เมื่อเทียบกับผู้หญิงทั้งสามแล้วฉินหยูมีมารยาทบนโต๊ะอาหารมากที่สุด แต่เมื่อเทียบกับช่วงเวลาที่แสนสงบสุขแล้วแต่ก็ยังคงมีความตรึงเครียดอยู่บ้างเล็กน้อย และเย่เชียนก็ทานอาหารที่บ้านของหลินโรวโร่วมาก่อนแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่หิวเท่าไหร่ เขาเพียงหมกมุ่นอยู่กับการเฝ้าดูการแสดงออกและปฏิกิริยาและพฤติกรรมการกินที่บ้าคลั่งของคนทั้งสี่ตรงหน้าเขา
“เย่เชียนคะ..ทำไมคุณถึงทำอาหารเก่งขนาดนี้ล่ะ..คุณไม่ได้เรียนหลักสูตรทำอาหารเฉพาะทางมาใช่มั้ยคะ?” หูวเค่อถามขณะที่เธอยังคงยัดอาหารเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย
“ไม่หรอก..ผมทำได้แค่บะหมี่เต้าเจี้ยวและอาหารแคริบเบียนพวกนี้เท่านั้น..ผมไม่ได้ศึกษาหรืออะไรเลย..อาจเป็นเพราะตอนเด็กๆผมหิวโหยและอดอยากมามากน่ะ..ผมก็เลยหัดทำอาหารเมื่อโตขึ้น” เย่เชียนพูดอย่างเรียบง่าย
หลังจากตอบคำถามเสร็จเย่เชียนก็รินไวน์แดงให้ฉินหยูและคนอื่นๆและเมื่อเขากำลังจะรินให้ฉินเฟิงนั้นฉินหยูก็พูดขึ่นมาว่า “เขายังเด็กอยู่..อย่ารินให้เขาเลย”
ฉินเฟิงอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “พี่..ผมอายุตั้งยี่สิบแล้วผมจะเป็นเด็กได้ยังไง”
“วันนี้เป็นวันเกิดของคุณ..มันเป็นวันพิเศษ..ให้เขาดื่มนิดดื่มหน่อยคงไม่เป็นไร” เย่เชียนยิ้มอ่อนๆและพูด
“แก้วเดียวเท่านั้นนะ” ฉินหยูพูดกับฉินเฟิงหลังจากที่เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
ฉินเฟิงหัวเราะอย่างซุกซนและยิ้มให้เย่เชียนด้วยความขอบคุณ
“สุขสันต์วันเกิด!” เย่เชียนยกแก้วไวน์ขึ้นและโบกมือให้ฉินหยูขณะที่เขาพูด
“ขอบคุณนะ!” ฉินหยูยิ้มอย่างอ่อนโยนและชนแก้วของเธอกับเย่เชียนส่วนคนอื่นๆก็ยกแก้วขึ้นและอวยพรวันเกิดให้เธอพร้อมๆกัน
หลังจากอาหารค่ำเย่เชียนก็นำเค้กที่ซื้อมาจากร้านเบเกอรี่ออกมาเพื่อให้เธอขอพรและเป่าเทียน
พวกเธอกินเค้กไม่มากนักเพราะส่วนใหญ่พวกเธอใช้เวลาไปกับการเล่นและหยอกล้อกัน ใบหน้าและร่างกายของพวกเธอเลอะไปด้วยครีมจากเค้ก ยกเว้นฉินเฟิงแต่คนที่สนุกที่สุดน่าจะเป็นฉินเฟิงเพราะเขาไม่สามารถดื่มแอลกอฮอลอย่างอื่นได้เขามีเพียงไวน์แดงเท่านั้นและตอนนี้เขาก็เมามากเขาดึงเย่เชียนเข้ามาหาเขาและเริ่มคุยโอ้อวดเกี่ยวกับเรื่องไร้สาระต่างๆนาๆ พร้อมเรียกเขาว่า ‘พี่เขย’ อย่างง่ายดายและการถูกเรียกนั้นทำให้เย่เชียนมีความสุขมาก และในท้ายที่สุดฉินเฟิงก็เดินออกไปที่โซฟาและเมาหมดสติอยุ่ตรงนั้น
เมื่อเห็นท่าทางที่เมาอย่างุนงงของฉินเฟิงนั้นเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะและคิดว่าเด็กคนนี้ไม่ได้น่ารำคาญอย่างที่คิดเลยเขาน่ารักมาก อาจเป็นเพราะเขาได้เติบโตมาในครอบครัวที่ร่ำรวยและมีฐานะดังนั้นเขาจึงกลายเป็นคนหยิ่งผยองเล็กน้อยแต่ลึกๆแล้วเด็กแบบนี้ก็มีช่วงเวลาน่าสงสารอยู่เช่นกัน
เย่เชียนก็ดื่มมากจนหัวเราะและเริ่มวิ่งเล่นกับหญิงสาวทั้งสาม แต่เมื่อเทียบกับผู้หญิงคนอื่นๆแล้วเย่เชียนก็แอบคิดในใจว่า ‘เขากำลังก่ออาชญากรรมหรือเปล่า’ เป็นสถานการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉินหยูก็ไม่เหมือนกับตัวเองตามปกติของเธอที่เป็นดั่งราชินีแห่งภูเขาน้ำแข็งพันปีเพราะตอนนี้เธอเหมือนเด็กนักเรียนตัวเล็กๆที่น่ารักและร่าเริง ส่วนจ้าวหยาเธอก็เมาหนักถึงขั้นดึงเย่เชียนมากอดและโวยวายว่าตัวเธอเองเป็นคู่หมั้นของเย่เชียนและทำไมเย่เชียนถึงไม่เคยทำสิ่งดีๆให้เธอเหมือนที่เขาทำให้กับฉินหยูเลยและเธอก็เริ่มร้องห่มร้องไห้ขณะที่เธอเดินไปทั่วบ้าน ส่วนเย่เชียนที่เมาอยู่ก็ไม่สามารถรับมือกับเธอได้ หูวเค่อเธอยังคงควบคุมการแสดงออกของเธอๆได้ดีเช่นเคยแต่เธอก็เมามากเธอเพียงแค่เฝ้ามองเย่เชียนด้วยใบหน้าที่แดงก่ำและยิ้มอย่างอ่อนโยนเธอเฝ้าดูการโหวกแหวกโวยวายของจ้าวหยาและยิ้มให้เธอเป็นครั้งคราวและบางครั้งเธอก็เข้าร่วมกับฉินหยูและจ้าวหยาในการหยอกเล่นกันด้วย
ในที่สุดทุกคนก็อยู่ในความเหนื่อยล้าและเมามากต่างก็เผลอหลับกันหมด
“ห๊ะ! …”
“อ๊า! …”
“อ๊ายย! …”
ในตอนเช้าตรู่อยู่ๆก็มีเสียงกรีดร้องดังลั่นไปทั่วบ้าน เย่เชียนลืมตาขึ้นด้วยความงุนงงและมองไปที่หญิงสาวทั้งสามที่อยู่ในท่าทีที่ตื่นตระหนกกันอยู่และเมื่อเขาจ้องมองอยู่สักพักและเขามองไปรอบๆอย่างว่างเปล่าจากนั้นเขาก็ตกตะลึงอย่างมากเมื่อเห็นว่าเขาอยู่บนเตียงเดียวกันกับผู้หญิงทั้งสามโดยไม่คาดคิดและไม่รู้ตัว
“นี่นาย…นาย…นายไอ้คนฉวยโอกาสเมื่อคืนนายทำอะไร?” จ้าวหยาคว้าผ้าห่มมาคลุมหน้าอกของเธอขณะที่เธอถามด้วยความตื่นตระหนก
เย่เชียนก้มหน้าและคิดอยู่ชั่วครู่ แต่เขาก็จำได้แค่การหยอกล้อและวิ่งเล่นและหัวเราะกันอย่างสนุกสนานกับพวกเธอทั้งสามเพียงแค่นั้นและส่วนที่เหลือนั้นก็ว่างเปล่า ‘เป็นไปได้ไหมที่พวกเราเมากันมากจนเมื่อคืนเกิดเหตุการณ์ผู้ชายหนึ่งคนและเด็กผู้หญิงสามคนลุมกันทำอย่างว่า…แต่…แต่ว่า..เอ๊ะ..ทำไมฉันจำอะไรไม่ได้เลยล่ะ?’ เย่เชียนคิดและตระหนักไตร่ตรองกับตัวเองในใจแต่ก็คิดไม่ออก
เย่เชียนก้มหัวลงและเห็นว่าเสื้อผ้าของเขายังคงอยู่ดีและมีเพียงเสื้อโค้ทเท่านั้นที่ถูกถอดออก และเขาก็มองไปที่จ้าวหยาอย่างไร้เดียงสาและพูดว่า “ฉันจำไม่ได้จริงๆว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนนี้”
“นาย..นายยังแสร้งทำเป็นโง่..เมื่อคืนนายทำให้พวกเราเมากันหมดแล้ว..แล้วนายก็ทำอะไรที่มันต่ำช้า!..นายมันไร้ยางอายนายมันหน้าด้านเกินไป” จ้าวหยาที่กำลังเสียใจพูดด้วยความโกรธเกรี้ยว
เย่เชียนรู้สึกผิดในใจของเขาจากนั้นเขาก็พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ก็ฉันเมามากจริงๆฉันไม่รู้ว่าเมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้น” ใบหน้าของเย่เชียนเต็มไปด้วยความไร้เดียงสาและโศรกเศร้าเล็กน้อย
“ฉัน…ฉันจะฆ่านาย..ฉันจะฆ่านาย!” หลังจากที่จ้าวหยาพูดแบบนี้เธอก็โน้มตัวเองไปที่เย่เชียนอย่างโกรธแค้น เธอดูเหมือนว่าเธอกำลังเกลียดเย่เชียนอย่างสุดซึ้งราวกับว่าเธอต้องการที่ขย้ำเย่เชียนและหักกระดูกของเขา
“หยาเอ๋อ!..หยุดได้แล้ว” ฉินหยูพูดอย่างเคร่งเครียด
“อาเจ๊หยู! … ทำไมคุณถึงยังต้องปกป้องเขาจนถึงตอนนี้ด้วย!..บางทีเมื่อคืนเขาอาจจะวางยาใส่ลงไปในไวน์!..เขาวางแผนเอาไว้ทุกอย่างแล้ว!” จ้าวหยาพูดด้วยน้ำเสียงที่เสียใจ
ท้ายที่สุดฉินหยูก็เป็นผู้ใหญ่มากกว่าจ้าวหยา ดังนั้นฉินหยูจึงสามารถทำให้จ้าวหยาใจเย็นลงได้และเมื่อเธอที่เพิ่งจะลืมตาขึ้นมาก่อนหน้านี้ฉินหยูเองก็ตื่นตระหนกเช่นกันแต่เธอเห็นว่าเธอยังคงมีเสื้อผ้าครบดีอยู่และร่างกายของเธอก็ไม่ได้รู้สึกผิดปกติอะไรและด้วยเหตุนี้เธอจึงมั่นใจว่าเมื่อคืนเย่เชียนไม่ได้ทำอะไรพวกเธอเลย เป็นไปได้มากที่ทุกคนนั้นเมากันมากแล้วก็เผลอนอนบนเตียงเดียวกันด้วยกันทั้งสี่คน
“สิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง..เราทุกคนเมากันมากเมื่อคืน” ฉินหยูตอบอย่างจริงจัง
“คุณจะรู้ได้ยังไงล่ะอาเจ๊หยู..คุณหลงกลหลงเชื่อเขาไปแล้วหรอ..เขาเป็นหมาป่าในคราบลูกแกะน้อยและเป็นสัตว์เดรัจฉานที่สวมหนังของมนุษย์อยู่!” จ้าวหยาพูดอย่างโกรธเคือง
เย่เชียนฝืนยิ้มอย่างขมขื่นและแอบเสียใจอยู่เล็กน้อยเพราะการที่เรียกเขาว่าหมาป่านั้นไม่ใช่เรื่องผิดอะไรแต่การเรียกเขาว่าสัตว์เดรัจฉานนั้นมันรุนแรงเกินไป ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะเป็นคนอารมณ์ดีแต่ก็ยากที่จะไม่โกรธเลยแม้แต่น้อยเขาจึงจ้องมองไปที่จ้าวหยาและพูดว่า “เธอ!..เธอคิดว่าฉันอยากทำอะไรกับเธองั้นเหรอ?..คิดว่าฉันตองการมั้ย? เธอเหมือนปลาที่เน่าตายตลอดทั้งคืน..แค่ไม่มีกลิ่นเท่านั้นแหละ!”
“นาย…นาย…โอ้ย…” จ้าวหยาไม่สามารถอดกลั้นกับความคับแค้นใจในใจของเธอได้เธอจึงเริ่มร้องห่มร้องไห้อย่างหนักหน่วงจนเย่เชียนอดไม่ได้ที่จะชะงักไปชั่วครู่และคิดย้อนกลับไปว่าคำพูดที่เขาเพิ่งจะพูดนั้นทำร้ายจิตใจเธอมากหรือเปล่า เพราะเขาคิดว่าจ้าวหยาเข้มแข็งขึ้นมากแล้วและจะไม่ร้องไห้เพราะเขาอีกเย่เชียนจึงไม่รู้จะทำอย่างไรดี
หูวเค่อก็กำลังปลอบจ้าวหยาอย่างอ่อนโยน ผู้หญิงคนนี้ค่อนข้างมีเหตุผลและไหวพริบที่ดีเห็นได้ชัดว่าเธอก็รู้และเข้าใจว่าเมื่อคืนนี้มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างแท้จริง
ฉินหยูมองเย่เชียนและดูเหมือนว่าจะตำหนิเย่เชียนว่าเขาพูดแรงเกินไปกับคำพูดของเขาเพราะท้ายที่สุดในสายตาของเธอนั้นจ้าวหยาก็เป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆและเธอได้รับการเลี้ยงดูประคบประหงมมาอย่างดีและนิสัยเสียมาตั้งแต่เด็กแล้ว ดังนั้นเธอจึงแสดงถึงความเป็นพี่สาวคนโต แต่ในความเป็นจริงแล้วนิสัยของจ้าวหยาก็ไมได้เลวร้ายอะไรเลยเป็นผู้หญิงที่ดีและซื่อสัตย์มีเพียงการพูดการจาของเธอเท่านั้นที่เหมือนเด็กน้อย
เย่เชียนรู้สึกผิดในใจเขาเพียงหัวเราะเบาๆอย่างขมขื่นสองสามครั้งจากนั้นเขาก็โน้มตัวเองเข้าไปหาจ้าวหยาแล้วพูดว่า “ดีกันนะหยาเอ๋อ..ฉันขอโทษ..หยุดร้องไห้ได้แล้วนะ..ไม่งั้นเธอจะกลายเป็นแมวน้อยเอานะถ้าเธอยังร้องไห้อีก..เหมี๊ยวๆ” ขณะที่เขาพูดเขาก็ทำหน้าตลกจิ้มลิ้ม และถ้าหากใครก็ตามที่รู้ถึงสถานะตัวตนที่แท้จริงของเย่เชียนและได้เห็นสิ่งนี้พวกเขาก็คงจะเงียบและแน่นิ่งไปและวิญญาณก็คงออกจากร่างของพวกเขาด้วยความประหลาดใจสุดขีดเพราะตัวตนที่สง่าผ่าเผยและยิ่งใหญ่ของราชาหมาป่าเย่เชียนที่กำลังทำหน้าตาตลกเพื่อปลอบโยนเด็กผู้หญิงอย่างไม่คาดคิดคาดฝันมาก่อน…
.
.
.
.
.
.
.