กลับบ้านรอบนี้ หานเซ่าไม่มีทีท่าว่าจะออกไปไหน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เอาแต่พักอยู่บนชั้นสามและใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการขลุกตัวอยู่ในห้องหนังสือของตัวเองแทน มีแค่เวลาอาหารสามมื้อกับช่วงหลังมื้อกลางวันเท่านั้นถึงจะลงมาที่ชั้นหนึ่ง
ที่จริงเธอก็อยากขึ้นชั้นสามเพื่อเพิ่มโอกาสในการอยู่ใกล้ชิดอยู่หรอก แต่เพราะเสี่ยวโจวย้ำนักย้ำหนาว่าห้ามขึ้นไปชั้นสาม อีกทั้งการเคารพในพื้นที่ส่วนตัวของผู้อื่นก็นับว่าเป็นมารยาทขั้นพื้นฐานที่สุดอย่างหนึ่ง อวี่ฉีจึงได้แต่ทำใจเท่านั้น
ช่วงเวลาเดียวที่จะสามารถพบกันได้มีแค่เวลาอาหารสามมื้อกับช่วงหัวค่ำเท่านั้น ดังนั้นเธอจึงหวงแหนช่วงเวลานี้มากที่สุด
แต่ที่น่ากลุ้มใจก็คือ เมื่อถึงเวลาอาหารของทุกวัน พวกเขาจะต้องนั่งแยกกันคนละด้านของโต๊ะที่ยาวสุดกู่ แค่จะพูดสักประโยคยังต้องตะโกนคุยถึงจะได้ยิน ไม่เอื้อต่อการแลกเปลี่ยนความรู้สึกสุด ๆ อวี่ฉีจึงตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงสถานการณ์นี้ให้จงได้
ถึงแม้ว่าการทำแบบนี้อาจสุ่มเสี่ยงต่อการทำให้คุณชายหานไม่พอใจ แต่เธอก็ยังขอให้เสี่ยวโจวเปลี่ยนโต๊ะกินข้าว จากโต๊ะยาวมาเป็นโต๊ะไม้มะฮอกกานีทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสแทนอยู่ดี
โต๊ะตัวนี้เธอเลือกเองกับมือ ดีไซน์สวยงาม ฝีมือช่างประณีตละเอียดอ่อน วัสดุที่ใช้นับได้ว่าเป็นของชั้นหนึ่ง เพียงแต่ขนาดของมันช่างเล็กกะทัดรัด แค่นั่งร่วมโต๊ะกันสองคนข้อศอกก็แทบจะชนกันเองแล้ว ระยะห่างแต่เดิมที่ดูห่างเหินเย็นชาจึงถูกดึงมาให้ชิดใกล้ในพริบตาเดียว
ครั้งแรกที่หานเซ่าเห็นโต๊ะตัวนี้ เขาแสดงอาการงุนงงขึ้นมาเป็นอย่างแรก ต่อจากนั้นก็หันขวับไปมองอวี่ฉีที่ยืนอยู่ทางฝั่งหนึ่งทันทีอย่างมั่นใจว่าใครคือตัวการ ทั้งที่แววตาคู่นั้นแลดูแสนเฉยชาห่างเหินอย่างเห็นได้ชัด แต่กลับมีประกายคมกล้าสายหนึ่งที่ทะลุทะลวงเข้าไปถึงจิตใจของผู้คน จนคนที่ถูกมองอย่างเธอถึงกับร้อนตัวขึ้นมาชั่วขณะ
สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะไม่พูดอะไร ทำเพียงดึงเก้าอี้ออกแล้วนั่งลง
อวี่ฉีผ่อนลมหายใจ อันที่จริงเธอกังวลมากว่าการทำเช่นนี้อาจจะทำให้คนที่ชอบควบคุมและบงการทุกอย่างเช่นหานเซ่าโมโหได้ แต่ดูเหมือนว่าเธอจะวิตกกังวลมากเกินไปเอง ยังดีที่หานเซ่าไม่ใช่คนใจแคบถึงขั้นนั้น
เคยมีคำพูดดี ๆ ที่คนกล่าวเอาไว้ว่า ผู้ชายยิ่งมากความสามารถยิ่งยากที่จะหงุดหงิดหรือโมโหง่าย ความอดทนและความสามารถในการควบคุมตัวเองของพวกเขาล้วนเป็นที่ประจักษ์อยู่ในตัว ถ้าไม่ได้ถูกดึงฟางเส้นสุดท้ายออกมา พวกเขาก็คงไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเด็กผู้หญิงง่าย ๆ อย่างแน่นอน
อวี่ฉีนั่งลงตรงข้ามหานเซ่า หยิบตะเกียบยื่นส่งให้อีกฝ่าย จากนั้นก็เลื่อนแก้วกาแฟข้าง ๆ มือของเขามาทางตัวเอง แล้วเลื่อนแก้วน้ำอุ่นข้างมือของเธอไปให้เขาแทน
เธอตั้งใจหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งกระเพาะอาหารในอินเทอร์เน็ตมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ บันทึกทุก ๆ เรื่องฝังลงไปในสมองอย่างแม่นยำจนแทบจะท่องออกมาได้ หนึ่งในข้อมูลพวกนั้นระบุว่ากาแฟเป็นเครื่องดื่มที่มีสารกระตุ้น ผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารควรดื่มแต่น้อยจะเป็นการดีที่สุด
โดยส่วนตัวแล้วที่เธอตั้งใจทำขนาดนี้ ก็เป็นเพราะเธอหวังให้หานเซ่าหายขาดจากโรคนี้จากใจจริง ไม่ใช่เพื่อให้ภารกิจสำเร็จเพียงอย่างเดียว ไม่อย่างนั้นแค่เธอเอาใจใส่เขาให้มากหน่อยก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องพยายามคิดให้เปลืองแรงขนาดนี้ก็ได้
หานเซ่าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามชำเลืองมองการกระทำของเธอแวบหนึ่ง เขาไม่พูดอะไร เพียงหันกลับไปมองอาหารทั้งโต๊ะด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
จากเมื่อก่อนที่เป็นข้าวสวยได้ถูกเปลี่ยนเป็นข้าวฟ่างต้ม กับข้าวแต่ละอย่างล้วนเป็นอาหารรสอ่อน ไม่มีอาหารมันหรือรสจัดเลยสักจาน มองไปทางไหนก็เห็นแต่พืชผักสีเขียว ซึ่งนี่ก็เป็นหนึ่งในข้อมูลที่อวี่ฉีหามาเช่นกัน
การกินผักใบเขียวให้มาก ๆ จะส่งผลดีต่อผู้ป่วยโรคมะเร็ง เพราะผักอุดมไปด้วยวิตามินเอ ซี อี และย่อยได้ง่าย ส่วนข้าวต้มร้อน ๆ นั้นเหมาะกับการฟื้นฟูระบบย่อยอาหาร อีกทั้งยังกลืนง่ายคล่องคอมากกว่าข้าวสวยอีกด้วย
หานเซ่ากวาดตามองข้าวต้มและเครื่องเคียงด้วยแววตาเรียบเฉยแวบหนึ่ง สุดท้ายสายตาก็หยุดนิ่งที่ตัวอวี่ฉี คิ้วยาวเรียวเลิกขึ้นเล็กน้อยคล้ายกำลังขอคำอธิบาย
ถ้าหากฝ่ายตรงข้ามเป็นคนอื่น เธออาจจะพยายามโน้มน้าวเกลี้ยกล่อมว่ากาแฟไม่ดีต่อกระเพาะอย่างนั้นอย่างนี้ ส่วนผักและข้าวต้มร้อน ๆ นั้นมีสรรพคุณที่ดีต่อร่างกายของคุณอย่างนี้อย่างนั้น สาธยายความหวังดีจริงใจของเธออย่างออกรสออกชาติสักรอบหนึ่ง หรือไม่ก็ยืมวิธีแสดงความห่วงใยยอดนิยมอย่างการสวมบทเป็นคุณแม่ขี้บ่นเพื่อชักจูงอีกฝ่ายไปแล้ว
แต่นี่ฝ่ายตรงข้ามคือหานเซ่า ดังนั้นเธอจึงทำได้แค่วางตะเกียบลง สบตาเขากลับ แล้วยิ้มอย่างเฉลียวฉลาดเอาใจ “ช่วงนี้ฉันชอบทานอาหารรสอ่อน ๆ มากกว่า เลยเผลอทำตามใจชอบไปหน่อย” เธอเว้นช่วงเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มอ่อนหวานมากยิ่งขึ้น “แต่รสชาติก็พอใช้ได้อยู่นะคะ คุณจะลองชิมดูไหม”
คนอย่างหานเซ่า หากคุณกระตือรือร้นให้ความสนอกสนใจมากเกินไป ก็ไม่แคล้วต้องปะทะกำแพงน้ำแข็งอันหนาวเหน็บนั่นเป็นแน่ และนี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้คนส่วนใหญ่ต่างคิดว่าเขาเป็นพวกไม่ต้องการความห่วงใยจากใครหน้าไหนทั้งนั้น
ดังนั้นหากปรับเปลี่ยนวิธีเล็กน้อย ผลลัพธ์ทั้งหมดก็จะต่างออกไปในทันที คนหัวไวแบบนี้ยังไงก็เดาเจตนาแอบแฝงในใจคุณได้อยู่แล้วว่าคุณทำเพื่อให้เขามีอาการดีขึ้น ในขณะเดียวกันก็ย่อมเข้าใจว่าการแสดงความหวังดีอย่างอ้อม ๆ เช่นนี้เป็นเพราะต้องการจะรักษาหน้าให้เขาด้วย
ต่อให้ชั่วชีวิตนี้เธออาจจะไม่มีวันได้รับคำขอบคุณจากเขา ทว่าก็เป็นไปได้ที่เขาอาจจะจดจำสิ่งที่เธอทำไว้ในใจ และนั่นก็คือเป้าหมายสุดท้ายที่เธอต้องการ
เป็นไปตามคาด สีหน้าของหานเซ่าค่อย ๆ ผ่อนคลายลง ริมฝีปากที่เดิมเม้มแน่นก็คลายออก ใบหน้านิ่งเรียบเจือความจนใจอยู่ราง ๆ เขาจ้องมองอวี่ฉีอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ถึงแม้ดวงตาที่ไร้ระลอกคลื่นจะยังคงเย็นชา แต่สุ้มเสียงกลับนุ่มนวลอย่างที่เคยเป็นมา “ฉันเคยพูดไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเธอเป็นคนฉลาดมาก”
อวี่ฉีทำเพียงยิ้ม แต่ไม่ตอบอะไร
เสี่ยวโจวที่ยืนอยู่อีกฝั่งไม่เข้าใจการรับรู้โดยนัยของคนทั้งคู่ จึงอดไม่ได้ที่จะพูดแทรกขึ้น “ท่านอย่าต่อว่าคุณหนูที่ทำไปโดยพลการเลยนะครับ เธอง่วนอยู่กับการทำอาหารพวกนี้ตลอดทั้งเช้า ต่อให้จะไม่ถูกปากยังไงก็น่าจะทานสักหน่อย อย่างน้อยก็เป็นความหวังดีของคุณหนู”
คุณค่าของความพยายามเอาชนะใจคนก็ผลิดอกออกผลในเวลานี้เอง ถึงอวี่ฉีจะทำหน้านิ่งไม่พูดอะไร แต่ในใจกลับรู้สึกขอบคุณเสี่ยวโจวเป็นที่สุด บางครั้งการถามไถ่ที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใยสิบประโยคของคุณ ก็สู้คำพูดลอย ๆ หนึ่งประโยคของคนอื่นไม่ได้ เป็นหลักการเดียวกับการประพันธ์งานเขียน การบรรยายที่ตรงไปตรงมากว่าร้อยตัวอักษรนั้น บางครั้งก็ยังดีไม่เท่ากับหนึ่งประโยคที่เปรียบเปรยอย่างอ้อม ๆ เลย
หานเซ่าถอนหายใจ ใช้นิ้วคลึงหว่างคิ้วของตัวเอง จากนั้นก็เหลือบตาขึ้นมองอวี่ฉี กระดิกนิ้วเรียกเธอด้วยท่าทางสง่างาม “มานี่”
ร่างกายของอวี่ฉีนิ่งงันไปเล็กน้อย แต่ก็ยังลุกขึ้นยืนอย่างรู้ความ เธอเดินอ้อมโต๊ะสี่เหลี่ยมมาหยุดอยู่ข้างกายเขา เอ่ยถามเสียงเบา “มีอะไรเหรอคะ”
สิ้นคำ หานเซ่าก็เอื้อมมือมารวบตัวเธอเอาไว้ในอ้อมกอดอย่างนุ่มนวล สัมผัสโอบอ้อมอารีนี้ไม่ต่างจากอ้อมกอดของญาติผู้ใหญ่กับลูกหลานที่สนิทสนม มือของเขาลูบแผ่นหลังของเธอเบา ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับเจ้าของสัตว์เลี้ยงแสนใจเย็นที่กำลังปลอบประโลมลูกแมวบนตัก
อวี่ฉีตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ก่อนจะค่อย ๆ ยกมือขึ้นโอบรอบเอวของเขาที่นับวันยิ่งผ่ายผอมลงเรื่อย ๆ อย่างแนบแน่น เกยคางบนไหล่สมส่วนของเขาแผ่วเบา ระหว่างปล่อยให้เสียงทุ้มต่ำราวเสียงเชลโลและลมหายใจอันอบอุ่นของเขาลอยผ่านข้างใบหูไป
คำพูดของเขาแม้จะเนิบช้า แต่กลับชัดถ้อยชัดคำเป็นอย่างมาก ผสมด้วยเสียงถอนหายใจอันเบาบาง “อวี่ฉี เธอเป็นเด็กดีคนหนึ่ง” เมื่อพูดจบ เขาก็ยื่นมือมาลูบเส้นผมสีดำของเธออย่างแผ่วเบา
“ฉันดีใจมากที่เธอไม่ได้ตั้งแง่กับฉันเหมือนกับพี่สาวของเธอ แต่เธอก็ไม่ได้มีหน้าที่ที่จะต้องทำแบบนี้ ที่ฉันช่วยครอบครัวของพวกเธอไม่ได้เป็นเพราะฉันเป็นคนจิตใจดีอะไรทั้งนั้น ฉันให้เพราะเป็นใจฉันเองที่คิดนอกลู่นอกทาง สิ่งที่ฉันสนใจคือความสวยงามในวัยเด็กสาวของเธอกับพี่สาวของเธอเท่านั้น เธอไม่จำเป็นต้องตอบแทนอะไรฉันทั้งสิ้น”
อวี่ฉีเข้าใจในทันที เขาคิดว่าสิ่งที่เธอทำไปเป็นเพราะต้องการจะตอบแทนบุญคุณ นั่นทำให้เธออดขมวดคิ้วแน่นไม่ได้ นับตั้งแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบัน หนึ่งในสามยอดนักฆ่าผู้สังหารต้นอ่อนของความรักก็คือการเข้าใจผิดคิดว่า ที่อีกฝ่ายทำดีกับตัวเองนั้นเป็นเพราะต้องการจะตอบแทนน้ำใจ จนมีคู่รักใจตรงกันไม่รู้กี่คู่แล้วที่ได้แต่เดินเฉียดไหล่และคลาดแคล้วกันไปเพราะเรื่องนี้
แต่ในฐานะที่เธอเป็นผู้โดดเด่นในหมู่นางร้าย เธอไม่มีทางยอมผิดพลาดกับเรื่องระดับอนุบาลเช่นนี้เด็ดขาด
อวี่ฉีรีบผละออกมาจากอ้อมกอดของหานเซ่า ยืนตัวตรงเบื้องหน้าของอีกฝ่าย แล้วจ้องมองเข้าไปในดวงตาหงส์อันงดงามของเขานิ่ง ๆ “คุณหาน จริงอยู่ค่ะว่าฉันรู้สึกขอบคุณคุณ แต่ถ้าเป็นแค่ความรู้สึกขอบคุณแล้วละก็ ฉันไม่มีทางพยายามทุ่มเทขนาดนี้หรอกนะคะ” พูดจบเธอก็ย่อตัวลงจนระดับสายตาประสานเข้ากับดวงตาของหานเซ่าที่นั่งอยู่
หานเซ่าอดที่จะเลิกคิ้วขึ้นมาไม่ได้ “ถ้าอย่างนั้นเธอต้องการอะไร จะมาเป็นคุณนายหานงั้นเหรอ” เขายิ้ม “จากนั้นก็จะได้มรดกทั้งหมดของฉันไป?”
เขาตีความไปในทิศทางเลวร้ายขึ้นเรื่อย ๆ สถานการณ์ตรงหน้าไม่อนุญาตให้เธอลังเลอีกต่อไป อวี่ฉีโน้มใบหน้าเข้าไปหาเขา แล้วจุมพิตที่มุมปากของเขาแผ่วเบา จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้น จ้องมองดวงตาของเขาอย่างจริงจัง “ไม่ค่ะคุณหาน ฉันแค่หลงใหลในตัวคุณมากก็เท่านั้น”
หานเซ่าชะงักไป
อวี่ฉีไม่เปิดโอกาสให้หานเซ่ามีปฏิกิริยาโต้ตอบ เธอกอดเอวเขาไว้แน่นอีกครั้ง น้ำเสียงยามเอื้อนเอ่ยทั้งแผ่วเบาและนุ่มนวลอย่างถึงที่สุด ผสานกับความอ่อนหวานของเด็กสาวอายุสิบหก
“ฉันไม่อยากเป็นคุณนายหานอะไรทั้งนั้น ฉันแค่หวังให้คุณมีชีวิตต่อไป มีชีวิตต่อไปอีกนานแสนนาน”
—————————————————–