ในวันเกิดของอวี่ฉีทุกปี ของขวัญที่หานเซ่าส่งให้เธอนั้นไม่เคยซ้ำแบบ แต่ของขวัญทุกชิ้นนั้นได้ผ่านการทุ่มเทพิจารณามาแล้วระดับหนึ่ง อย่างเช่นปีที่แล้วเขาก็มอบเรือยอชต์สีขาวดูดีมีระดับให้เธอหนึ่งลำ ด้านข้างเรือใช้ตัวอักษรสีฟ้าครามเหมือนน้ำทะเลรวมกันกลายเป็นชื่อของเธอ แถมก่อนที่เธอจะได้รับของขวัญก็ไม่ได้เอะใจอะไรกับเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
ของขวัญแบบนั้นมีราคาค่างวดสูงเกินไป ถึงเป็นเธอ ในช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดขอบคุณอย่างไรดีเหมือนกัน ยังดีว่าคนที่มอบของขวัญพรรค์นี้ให้เธอนั้นไม่ใช่พวกเศรษฐีหน้าใหม่ที่สักแต่ว่ามีเงินพวกนั้น แต่เป็นหานเซ่า คนอย่างเขาไม่มีวันทำตัวน่าคลื่นไส้เหมือนผู้ชายพุงพลุ้ยที่มักจะหัวเราะพลางถามเธอว่าชอบไหม ๆ แน่นอน หานเซ่าให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอกพอ ๆ กับบุคลิกภาพของตัวเอง นอกจากนี้หากเขาตั้งใจจะทำอะไรอย่างจริงจังแล้วละก็ เป็นตายร้ายดีอย่างไร เขาก็ไม่มีวันทำสิ่งที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกกระอักกระอ่วนใจอย่างเด็ดขาด
ทุก ๆ การกระทำดูแล้วเหมือนจะไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย แต่กลับสามารถสร้างความอบอุ่นเป็นระลอกคลื่นให้บังเกิดในก้นบึ้งของจิตใจได้ในชั่วพริบตา เช่นเดียวกับที่เขาไม่เคยให้เงินสดหรือบัตรเครดิตกับเธอต่อหน้าตรง ๆ แต่จะแอบใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อที่เธอจะสวมในวันถัดไปโดยไม่ให้เธอรู้ตัวแทน บางครั้งก็แอบยัดเข้าไปในลิ้นชักที่หัวเตียงของเธอเงียบ ๆ
หานเซ่าจะไม่ใช้เงินตบหน้าคุณเพื่อแลกกับคำขอบคุณหรือแววตาตื้นตันใจจากคุณเหมือนคนบางจำพวก เขามักจะแอบทำอย่างลับ ๆ โดยไม่พูดอะไร จัดวางไว้ในที่ที่มือเอื้อมถึงเรียบร้อยก่อนที่เธอจะเรียกร้องด้วยซ้ำ
บ่อยครั้ง คนเรามักจะคิดว่าเนื้อในของของขวัญคือสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่ในความเป็นจริงนั้นวิธีการมอบของขวัญให้ก็สำคัญไม่แพ้กัน เขามอบสิ่งของล้ำค่าให้เธอมากมายเป็นของขวัญก็จริง ทว่าแต่ไหนแต่ไรมา เขาก็มอบของขวัญเหล่านั้นให้เธออย่างเงียบ ๆ จึงไม่เคยทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยแม้แต่ครั้งเดียว เขาทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่ากำลังได้รับการให้เกียรติ ไม่ใช่ขอทาน
ในตอนที่มอบเรือยอชต์ให้แก่เธอนั้น เขายิ้มออกมาตามปกติ พลางโอบไหล่ของเธอเอาไว้แผ่วเบา โดยไม่ได้พูดอวดประสิทธิภาพการใช้งาน จุดเด่นหรือราคาที่แพงแสนแพงของเรือลำนี้สักนิด แต่กลับถามอย่างนุ่มนวลว่า “รู้ความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดระหว่างขับเรือยอชต์กับขับรถหรือเปล่า” ทำอย่างกับซื้อรถไฟฟ้าบังคับวิทยุสักคันให้เด็กแล้วถามเธอด้วยท่าทีแสนจะปกติเหมือนทุกครั้งว่าเธอบังคับมันเป็นไหมอย่างไรอย่างนั้น
ในเมื่อเขาไม่ได้ต้องการให้เธอร้องห่มร้องไห้แสดงความตื้นตันใจ เธอก็ไม่คิดจะร่ายสุนทรพจน์แสดงความขอบคุณราวคนขี้ประจบแบบนั้นเหมือนกัน เธอทำเพียงคลี่ยิ้มบาง ๆ กุมมือของเขาที่วางอยู่บนไหล่ของเธอกลับ ตอบตามใจคิดว่า “ปลอดภัยกว่ารึเปล่าคะ หรือโอกาสที่เรือยอชต์จะชนกันมีต่ำกว่า?”
หานเซ่าส่ายศีรษะ ในเสียงทุ้มต่ำนั้นเจือความขบขัน “เรือไม่เหมือนกับรถ เรือยอชต์น่ะไม่มี ‘เบรก‘ ให้เหยียบ ดังนั้นเธอจะต้องควบคุมความเร็วและทิศทางของเรือยอชต์ให้มั่นคงมาก ต้องหมั่นเช็กกระแสน้ำไหล รวมถึงทิศทางลมรอบข้างตลอดเวลาด้วย”
อันที่จริงในเมื่อซื้อเรือยอชต์มาแล้ว การจะจ่ายเงินจ้างคนขับเรือมาอีกสักคนย่อมไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่เขากลับหวังจะให้เธอมาเรียนขับเรือจนเป็นเอง ด้วยเหตุผลที่ว่า “การขับเรือยอชต์ไปยังที่ที่ตัวเองอยากไปกับการนั่งเรือยอชต์ไปยังที่ที่อยากไปนั้น มันแตกต่างกันสุด ๆ ไปเลยยังไงล่ะ”
ด้วยเหตุนี้ หลายเดือนให้หลัง ภายใต้การสั่งสอนของหานเซ่าโดยการเป็นผู้ช่วยจับมือเธอเรียนขับเรือ ในที่สุดเธอก็ขับเรือเป็น ทั้งยังสอบใบขับขี่เรือยอชต์ผ่านอีกด้วย
เหมือนกับที่หานเซ่าพูดเอาไว้ไม่มีผิด แท้จริงแล้วการได้ขับเรือยอชต์ตระเวนไปตามที่ที่ตนอยากไปนั้นถือได้ว่าเป็นความสุขของชีวิตรูปแบบหนึ่ง ดังนั้นการนั่งเรือยอชต์ออกทะเลจึงกลายเป็นกิจกรรมบันเทิงหนึ่งที่พวกเขาทั้งคู่มักทำกันเป็นประจำ ทว่าด้วยสภาพร่างกายของหานเซ่า ทำให้เขาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่แต่ในเคบินเรือเสียมากกว่า
แต่ดูเหมือนว่าหานเซ่าจะคิดถึงจุดนี้ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้นด้านในของเคบินจึงตกแต่งให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบายที่สุด ไม่ใช่แค่พร้อมสรรพไปด้วยเฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างที่ควรมีหรือเอื้ออำนวยต่อการพักผ่อนเท่านั้น กระทั่งอ่างจากุซซีก็ยังติดตั้งเอาไว้ด้วย
อวี่ฉีกังวลว่าโรคมะเร็งกระเพาะอาหารของเขาจะกำเริบขึ้นมาอีก ทุกครั้งที่ออกทะเล เธอจึงลงมาดูเขาทุก ๆ สามสิบนาที สุดท้ายหานเซ่าก็ได้แต่หยิบหนังสือเล่มหนาที่กางอยู่บนหัวเข่าไปวางไว้ด้านข้างอย่างอ่อนใจ ก่อนจะกุมมือของเธอเอาไว้แล้วค่อย ๆ ลูบไล้อย่างเชื่องช้า “ฉันไม่เป็นอะไรหรอก เธอเอาแต่กังวลจนลุกลี้ลุกลนแบบนี้ แล้วจะชมวิวทิวทัศน์สวย ๆ อย่างสงบใจได้ยังไงกัน”
อวี่ฉีไม่พูดอะไร เพียงแค่นั่งลงข้างตัวเขา กุมมือของเขากลับเบา ๆ ไม่รู้ว่าเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคมะเร็งกระเพาะอาหารหรือเปล่า ไม่ว่าจะฤดูร้อนหรือฤดูหนาว เวลาสัมผัสโดนมือของเขาก็มักจะเย็นเยียบอยู่เสมอ เหมือนกับว่าเลือดของเขานั้นไหลเวียนได้ไม่สะดวก สักพักต่อมา เธอก็มองตาของเขาพลางคลี่ยิ้มน้อย ๆ “ต่อให้เป็นวิวที่สวยกว่านี้ มองนาน ๆ เข้าก็ยังจะเอียนเอาได้ค่ะ ฉันแค่อยากลงมาพักผ่อนสักพักหนึ่งเท่านั้นเอง”
หานเซ่าไม่มีทางเชื่อข้ออ้างแบบนี้ของเธออยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ใจไม่แข็งพอที่จะเปิดเผยความนัยของเธอ ได้แต่ยกมือขึ้นลูบผมดำนุ่มลื่นของเธออย่างอ่อนใจ เสียงของเขานุ่มนวลและทุ้มต่ำ “ฉันหวังว่าเธอจะสนุกไปกับเรื่องพวกนี้ทั้งหมดได้อย่างสบายใจ ไม่ใช่ทั้งวันเอาแต่เป็นกังวลกลัวว่าฉันจะเป็นอะไร”
โคมไฟตั้งพื้นข้างโซฟาอาบย้อมทั้งเคบินเรือให้กลายเป็นสีส้ม เสื้อสเวตเตอร์สีขาวเนื้อผ้าอ่อนนุ่มบนตัวของเขานั้นทาบทับไว้ด้วยแสงนวลอ่อนหวานปานน้ำผึ้ง อวี่ฉีเงยหน้ามองใบหน้าหล่อเหลาเหมือนดังวันวานของเขาแล้วค่อย ๆ เขยิบเข้าไปหา ฝังใบหน้าลงกับแผ่นอกของหานเซ่า
ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน เธออาจจะพูดคำหวานรื่นหูสักคำเพื่อไขว่คว้ามาซึ่งความรู้สึกดี ๆ จากเขา แต่ตอนนี้ ไม่ว่าจะสถานะหรือสิ่งแวดล้อมก็ล้วนแตกต่างไปจากเดิม ระหว่างคนรักนั้นสมควรที่จะเอ่ยคำพูดหวานหอมให้กัน แต่สิ่งที่ควรทำยิ่งกว่าระหว่างคนที่เป็นสามีภรรยาคือการเรียนรู้จิตใจของกันและกัน อ้อมกอดหนึ่งที่ไร้ถ้อยคำก็มากพอที่จะสื่อถึงความในใจทั้งหมดที่มีแล้ว
เสื้อสเวตเตอร์แคชเมียร์ทำมือที่เสียดสีกับแก้มให้สัมผัสอบอุ่นและจั๊กจี้ ผสมผสานอยู่กับเสียงเต้นของหัวใจที่ดังเป็นจังหวะคงที่มาจากใต้เนื้อผ้าหนา ราวกับได้สร้างโลกใบเล็ก ๆ ใบหนึ่งขึ้นมา เธอได้ยินเสียงติดทุ้มต่ำของเขาดังแว่วมาจากเหนือศีรษะ พร้อมกับแรงสั่นไหวเบา ๆ จากทรวงอก แฝงความอ่อนใจบางส่วนไว้เป็นนัย ๆ “ขึ้นไปดูทะเลกับฉันเถอะนะ” เขาเงียบลง ภายในเสียงนั้นคล้ายจะเจือความขบขันรวมถึงอารมณ์ขี้เล่นส่วนหนึ่งไว้ “เธอจะได้ไม่ต้องลงมาดูฉันอีกรอบไง”
เนื่องจากอยู่ด้วยกันมาหลายปีแล้ว เธอจึงเข้าใจเป็นอย่างดีว่าเขาไม่ได้คิดอยากจะไปดูทะเลจริง ๆ หรอก ทว่าแค่อยากให้เธอทำใจให้สบายและสนุกเพลิดเพลินที่ได้ออกมาเที่ยวชมวิวเท่านั้นเอง แต่ก็เหมือนทุกครั้งที่เขาไม่อาจใจแข็งพอจะเปิดเผยจุดประสงค์ที่แท้จริงของตัวเธอ เธอเองก็ไม่มีวันเผยความลับของเขาเช่นกัน
อวี่ฉีขานรับ อืม เบา ๆ คำหนึ่งแล้วลุกขึ้นมาจากอ้อมกอดของเขา หยิบเสื้อกันลมสีครีมตัวยาวของเขามาก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็เดินไปรินไวน์แดงแก้วหนึ่งยกไปให้เขา “ข้างบนลมแรง อากาศตอนนี้ก็หนาว ดื่มสักแก้วให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นก่อนค่ะ”
หานเซ่ากำลังก้มหน้าสวมเสื้อกันลมอยู่ พอได้ยินที่เธอพูดก็ส่ายศีรษะอย่างจนใจ ก่อนจะถอนหายใจพูดว่า “น้อมรับบัญชา ฮูหยิน!”
เธอรู้ดีว่าเขาพูดแบบนี้เพื่อต้องการลดบรรยากาศหม่นหมอง อวี่ฉีปวดร้าวขึ้นมาในอก แต่เธอก็ยังเลือกที่จะยิ้มแย้มตามไปด้วย ก่อนจะยกมือขึ้นลูบไล้แก้มตอบของเขา
บนดาดฟ้าเปิดโล่งมีเก้าอี้ซึ่งปูด้วยผ้าห่มขนสัตว์สีขาวสองตัววางเอาไว้ เหมาะที่จะให้คนสองคนนั่งชื่นชมทัศนียภาพด้วยกันเงียบ ๆ พอดิบพอดี
เรือยอชต์สีขาวที่จอดอยู่กลางทะเลโยกคลอนเอื่อย ๆ แสงอาทิตย์สีทองอบอุ่นสะท้อนเป็นวงแสงสีน้ำผึ้งอยู่ตรงขอบใบเรือสีขาวที่กางออก สีของน้ำทะเลราวกับสีหินแซปไฟร์อันล้ำค่านั้นทั้งอ่อนโยนและน่ามอง
แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยพูดออกมา ทว่าเธอรู้ดีว่าเขาอยากจะมอบสิ่งสวยงามทั้งหมดทั้งมวลที่สามารถมอบให้เธอมาโดยตลอดให้ ในขณะที่เขายังพอมีเวลาเหลืออยู่
นั่นคือของขวัญปีที่แล้ว นับว่าเป็นสไตล์การให้ของขวัญที่อลังการจนน่าตกใจ ทว่าของขวัญปีนี้กลับเป็นหนังสือภาษาอังกฤษบาง ๆ เล่มหนึ่ง บนหนังสือที่ออกแบบและเย็บเล่มมาอย่างสวยงามนั้นเขียนเอาไว้ว่า ‘THE PRINCE’ หรือ ‘เจ้าผู้ปกครอง’ ผลงานชิ้นเอกของมาคิอาเวลลี ซึ่งเป็นนักคิดนักปกครองชาวอิตาลีที่ได้รับการยกย่องให้เป็นหนังสือประจำโต๊ะของชนชั้นปกครองยุโรปทุกยุคทุกสมัย และยังเป็นหนังสือคู่มือชั้นยอดที่สุดของนักการปกครองมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การที่เขามอบหนังสือเล่มนี้ให้เธอ มันหมายความว่าอะไร เขาวางแผนจะพัฒนาทักษะการปกครองของเธอให้สูงขึ้นอีกหน่อยงั้นหรือ
อวี่ฉีกอดหนังสือเล่มนั้นไว้แล้วหมุนตัวเข้าไปในอ้อมกอดของเขา คลี่ยิ้มน้อย ๆ พลางเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย “ฝ่าบาทคิดจะส่งต่อแผ่นดินของพระองค์ให้กับหม่อมฉันหรือเพคะ”
หานเซ่าไม่ตอบอะไร เพียงแค่ส่งยิ้มแล้วลูบผมดำอ่อนนุ่มของเธอไปมา แม้ว่าหางคิ้วและหางตาของเขาล้วนเป็นรอยยิ้มอันอบอุ่น แต่ภายในดวงตามืดมิดกลับแฝงนัยความจริงจังอย่างที่ไม่อาจโต้แย้งได้ ครั้งสุดท้ายที่เธอเห็นเขาเผยแววตาแบบนี้คือตอนที่อยู่ในห้องหนังสือของอีกฝ่าย ยามที่เขาตักเตือนเธอไปรอบหนึ่งหลังจากตรวจการบ้านของเธอเสร็จ
เธอตะลึงจนพูดไม่ออก ผุดลุกขึ้นแล้วมองไปทางเขาอย่างลังเล
เมื่อเห็นว่าเธอคล้ายจะเข้าใจเรื่องราวแล้ว เขาถึงเอ่ยปากพูดอย่างเรียบนิ่ง แม้ว่าจะไม่มีรอยยิ้มใด ๆ อยู่บนใบหน้า แต่เสียงที่ใช้นั้นกลับอบอุ่นและใจเย็นเป็นที่สุด “อันที่จริงเธอพูดอย่างนี้ก็ไม่ผิดหรอก การบริหารกลุ่มบริษัทก็เหมือนกับการปกครองประเทศหนึ่ง ถึงยังไงเธอก็ต้องเรียนรู้เรื่องพวกนี้ให้เป็น”
เดิมทีอวี่ฉีแค่อยากหยอกเขาเล่นเท่านั้น คิดไม่ถึงว่ากลับสมพรปากเสียอย่างนั้น…ความหมายในคำพูดของเขาชัดเจนแจ่มแจ้งอยู่แล้วว่าเขาต้องการจะส่งมอบกลุ่มบริษัทที่ยิ่งใหญ่ราวกับจักรวรรดินั่นให้เธอดูแล
เขาเห็นเธอมีทีท่าสองจิตสองใจอยู่บ้าง จึงยกมือขึ้นวางบนไหล่ของเธอ ภายในเสียงนั้นแฝงไว้ด้วยความผ่อนปรนอยู่ในที “ผ่อนคลายลงบ้างเถอะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะมอบภาระอันหนักอึ้งให้เธอแบกไว้เสียหน่อย ฉันแค่อยากให้เธอมีเรื่องอะไรสักเรื่องที่สามารถทำฆ่าเวลาได้เท่านั้นเอง” เขาเงียบลงแล้วคลี่ยิ้มออกมา “ถ้าเธอไม่อยากจัดการเรื่องจุกจิกพวกนี้ ก็ให้ผู้เชี่ยวชาญมาดูแลแทนเธอได้ แต่เธอก็ต้องเรียนรู้ที่จะตรวจสอบว่าพวกเขาตั้งใจทำงานจริง ๆ หรือกำลังเอาเงินยัดเข้ากระเป๋าตัวเองอยู่เงียบ ๆ กันแน่”
ขณะที่กำลังพูดถึงเรื่องเหล่านี้ เขาไม่ได้ยกเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเองขึ้นมาพูดเลยแม้แต่ครึ่งคำ เหมือนว่าเวลานั้นเขาจะไม่ได้อยู่ข้างกายเธออีกแล้ว คำสั่งเสียอันเป็นลางร้ายนี้ทำให้แววตาของอวี่ฉีค่อย ๆ เคร่งขรึมลง เธอมองเขาแล้วพูดอย่างเชื่องช้าว่า
“นั่นนเป็นกิจการของคุณนี่คะ ถึงจะมอบให้ผู้เชี่ยวชาญดูแลก็นับว่าทำงานให้กับคุณ ถ้าคุณวางมือจากอาณาจักรของคุณไม่ลง งั้นคุณก็ต้องบริหารมันด้วยตัวเองค่ะ” พูดจบเธอก็ผ่อนน้ำเสียงกับแววตาให้อ่อนโยนลง ก่อนจะใช้สองมือประคองแก้มของเขาเอาไว้แล้วแนบหน้าผากลงกับหน้าผากของอีกฝ่าย “ฉันเป็นภรรยาของคุณ สิ่งที่ฉันต้องการคือได้อยู่เคียงข้างคุณ ไม่ใช่นั่งอยู่ในห้องทำงานโล่ง ๆ นับธนบัตรกองแล้วกองเล่า คุณเข้าใจไหมคะ” สี่คำสุดท้ายนั้นแผ่วเบาจนแทบจะกระซิบที่ฟังดูคล้ายคำอ้อนวอนมากกว่าตั้งคำถาม
หานเซ่ารู้ว่าทำไมตอนแรกอวี่ฉีถึงใช้น้ำเสียงที่กระด้างรุนแรง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นถ้อยคำเว้าวอนในภายหลัง แต่ก็เป็นเพราะเข้าใจอย่างชัดแจ้งจนเกินไปถึงได้ยิ่งรู้สึกโศกเศร้าขึ้นกว่าเดิม ตัวเขาใช่ว่าจะไม่อยากอยู่เคียงข้างเธอไปจนแก่เฒ่า แต่ชะตาลิขิตให้เขาปราศจากความโชคดีแบบนั้น
เวลาที่ต้องข่มตาหลับลงในทุก ๆ คืนนั้น เขาไม่รู้เลยว่าตัวเองจะได้ตื่นขึ้นมาอีกหรือไม่ ชีวิตช่างเหมือนกับเม็ดทรายที่อยู่ในกำมือ อาจรั่วไหลออกจากมือจนหมดเมื่อไรที่ไหนก็ได้ ซึ่งเท่ากับว่าเขาจำเป็นต้องทำเรื่องที่ตัวเองอยากจะทำให้เธอในอีกหลายสิบปีต่อจากนี้ให้เสร็จภายในเวลาไม่กี่ปี หรืออาจถึงขั้นไม่กี่เดือน พูดอีกอย่างก็คือ เขาจะต้องวางแผนอีกครึ่งชีวิตที่เหลือของเธอให้ดีทุกเรื่องก่อนเวลาชีวิตของตัวเขาจะสิ้นสุดลง
เธอปฏิเสธแผนการในอนาคตของเขามาโดยตลอด ทั้งยังดื้อรั้นและเด็ดเดี่ยว กระนั้นเขาก็โกรธเธอไม่ลงแม้สักเศษเสี้ยวหนึ่ง คนทั้งคู่ต่างรู้ดีอยู่แก่ใจ สิ่งที่เธอทำไปก็เพื่อรั้งเขาเอาไว้ เพื่อหล่อเลี้ยงความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ไปเรื่อย ๆ ราวกับว่าการจากลาแบบนี้ไม่มีวันมาถึงตราบจนนิจนิรันดร์
เขาถอนหายใจแล้วยกมือขึ้นโอบกอดเธอเอาไว้ น้ำเสียงที่ใช้กลับยอมผ่อนผันตามใจ “ถ้าเกิดเธอไม่คิดอยากจะเรียนจริง ๆ ก็ช่างมันเถอะนะ”
อวี่ฉีได้ยินอย่างนั้นก็หลุบตาลงเล็กน้อย ก่อนจะใช้ปลายจมูกถู ๆ แก้มของเขาแล้วคลี่ยิ้มอ่อนโยนขึ้น จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาเป็นเรื่องอื่นแทน “เย็นนี้อยากกินอะไรคะ ฉันจะไปทำให้คุณกินเอง”
หานเซ่ายิ้มออกมา ตามด้วยลูบแก้มของเธออย่างแผ่วเบา “วันนี้เป็นวันเกิดของเธอ เจ้าของวันเกิดต้องใหญ่ที่สุดสิ ควรเลือกอาหารที่เธออยากกินถึงจะถูก ชอบกินอะไรก็ให้คนพวกนั้นไปทำให้ดีไหม หืม?” เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยเสียงอันอบอุ่น “ในเมื่อเธอไม่ชอบของขวัญชิ้นนี้ ถ้างั้นฉันจะพาไปเลือกของสักชิ้นที่เธออยากได้อีกรอบแล้วกัน…เอาอย่างนี้ รถของเธอก็ขับมาสองปีแล้ว เปลี่ยนเป็นคันใหม่ดีไหม”
เธอส่ายหน้าก่อนจะขยับแขนไปที่ท้ายทอยของเขาแล้วโอบรอบมันเอาไว้หลวม ๆ เสียงของเธอทั้งนุ่มนวลและแผ่วเบาเชื่องช้า “ติดไว้ค่อยให้ฉันปีหน้าดีไหมคะ” ท้ายเสียงของเธอนั้นลากยาว อ่อนหวานและนุ่มนวลราวกับออดอ้อนเขาอยู่ ดูน่ารักน่าเอ็นดูไม่ต่างกับเด็กอ้อนผู้ใหญ่
มือของเขาที่พาดไว้อยู่บนเอวของเธอชะงักค้างไปเล็กน้อย กระนั้นก็ยังคล้อยตามเธอแล้วพูดตอบรับไปด้วยเสียงที่อบอุ่นว่า “ได้ ไว้ปีหน้าค่อยให้เธอแล้วกัน”
เพียงแต่ทั้งเขาและเธอต่างก็ไม่มั่นใจว่าปีหน้านั้นจะมีอยู่อีกหรือไม่
(จบภาคหานเซ่า)
——————————-