างั้นหลังเลิกเรียนคุณพาพวกเธอไปเดินเล่นที่ไหนสักแห่งก่อนก็ได้..และก่อนเอิ่ม….สามทุ่ม..คุณก็กลับมาบ้านอีกทีหลังสามทุ่มได้มั้ย?”
ฉินหยูมองเย่เชียนด้วยความประหลาดใจและถามว่า “เธอมีแผนบ้าอะไร?”
“ฮ่าฮ่า..เอาหน่าไม่ต้องห่วงแค่ทำตามคำขอของผมก็พอแล้ว” เย่เชียนตอบอย่างครุมเครือ
“ก็ได้!” ฉินหยูคิดสักพักแล้วพยักหน้า
เย่เชียนแบมือออกมาและพูดว่า “ขอกุญแจรถของคุณหน่อยสิ..ให้ผมยืมรถของคุณช่วงบ่ายได้มั้ย”
ฉินหยูอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ลึกลบของเย่เชียนมาก แต่เธอไม่ใช่คนประเภทที่จะเล้าหลือเซ้าซี้ถามมาก แต่อย่างไรก็ตามเธออยากรู้ว่าความคิดของเย่เชียนในคืนนี้คืออะไรและไม่มีอะไรที่ต้องกังวลมากนัก
.