คำขอโทษของเขาทำให้เธออึ้งไป บอกตามตรง เธอรู้สึกแปลกใจมากตอนที่ได้ยินคนอย่างกู้จวินหลิงเอ่ยคำพูดแบบนี้ออกมา แต่อวี่ฉีก็ตั้งสติได้ในพริบตา พลางส่ายหน้าบอกว่าไม่เป็นไร เธอหยิบกระดาษทิชชูออกมาจากในกระเป๋าเสื้อแล้วยื่นส่งให้เขา ก่อนจะกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ผมของคุณเปียกหมดแล้ว ถ้าไม่เช็ดให้แห้งจะเป็นหวัดได้นะคะ”
กู้จวินหลิงนั้นเคยเจอเด็กเอาแต่ใจที่ชอบสร้างความวุ่นวายไร้เหตุผลในโรงพยาบาลมาไม่น้อย ถึงเขาจะรู้อยู่แล้วว่าฟางอวี่ฉีไม่ใช่เด็กแบบนั้น แต่เห็นเธอรู้ความถึงขนาดนี้ก็อดอึ้งไปไม่ได้ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นอาจจะรู้สึกปลื้มอกปลื้มใจที่เป็นแบบนี้ แต่กู้จวินหลิงกลับรู้สึกผิดต่อเธอมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม และคิดว่าตัวเองช่างขาดความรับผิดชอบสิ้นดี
เด็กในช่วงวัยนี้ควรจะดื้อดึงเอาแต่ใจและไม่มีความอดทนอดกลั้นต่างหาก ถ้าว่าง่ายรู้ความจนเกินไป ก็เป็นไปได้ว่าเด็กคนนั้นกล้ำกลืนฝืนทนจากการถูกละเลยและดูถูกมามากแล้ว เธอจึงจำต้องเรียนรู้ที่จะอ่านสีหน้าคนอื่น ทำอะไรต่อมิอะไรด้วยความหวาดระแวง และปฏิบัติต่อผู้ใหญ่ที่กุมชะตาชีวิตของตนเองด้วยการประจบเอาใจ
กู้จวินหลิงไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะตนเองเย็นชาต่อเด็กคนนี้มากเกินไปหรือไม่ ถึงทำให้เธอขาดความรู้สึกปลอดภัยเช่นนี้ ทั้งที่รอเขาทำงานอยู่ตรงนั้นมานานขนาดนี้แล้ว กลับยังไม่กล้าแม้แต่จะกล่าวโทษอะไรเขาสักคำ
ตอนที่ฟางหว่านยังมีชีวิตอยู่ ถึงแม้เด็กคนนี้จะดูเงียบ ๆ และขี้อายไปบ้าง แต่ก็ยังกอดแขนแม่ตัวเองพลางออดอ้อนอยู่เลย เด็ก ๆ ก็มักเป็นอย่างนี้ ชอบที่จะออดอ้อนคนใกล้ชิดที่ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยด้วยเท่านั้น เมื่อพบคนแปลกหน้าเธอก็จะหลบอยู่หลังกระโปรงของผู้เป็นแม่ ส่งยิ้มเอียงอายน้อย ๆ ที่ดูว่านอนสอนง่ายยิ่งกว่าใครทั้งนั้น
เพราะว่าไม่มีแม่ จึงไม่เหลือผู้ใหญ่สักคนให้อ้อนได้อีก เพราะแบบนั้นเธอก็เลยเป็นเด็กดีขนาดนี้แทน? กู้จวินหลิงถอนหายใจ ก่อนจะจูงมือเธอพาไปยังห้องเล็ก ๆ ที่อยู่ด้านหลังห้องตรวจของแผนกฉุกเฉิน “เธอทำการบ้านอยู่ที่นี่ไปก่อน ไว้หลังจากฉันเลิกงานแล้วจะพาเธอกลับบ้าน”
ตอนที่กำลังจะปล่อยมือออก กู้จวินหลิงกลับเห็นอวี่ฉีก้มหน้าลงมองสองมือที่กุมกันไว้อย่างอึ้ง ๆ เขาพลันนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่เคยจูงมือเด็กคนนี้เลย เพราะว่าเธอเป็นเด็กเงียบ ๆ และว่าง่ายไม่เหมือนเด็กคนอื่นที่ต้องการคำปลอบโยน และแต่ไหนแต่ไรตัวเขาก็ไม่ชินกับการถูกใครแตะเนื้อต้องตัวมากจนเกินไปอยู่แล้ว
แต่เด็กไม่ใช่ของประดับหรือต้นไม้ พวกเขายังคงต้องการให้ใครสักคนกอดและหอมพวกเขาบ้าง เฉกเช่นเดียวกับที่ฟางหว่านเคยทำในวันวาน กู้จวินหลิงถอนหายใจให้แก่ความบกพร่องในหน้าที่ของตนเองอีกครั้ง เขาโน้มตัวลงด้วยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ จากนั้นก็มอบสัญญาอันหนักแน่นเพื่อชดเชยแก่เธอ “เสาร์อาทิตย์นี้จะพาเธอไปสวนสนุก”
ครั้งนี้อวี่ฉีอึ้งไปแล้วจริง ๆ เธอไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ แต่ก็ยังแสดงสีหน้าดีใจออกมา จากนั้นก็ยิ้มให้เขาอย่างซาบซึ้งใจ
หลังกำชับเธอว่าไม่ให้เดินไปไหนอีกครั้ง กู้จวินหลิงก็ถูกพยาบาลเรียกตัวไปอย่างเร่งด่วน
อวี่ฉีนั่งทำการบ้านอยู่ในห้องเล็ก ๆ อย่างเชื่อฟัง ระหว่างนั้นก็มีแพทย์และพยาบาลเดินผ่านไปมาไม่หยุด บางคนก็มาดื่มน้ำ บางคนมาล้างมือ แต่ทุกคนที่เดินผ่านมาต้องเหลือบมองเธอครั้งสองครั้งเสมอ ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะการที่เธอมานั่งทำการบ้านในที่แบบนี้ ย่อมเป็นธรรมดาที่จะตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่น ๆ
เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมง ในที่สุดอวี่ฉีก็ทำการบ้านเสร็จ หลังจัดกระเป๋านักเรียนเรียบร้อยแล้ว เธอก็นั่งอยู่กับที่ มองแพทย์และพยาบาลที่เดินเข้า ๆ ออก ๆ และมีพยาบาลคนหนึ่งที่จำเธอได้ “หนูคือเด็กที่ตามหลังหมอกู้มาเมื่อกี้ใช่ไหมจ๊ะ”
แพทย์ที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้นมาว่า “จริงเหรอ? อาจารย์กู้มีลูกสาวโตขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย”
โรงพยาบาลมีกฎว่าแพทย์ที่ทำงานในโรงพยาบาลแห่งนี้มานานกว่าต้องดูแลแพทย์ที่เพิ่งมาใหม่ เขาเองก็เป็นหนึ่งในแพทย์หนุ่มที่เป็นลูกมือของกู้จวินหลิง
อวี่ฉียิ้มอย่างสุภาพ เอ่ยว่า “คุณอากู้ไม่ใช่พ่อของหนูค่ะ”
พยาบาลเข้าใจว่าเธอเป็นหลานสาวของกู้จวินหลิง จึงยิ้มตาหยีพลางลูบหัวเธอ “หน้าตาน่ารักมาก ๆ เลย คนในครอบครัวของพวกเธอนี่มันมียีนดีจริง ๆ”
อวี่ฉีทำเพียงแค่ยิ้ม ๆ
เด็กสาวที่ไม่พูดมากแถมยังยิ้มเก่งมักเป็นที่รักและน่าเอ็นดูอยู่แล้ว พยาบาลจึงเริ่มบ่นขึ้นมา “อาของเธอนี่ใจร้ายใจดำจริง ๆ ทิ้งหนูไว้ที่นี่แล้วก็ไม่สนใจอีก” เธอชะงักก่อนก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ “เวลาป่านนี้แล้วเหรอเนี่ย หนูยังไม่ได้กินข้าวใช่ไหม หมอกู้นี่จริง ๆ เลย เขาเป็นคนเหล็กไม่กลัวหิว เลยคิดว่าหนูก็ไม่กลัวด้วยเหมือนกันหรือไง เดี๋ยวน้าไปสั่งอาหารที่โรงอาหารมาให้นะจ๊ะ”
อวี่ฉีรีบร้อนแก้ตัวให้กู้จวินหลิง “ช่วยชีวิตคนก่อนสำคัญที่สุด หนูไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ”
พยาบาลชมเธอซ้ำ ๆ ว่าเธอช่างรู้ความ จากนั้นจึงสั่งข้าวกล่องให้เธอ
อวี่ฉีอยู่ในห้องเล็ก ๆ นั้นตลอดจนกระทั่งถึงห้าทุ่ม กู้จวินหลิงที่อยู่อีกด้านนั้นรับรถฉุกเฉินติด ๆ กันถึงสี่คัน วุ่นจนเท้าไม่ติดพื้น ที่จริงแล้ววันนี้เขามีเวรบ่าย ตั้งแต่บ่ายสามครึ่งถึงห้าทุ่ม ตามหลักแล้วหลังส่งงานต่อให้เพื่อนร่วมงานเวรดึกก็กลับบ้านได้ แต่ว่าเวชระเบียนกองใหญ่ยังไม่ได้กรอกเข้าคอมพิวเตอร์ ดังนั้นจึงจำต้องทำงานล่วงเวลาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
พยาบาลคนนั้นเข้ามาในห้องเล็กเพื่อล้างมือ เมื่อเห็นอวี่ฉียังอยู่ก็ตกใจมาก “หมอกู้ล่ะ?”
อวี่ฉีส่ายหน้า “ไม่ทราบค่ะ”
พยาบาลจูงเธอไป “มา ฉันจะพาหนูไปหาเขา”
ตอนที่พวกเธอหากู้จวินหลิงเจอ บนหน้าจอแสดงให้เห็นว่าเขาเพิ่งกรอกข้อมูลเวชระเบียนไปได้เพียงครึ่งเดียว ส่วนตัวคนกลับนอนหลับสนิทหนุนแขนของตัวเองอยู่ ใต้ตามีรอยคล้ำจาง ๆ แพทย์ประจำบ้านอีกท่านจึงอธิบายเสียงเบาว่า “เมื่อคืนเสี่ยวกู้เข้าเวรดึก วันนี้ต้องเข้าเวรบ่ายอีก ถึงจะเป็นคนเหล็กก็ไม่น่าจะไหวแล้วเหมือนกันนะ”
แผนกฉุกเฉินจำเป็นต้องมีคนอยู่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ดังนั้นจึงต้องสลับกันเข้าสามเวร เป็นเวรเช้า บ่าย และดึก เพื่อรักษาประสิทธิภาพการทำงานของแพทย์ กฎทั่วไปคือหากเข้ากะดึกแล้ว วันต่อมาจะสามารถลาพักได้ แต่เพราะว่าช่วงนี้คนไม่พอ ในบรรดาแพทย์ประจำบ้านที่เหลืออยู่ กู้จวินหลิงคือคนที่อายุน้อยที่สุด ตารางเข้าเวรที่เหนื่อยที่สุดจึงถูกมอบหมายให้เขา ด้วยเหตุนี้เองต่อให้จะต้องรับมือกับเคสหฤโหดตลอดทั้งคืน วันต่อมาเขาก็ต้องฝืนมาทำงานต่ออยู่ดี
ชั่วขณะหนึ่ง แม้แต่พยาบาลคนนั้นก็ยังลังเลอยู่บ้างเหมือนกันว่าควรปลุกกู้จวินหลิงให้ตื่นดีหรือไม่ อวี่ฉีจึงดึงแขนเสื้อของเธอในเวลาที่พอเหมาะพอเจาะ แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ให้คุณอานอนอีกหน่อยเถอะค่ะ หนูรอต่ออีกแป๊บเดียว ไม่เป็นไรหรอก”
ถึงทั้งสามคนจะตั้งใจลดเสียงคุยให้เบาลงมากแล้ว แต่กู้จวินหลิงก็ยังตื่นขึ้นมาอยู่ดี
เขาลืมตาขึ้นมาแล้วค่อย ๆ ใช้แขนยันตัวขึ้นมานั่งตรง เขายกมือขึ้นนวดหว่างคิ้ว ก่อนจะก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ ทันใดนั้นคิ้วคู่สวยก็ขมวดเข้าหากันทันที
พยาบาลผลักอวี่ฉีไปด้านหน้าเบา ๆ “หมอกู้คะ หลานสาวของคุณรอคุณตั้งนานแล้วนะ”
กู้จวินหลิงอึ้งไป ท่าทางราวกับว่าเพิ่งสังเกตเห็นพวกเธอ เขามองไปยังอวี่ฉี
“ไม่เป็นไรค่ะคุณอา หนูไม่เป็นไร” อวี่ฉีเอ่ยยิ้ม ๆ ก่อนที่เขาจะได้เปิดปาก
“ไม่เป็นไรได้ยังไงกันล่ะจ๊ะ หนูน่ะนั่งรอหมอกู้อยู่ในห้องเล็ก ๆ นั่นคนเดียวตั้งหลายชั่วโมงนะ เห็นไม่มีอะไรทำก็เลยได้แต่นั่งอยู่เฉย ๆ ส่วนตาก็เอาแต่จ้องไปที่ประตูเพื่อรอให้หมอกู้มารับอยู่ตลอด แต่สุดท้ายคุณกลับมานอนสบายอยู่ที่นี่ซะได้” พยาบาลโอบไหล่ของอวี่ฉีไว้ พูดตรงประเด็นจากใจว่า “บอกตามตรงนะคะ ฉันว่าหลานสาวของคุณเป็นเด็กดีเกินไปแล้ว ถึงฉันเคยทำงานที่แผนกกุมารเวชตั้งหลายปี แต่ก็ไม่เคยเห็นเด็กผู้หญิงที่ว่านอนสอนง่ายเท่าเธอมาก่อนเลย”
ความจริงเป็นเพียงเพราะเธอไม่รู้จะมองอะไรดีต่างหาก ที่พอจะมีอะไรให้ดูก็มีแค่ประตูซึ่งมีคนเดินเข้า ๆ ออก ๆ เท่านั้นก็เลยมอง แต่ใครจะรู้ว่าเธอจะถูกเข้าใจผิดไปเป็นแบบนั้นแทน แต่ว่าการเข้าใจผิดเช่นนี้ก็ไม่เลว มันเอื้อต่อการเพิ่มพูนความรู้สึกที่ดีมากจริง ๆ
กู้จวินหลิงกลับขมวดคิ้ว “เธอไม่ใช่หลานสาวของผม”
“ถ้าอย่างนั้นพวกคุณเป็นอะไรกันล่ะ?”
เป็นอะไรกัน? ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันเลยน่ะสิ เธอเป็นเพียงลูกของผู้หญิงที่อีกฝ่ายรักเท่านั้น นอกจากกู้จวินหลิงแล้ว ก็คงไม่มีใครรับดูแลเด็กกำพร้าคนหนึ่งมาไว้ข้างกายให้อยู่ในความรับผิดชอบของตัวเองแบบนี้หรอก
กู้จวินหลิงไม่สนใจพยาบาลคนนั้น เขาเอียงศีรษะมองอวี่ฉีก่อนกล่าวอย่างจริงจังว่า “ขอโทษนะอวี่ฉี ให้เวลาฉันสักสิบนาที ขออีกสิบนาทีฉันจะพาเธอกลับบ้าน”
จะพูดเกรงใจกันเกินไปแล้ว เขาพูดว่าให้เวลาฉันอีกสิบนาที ไม่ใช่รอฉันอีกสิบนาที ถึงจะต่างกันเพียงคำเดียว แต่อย่างหลังคือคำสั่ง อย่างแรกคือการขอร้อง
ถ้าเปลี่ยนให้คนอื่นพูด เธอคงจะรู้สึกแค่ว่าวางตัวดี แต่เมื่อคนที่พูดคำคำนี้เป็นกู้จวินหลิง อวี่ฉีกลับเชื่อว่าเขากำลังขอร้องจริง ๆ
น่าแปลกใช่ไหม เขาเป็นผู้ปกครองของเธอ แถมอายุมากกว่าหลายปี แต่กลับปฏิบัติต่อเธอไม่ต่างจากเพื่อนคนหนึ่ง ซ้ำยังให้เกียรติตัวเธอถึงขนาดนี้
ต่อให้ไม่ได้ทำเพื่อให้ภารกิจสำเร็จ อวี่ฉีก็ค่อนข้างชอบเขามากอยู่ดี ผู้คนมักชอบเด็ก ๆ ซึ่งมันไม่ได้แปลกอะไร ทว่าตั้งแต่ก่อนหน้านั้นจนถึงตอนนี้ เธอกลับพบว่าเขาไม่ได้รักเอ็นดูเด็กเหมือนสัตว์เลี้ยง แต่เป็นการให้เกียรติในฐานะมิตรสหาย
อวี่ฉีรับคำเสียงเบาหวิว
กู้จวินหลิงหมุนตัวไปกรอกเวชระเบียนต่อ เขารักษาสัญญาอย่างเคร่งครัด ผ่านไปเพียงแปดนาทีก็เสร็จงานเรียบร้อย หลังบอกลาเพื่อนร่วมงานก็เดินตรงมาหาเธอ
ขณะที่เดินออกจากแผนกฉุกเฉิน เขาพลันหยุดยืนเพราะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนจะก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อมองเธอด้วยสีหน้าที่แสนจะสงบนิ่ง “อยากจับมือไหม” น้ำเสียงของเขาใสกระจ่างและยังคงความเยือกเย็นเช่นเคย ทว่าเนื้อหาที่พูดกลับไม่ได้ให้ความรู้สึกเข้าหายากเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
อวี่ฉีตกตะลึง เงยหน้าขึ้นมองเขา
เขายื่นมือแบออกตรงหน้าเธอ อวี่ฉีเพิ่งสังเกตว่านิ้วมือของเขาสวยมาก มันไม่ถึงกับเรียวยาว แต่ก็ขาวกระจ่างเรียบเนียนได้สัดส่วน สวยกว่ามือของเด็กผู้หญิงหลายคนเสียอีก เห็นเพียงครั้งเดียวก็ทำให้ตราตรึงลงไปในความทรงจำ
เหมือนเขาจะยังคิดว่าเธอเป็นแค่เด็กผู้หญิงอายุเจ็ดแปดขวบที่ออกนอกบ้านต้องจูงมือผู้ใหญ่ถึงจะสบายใจ แต่ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วอวี่ฉีก็ไม่ได้คิดจะปฏิเสธ มีตรงไหนที่ไม่ดีกัน นี่หมายความว่าเขาไม่ได้ตั้งแง่หรือจงใจหลีกเลี่ยงเธอ อวี่ฉียิ้มก่อนวางมือขวาเบา ๆ บนฝ่ามือของอีกฝ่าย คล้ายเด็กสาวขี้อายที่มอบความไว้ใจให้คนใกล้ชิดสนิทสนม
หลังจากขึ้นรถ อวี่ฉีเหม่อมองทิวทัศน์นอกรถที่เคลื่อนผ่านอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเธอก็โพล่งถามขึ้นมาว่า “คุณอา ทำไมถึงต้องรับตัวภาระอย่างหนูมาเลี้ยงคะ”
ไม่…ประโยคนี้ไม่ได้มีจุดประสงค์แอบแฝง เธอก็เป็นมนุษย์ ย่อมมีความรู้สึกสงสัยอยู่เช่นกัน ถ้าให้พูดตามตรงแล้ว อาชีพแพทย์นั้นไม่ได้สบายเลย กู้จวินหลิงเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ทุกวินาทีที่เขาอยู่ในแผนกฉุกเฉินก็เหมือนกำลังทำสงคราม หากเป็นคนทั่วไปคงได้เลิกงานกลับบ้านเอาหัวทิ่มหมอนหลับไปแล้ว กู้จวินหลิงเอาความกล้ามาจากไหนกันแน่ ถึงกล้ารับเลี้ยงเด็กผู้หญิงกำพร้าคนหนึ่งได้
กู้จวินหลิงยังคงทำแค่ขับรถไปเงียบ ๆ นิ้วขาวเรียวยาวที่วางบนพวงมาลัยสีดำนั้นดูงดงามมาก
เมืองแห่งนี้เมื่อเข้าสู่ยามราตรี แสงไฟก็เริ่มทยอยถูกเปิดจนสว่างไสว แสงจากหลอดไฟจึงทะลุผ่านหน้าต่างรถมาสะท้อนลงบนใบหน้าของของแพทย์หนุ่ม อวี่ฉีหันไปมองเขา เฝ้ารอคอยให้เขาตอบคำถาม
ตามบทละครทั่วไป เขาควรจะตอบว่าเธอไม่ใช่ภาระ ถ้าจะให้ซึ้งขึ้นมาอีกหน่อย ก็คงพูดว่าเธอคือของขวัญที่ฟ้าประทานมาให้ แต่หมอกู้กลับเอ่ยคำตอบที่ไม่เหมือนใครด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ฉันมีปัญญาที่จะเลี้ยงดูเธอได้”
อวี่ฉีอึ้งงัน ในใจยิ่งรู้สึกนับถือ ในโลกนี้คนส่วนใหญ่มักจะพยายามใช้วิธีการต่าง ๆ นานาเพื่อบอกกับคนอื่นว่าตัวเองมีคุณธรรมสูงส่ง แต่หมอกู้กลับใช้คำพูดง่าย ๆ ทำให้คุณงามความดีทั้งหลายดูไร้ค่าไม่คู่ควรให้กล่าวถึงไปเลย
—————————