หรงรุ่ย [5]
หรงรุ่ยลงจากเตียงอย่างยอมรับในชะตากรรม หลังจากล้างหน้าล้างตาเสร็จก็เปลี่ยนไปสวมชุดออกกำลังกายตัวหลวมที่แม่นมชรานำมาส่งให้ แล้วเดินหาวลงบันไดมา
อันที่จริง กระทั่งตอนนี้หรงรุ่ยก็ยังรู้สึกว่าทุกอย่างมันดูพิลึกพิลั่นไปหมด จะมีใครที่ไหนยอมจ่ายเงินมากมายขนาดนั้นเพื่อจ้างเขาให้มาพักที่ชานเมืองแล้ววิ่งออกกำลังกายเป็นเพื่อนตอนเช้าตรู่บ้าง…เขาไม่เข้าใจเลยจริง ๆ
เจ้าชายที่ไม่ได้ออกไปวิ่งเล่นนอกบ้านมานานแล้ว คล้ายกับรู้ว่าพวกเจ้านายกำลังจะไปทำอะไรกัน มันจึงกระโดดขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างตื่นเต้น พลางกระโจนเข้าใส่ร่างของพวกเขาสองคนสลับกันไปมา
ไม่ง่ายเลยกว่าอวี่ฉีจะสวมปลอกคอกับสายจูงให้มันได้ พอออกจากบ้านมา เธอก็เลยนำเชือกจูงยัดใส่มือหรงรุ่ยอย่างหน้าตาเฉย ส่วนตัวเองกลับออกวิ่งนำหน้าไปอย่างสบายใจเฉิบ
พอเจ้าชายเห็นเจ้านายวิ่งออกไป มันก็พุ่งตัวตามทันที จนหรงรุ่ยที่ถูกดึงรั้งตัวโยกไปข้างหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัว เพิ่งจะก้าวขาออกจากบ้านก็ซวนเซจะล้มหน้าคะมำเสียแล้ว
ชายหนุ่มส่ายหน้า ก่อนวิ่งช้า ๆ ตามหลังไปอย่างอ่อนใจ
อากาศในเขตชานเมืองสดชื่นกว่าใจกลางเมืองมาก ผืนหญ้าเขียวขจีดูอ่อนนุ่มราวกับพรมผืนยาวในคฤหาสน์ แซมด้วยดอกไม้ป่าสีม่วงอ่อนเป็นหย่อม ๆ ในบางจุด เมื่อแหงนเงยขึ้นไปก็สามารถมองเห็นท้องฟ้าสีฟ้าสดใสได้
เสียงนกร้องดังเจื้อยแจ้วขึ้นมาในบางครั้ง ยิ่งส่งให้บรรยากาศโดยรอบดูสงบรมรื่นมากขึ้น
ผมสีดำรวบขึ้นสูงเป็นหางม้าของหญิงสาวที่วิ่งนำอยู่ด้านหน้าสะบัดแกว่งไปมาตามฝีเท้าผู้เป็นเจ้าของ มันปัดผ่านลำคอขาวราวกับหยกอย่างเป็นจังหวะ โดยมีเจ้าชายน้อยตัวขาวปลอดวิ่งตามหลังเธอไปติด ๆ หางสีขาวของมันดูฟูฟ่องและอ่อนนุ่ม
ภาพทิวทัศน์ที่งดงามกับหญิงสาวผู้สะสวยนั้นทำให้ใจคนมองเป็นสุข หรงรุ่ยยกมุมปากขึ้น ดวงตาสีดำราวกับน้ำหมึกโค้งขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เขาเร่งฝีเท้าจนไล่ตามอวี่ฉีทันแล้ววิ่งเคียงกันไปข้างหน้า เอ่ยเสียงเกียจคร้านไม่ต่างไปจากแสงอาทิตย์ในยามเช้าตรู่ ถามขึ้นว่า “ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงคิดจะมาวิ่งตอนเช้าตรู่แบบนี้ล่ะครับ?”
อวี่ฉีหันมองเจ้าชาย “มันต้องออกมาวิ่งเล่นข้างนอกทุกวันอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง คุณเองก็เคยเลี้ยงหมาไม่ใช่หรือคะ?”
“ก็ใช่” หรงรุ่ยเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง “ผมแค่คิดไม่ถึงว่าคุณก็เป็นเจ้านายที่ดีเหมือนกัน”
อวี่ฉียกยิ้มมุมปากพลางเอียงหน้าไปมองเขาด้วยท่าทางมีเลศนัย ก่อนจะกล่าวช้า ๆ อย่างคลุมเครือว่า “ฉันเป็นเจ้านายที่ดีรึเปล่า ในอนาคตคุณก็จะรู้เองค่ะ”
หรงรุ่ยทำเพียงเมินมองรอยยิ้มของเธอไปทางอื่น และเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างมีไหวพริบ “เมื่อก่อนผมก็พาข้าวสาลีออกมาวิ่งทุกเช้าเหมือนกัน พริบตาเดียวก็ผ่านไปหลายปีแล้ว เวลานี่ผ่านไปเร็วจริง ๆ”
อวี่ฉีอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ “ข้าวสาลี? ตั้งชื่อได้ดีนี่คะ”
“อืม มันเป็นลาบราดอร์ที่มีขนสีเหลืองสว่างเงางาม เหมือนข้าวสาลีที่เติบโตอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์น่ะครับ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น อวี่ฉีก็สะบัดผมหางม้าที่รวบสูงอยู่หลังศีรษะให้เขาดูทันที “คุณดูสิว่าขนของฉันเงางามเป็นประกายไหม? คุณไม่ลองเลี้ยงฉันแล้วตั้งชื่อว่าเมล็ดงาดูบ้างล่ะคะ?”
หรงรุ่ยถึงกับลงไปนั่งขำจนตัวโยน เจ้าชายก็เข้ามาร่วมวงด้วยการเลียหน้าเขาอย่างบ้าคลั่ง
เมื่อเลิกหัวเราะแล้วเขาก็สบสายตากับเธอ ก่อนจะวิจารณ์อย่างสุขุมว่า “คุณฉิน คุณนี่เป็นคนมีอารมณ์ขันจริง ๆ”
“ยังเรียกฉันว่าคุณฉินอยู่อีกเหรอคะ?”
หรงรุ่ยก้มหน้ามองเจ้าชาย หรี่ตาลงแล้วเอ่ยชื่อของเธอออกมาเสียงเบา “อวี่ฉี”
คำธรรมดาเพียงสองคำ แต่เมื่อถูกเปล่งออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่แฝงไว้ด้วยกระแสเกียจคร้านซึ่งมาพร้อมกับสายลมบางเบาอันอ่อนโยนแล้ว มันช่างคล้ายกับเสียงกระซิบที่แสดงถึงความใกล้ชิดระหว่างคนรักไม่มีผิด
เธอขานรับคำหนึ่ง ก่อนจะก้มลงจูบแก้มขวาของเขาอย่างรวดเร็วแล้วยืดตัวขึ้น จากนั้นก็ถอยเท้าไปด้านหลังเพื่อออกวิ่งอีกครั้ง รอยยิ้มที่อยู่ภายใต้แสงแดดอันอบอุ่นนั้นสดใสงดงามมากกว่าในยามปกติ
หรงรุ่ยอึ้งค้าง ผ่านไปครู่หนึ่งถึงส่ายหัวยิ้มออกมา บางทีเธออาจจะพูดถูก เธอเป็นเจ้านายที่ดีคนหนึ่งจริง ๆ ทำงานให้เธอแล้วมีความสุขมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้ในตอนแรกเป็นร้อยเท่า
ตอนที่กลับถึงคฤหาสน์ เสื้อของทั้งสองคนต่างชุ่มไปด้วยเหงื่อ แต่ละคนจึงแยกย้ายไปอาบน้ำที่ห้องของตัวเอง ก่อนจะมานั่งที่โต๊ะรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน
หลังกินเสร็จ อวี่ฉีก็ลากหรงรุ่ยไปแปรงขนให้เจ้าชาย โดยเริ่มจากการใช้หวีสางขนทั้งหมดให้กระจายตัวก่อน แล้ว ใช้แปรงหมุดสางขนส่วนที่พันกันยุ่งเหยิงให้หลุดออกจากกัน หลังจากนั้นจึงค่อยใช้แปรงขนหมูสางจนทั่วอีกสองสามรอบ สำหรับเจ้าซามอยด์ที่โตเต็มวัยแล้ว จะต้องใช้เวลาแปรงขนให้ราว ๆ ครึ่งชั่วโมงโดยประมาณทุกครั้ง
หรงรุ่ยจึงอดที่จะพูดออกมาตรง ๆ ไม่ได้ว่า “เลี้ยงหมาพันธุ์ใหญ่นี่ต้องเป็นคนที่ทั้งรวยทั้งว่างจริง ๆ สินะถึงจะเลี้ยงได้”
“คุณเองก็เคยเลี้ยงข้าวสาลีนี่” อวี่ฉีเตือนเขาในเรื่องนี้ เธอนั่งขัดสมาธิอยู่บนสนามหญ้าอ่อนนุ่มด้านหลังคฤหาสน์ ปล่อยผมนุ่มลื่นสยายลงมาเคลียไหล่ ทำให้ใบหน้ายิ่งดูสวยงามกระจ่างตา เธอสวยมากจนสามารถใช้ใบหน้าหากินได้ด้วยซ้ำ ไม่ใช่มาจ่ายเงินก้อนโตให้กับคนอย่างเขา
หลังส่งรอยยิ้มให้แล้ว หรงรุ่ยก็ทำงานในมือต่อ แต่จู่ ๆ กลับรู้สึกหนักอึ้งบนต้นขาตัวเอง เป็นอวี่ฉีที่ล้มตัวลงหนุนศีรษะบนตักของเขา เส้นผมสีดำหนานุ่มแผ่สยายอยู่บนกางเกงยีนของเขาราวกับผืนผ้ากำมะหยี่สีดำมูลค่าสูงลิ่ว
กลิ่นอายอันอ่อนโยนหอมหวานของหญิงสาวกรุ่นกำจายอยู่ตรงปลายจมูก เบาบางจนเหมือนล่องลอย หรงรุ่ยนิ่งอึ้งไปอย่างห้ามไม่อยู่ เขาแทบจะไม่มีสมาธิแปรงขนให้เจ้าชายแล้ว ได้แต่ใช้สายตาเหลือบมองไปยังคนที่หนุนตักอยู่อย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้
วันนี้อวี่ฉีไม่ได้แต่งหน้า ใบหน้าจึงขาวใสหมดจดราวกับหยกขาวเนื้อดีที่สามารถมองทะลุได้
เมื่อรู้สึกได้ว่ามีสายตากวาดผ่านใบหน้า อวี่ฉีจึงลืมตาขึ้นมาอย่างเกียจคร้าน แล้วหรี่ตาลงราวกับแมวเหมียว “คุณกำลังมองฉันเหรอคะ?”
หรงรุ่ยตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ ก่อนจะกลับไปใจจดจ่อกับการแปรงขนให้เจ้าชายเหมือนก่อนหน้านี้อย่างรวดเร็ว
มีความหนักแน่นมั่นคงดีจริง ๆ สมกับเป็นผู้ชายที่เคยข้ามผ่านร้อยพุ่มบุปผามาแล้ว อวี่ฉีลอบถอนหายใจ คงทำได้แค่พยายามต่อไป
เธอขยับเอียงศีรษะเล็กน้อย แนบใบหน้าไปบนท้องน้อยที่แบนราบของเขา แล้วใช้สองมืออ้อมไปด้านหลัง กอดรอบเอวเขาเอาไว้ราวกับเป็นหมีโคอาล่า
มือของหรงรุ่ยที่กำหวีอยู่สั่นระริกอย่างควบคุมไม่อยู่ สุดท้ายก็ทิ่มโดนเจ้าชายจนมันร้องหงิง เจ้าหมาตัวใหญ่จึงพุ่งเข้ามาในอ้อมแขนของหรงรุ่ยเพื่อขอให้เขาปลอบใจ
—————————————
จนกระทั่งแสงอาทิตย์เริ่มแผดจ้าราวกับจะเผาคนได้ อวี่ฉีและหรงรุ่ยจึงพาเจ้าชายชายเข้าบ้าน ขณะนั้นแม่นมชรากำลังยุ่งอยู่กับงานพอดี แต่เมื่อเห็นพวกเขาเข้ามา เธอก็รีบยกน้ำชากับขนมมาให้ พลางบอกว่าอาหารกลางวันใกล้เสร็จแล้ว
อวี่ฉีจึงบอกให้เธอค่อย ๆ ทำ ไม่ต้องรีบร้อน เอ่ยจบก็คว้าข้อมือของหรงรุ่ยลากเขาขึ้นไปชั้นบน
หรงรุ่ยก้มมองมือเธอที่เกาะกุมข้อมือของเขาเอาไว้ เป็นมือที่มีเพียงคุณหนูผู้ร่ำรวยเท่านั้นถึงจะมีได้จริง ๆ รูปทรงเรียวสวย ขาวเนียนอ่อนนุ่ม ผิวบางเรียบลื่นจนเทียบได้กับหยกมันแพะเลยทีเดียว
เขาหัวเราะในลำคอ ใช้น้ำเสียงเนิบช้าเหมือนไม่ใส่ใจแหย่เธอไปว่า “คุณหนูท่านนี้ กรุณาอย่ามาถึงเนื้อถึงตัวกันขนาดนี้สิครับ”
อวี่ฉีหยุดฝีเท้าลงแล้วหันกลับไป หางม้าสีดำสะบัดเป็นมุมโค้งสวยงามกลางอากาศ เธอยืนอยู่บนบันไดขั้นที่สูงกว่าเขาสองสามขั้น ดวงตาคู่งามที่มองลงไปเป็นประกายแวววาวแฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม “ถึงเนื้อถึงตัว?”
หรงรุ่ยเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นในใจ แล้วก็เป็นไปตามที่คาดไว้ วินาทีต่อมาอวี่ฉีก็ยกมือข้างที่เขาเพิ่งจะทอดถอนใจมองอย่างชื่นชมขึ้นมา เชยคางของเขาขึ้นด้วยท่าทางเหมือนกับลูกผู้ดีมีเงินเอาแต่ใจ ก่อนก้มลงจูบเบา ๆ บนริมฝีปากของเขาดั่งแมลงปอที่บินเฉียดผิวน้ำไป
“แบบนี้จึงจะเรียกว่าถึงเนื้อถึงตัวจริง ๆ” เธอยิ้มออกมา เรียวนิ้วอ่อนนุ่มลูบไล้ปลายคางของเขาแผ่วเบาไปมาครู่หนึ่งจึงยอมปล่อย แล้วกลับไปจับข้อมือของเขาเอาไว้อีกครั้ง “ขึ้นไปชั้นบนกับฉันนะ ฉันมีของดีบางอย่างจะให้คุณ”
อันที่จริง อวี่ฉีบังเอิญนึกขึ้นได้ว่าฉินอวี่ฉีในเวอร์ชั่นต้นฉบับนั้น นอกจากจะเคยมอบของขวัญราคาแพงให้แล้ว ยังเคยมอบกระดิ่งลมอันหนึ่งที่ทำเองกับมือด้วย ข้าวของมีค่าหายากพวกนั้นเธอจำได้ไม่กี่ชิ้น แต่เจ้ากระดิ่งลมอันนี้กลับฝังแน่นอยู่ในความทรงจำของเธอ
หรงรุ่ยเดินตามเธอเข้าไปในห้องด้วยสีหน้างง ๆ ก่อนจะเห็นอวี่ฉีเปิดลิ้นชักเป็นพัลวัน ไม่ง่ายเลยกว่าจะหากล่องกำมะหยี่สีเขียวที่ดูสวยงามประณีตกล่องหนึ่งออกมาได้
หลายวันมานี้ หรงรุ่ยประทับใจในความ ‘หน้าใหญ่ใจโต’ ของใครบางคนมาก ดังนั้นเมื่อเห็นอวี่ฉีทำท่าทางให้ความสำคัญกับของชิ้นนี้ เขาก็เลยนึกว่าข้างในกล่องสีเขียวใบนี้คงจะใส่อะไรที่ยอดเยี่ยมสุด ๆ เอาไว้แน่ ใครจะไปคิดล่ะว่าพอเธอเปิดฝากล่องขึ้นมา กลับมีแต่กระดิ่งลมสีเขียวที่ประดิษฐ์ขึ้นมาอย่างหยาบ ๆ อันหนึ่งอยู่ในนั้น
ริบบิ้นสีเขียวสอดผ่านที่ครอบกระจกใสทรงครึ่งวงกลมอันหนึ่ง ด้านบนมีรูปดอกไม้ใบหญ้าที่ดูเหมือนเด็กวาดอยู่หย่อมหนึ่ง และมีการ์ดทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าใบหนึ่งห้อยอยู่ใต้ที่ครอบกระจก
กระดิ่งลมทำมือสไตล์ญี่ปุ่นชิ้นนี้ มองแล้วอย่างมากคงมีราคาแค่ราว ๆ ยี่สิบหยวน ยังมีมูลค่าไม่ถึงครึ่งหนึ่งของกล่องกำมะหยี่ใบนั้นเลยด้วยซ้ำ
ความจริง ในวินาทีแรกที่อวี่ฉีเปิดฝากล่องออก เธอเองก็รู้สึกว่ามันเป็นของที่ไม่ควรเอามาอวดให้ใครดูเหมือนกัน ใครจะคิดล่ะว่าฉินอวี่ฉีจะฝีมือแย่ขนาดนี้ ริบบิ้นสีเขียวที่ดึงไม่ได้รูปทรงก็ดูบิดเบี้ยวไปหมด แถมมีชายหลุดลุ่ยออกมานิดหน่อยด้วย ส่วนภาพที่วาดไว้บนที่ครอบกระจกยังสวยสู้เด็กอนุบาลอายุสี่ขวบไม่ได้เลย น่าอับอายขายขี้หน้าจริง ๆ ขายขี้หน้าไปถึงไซบีเรียโน่นแล้ว!
แต่ในเมื่อหยิบของออกมาแล้ว ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีเหตุผลที่จะเก็บมันกลับไปอีก เธอจึงทำได้เพียงมั่นหน้าต่อไป
“กระดิ่งลม?” หรงรุ่ยเลิกคิ้วขึ้นสูง มุมปากที่โค้งขึ้นของเขาไม่ว่าจะมองมุมไหนก็เหมือนกำลังหัวเราะเยาะอยู่ดี
“ใช่…ทำไว้ตอนเด็ก ๆ น่ะ”
เมื่อได้รับสายตาที่แฝงไว้ด้วยความรังเกียจของหรงรุ่ย อวี่ฉีจึงปั้นหน้านิ่งพลางยัดกระดิ่งลมใส่ในมือของเขา ดวงตาหรี่ลงพร้อมกับพูดขู่ว่า “ถ้ากล้าทิ้งมันละก็ คุณตายแน่”
หรงรุ่ยเลิกคิ้วขึ้นอีกครั้ง “นี่ถือว่าเป็นของแทนใจรึเปล่าครับ?”
“ทำไมคะ คุณคิดจะใช้ร่างกายตอบแทนเหรอ?”
หรงรุ่ยประคองกระดิ่งลมเอาไว้ในอุ้งมือ เขามองอยู่นาน สุดท้ายก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมา ทำยังไงก็หยุดหัวเราะไม่ได้เลย
เขาพลันค้นพบว่า ช่วงเวลาที่ได้อยู่กับผู้หญิงคนนี้ จำนวนครั้งที่เขายิ้มออกมาอย่างมีความสุขนั้นมากกว่าปีที่แล้วทั้งปีรวมกันซะอีก ถ้าเขาและเธอไม่ได้รู้จักกันด้วยวิธีการแบบนั้น บางที…ไม่แน่ว่าเขาอาจจะตกหลุมรักเธอไปตั้งนานแล้วก็ได้
———————————————————–