ชายที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานอย่างหานเซ่า ย่อมไม่ดีใจจนเนื้อเต้นเพียงเพราะได้รับคำสารภาพรักของเด็กสาวแน่นอน เขาแค่ชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มบาง ๆ ออกมา แล้วตบบ่าของเธอแผ่วเบาหลายครั้ง แต่กลับไม่พูดอะไรเลยสักคำเดียว
คนทุกคนย่อมมีความลำเอียงอยู่ในใจ เด็กสาวสองคนที่งดงามเยาว์วัยเหมือน ๆ กัน ขณะที่คนคนหนึ่งเกลียดชังคุณ แต่อีกคนกลับชอบคุณ เป็นธรรมดาที่ใจจะเอนเอียงไปทางคนหลัง
หลังจากวันนั้น หานเซ่าก็ไม่ได้ขลุกตัวอยู่แต่ในห้องหนังสือทั้งวี่ทั้งวันเหมือนเช่นเคยอีกแล้ว เขาลงมาใช้เวลานั่งเล่นที่ชั้นล่างเป็นบางครั้ง เมื่อลงมาบ่อยขึ้น บางคราเขาก็จะได้ยินเสียงพูดคุยของอวี่ฉีกับเสี่ยวโจวตรงขั้นบันไดหรือห้องครัว ทั้งสองลดเสียงลงพูดกันเบา ๆ แต่ก็ยังสามารถได้ยินอย่างชัดเจน
“การรักษาสุขภาพหลังการผ่าตัดเป็นเรื่องสำคัญมากนะคะ ผลข้างเคียงของคีโมทำให้ภูมิคุ้มกันลดลงได้อยู่แล้ว อย่างน้อยก็จำเป็นต้องใช้ยาจีนมาเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา กินแต่จินเซนโนไซด์อย่างเดียว ถ้าเกิดอาการกลับมากำเริบซ้ำอีกครั้งจะทำยังไง” ถึงจะเป็นเสียงนุ่มนวลของเด็กผู้หญิง แต่น้ำเสียงไม่ได้ว่านอนสอนง่ายเหมือนกับตอนอยู่ต่อหน้าเขาตามปกติ กลับฟังแล้วมีอำนาจแฝงอยู่ไม่น้อย
หานเซ่าหยุดเดิน เขายืนนิ่งบนบันไดด้วยสีหน้าเรียบเฉย พลางชำเลืองมองไปทางห้องครัวที่ไม่ได้ปิดประตูเอาไว้
เสี่ยวโจวตอบเบา ๆ ไม่กี่ประโยค อวี่ฉีเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากว่า “เอายามาให้ฉันก็แล้วกันค่ะ ฉันจะกล่อมให้เขาทานเอง”
หานเซ่าเลิกคิ้ว ส่ายศีรษะด้วยสีหน้าอ่านไม่ออก เขาก็ไม่ได้เอ่ยทักอะไรให้มากความ ทำเพียงเดินลงบันไดเพื่อไปอ่านหนังสือของเขาอย่างที่เคยทำเท่านั้น
ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา อวี่ฉีเดินหิ้วถุงกระดาษใบเล็กมาที่ห้องรับแขก ก่อนอ้อมโซฟามาหย่อนตัวลงนั่งบนพรมขนหนาที่ข้าง ๆ ขาของเขาอย่างเคยชินไม่ต่างจากคืนแรกที่เจอกัน เธอไม่ได้แต่งหน้า ใบหน้ารูปไข่จึงขาวกระจ่างใสเป็นธรรมชาติ เส้นผมสีดำนุ่มลื่นถูกปล่อยสยายลงมา สวมชุดกระโปรงผ้าฝ้ายสีขาวบริสุทธิ์สะอาดเรียบร้อยอยู่บนตัว ดูแล้วน่ารักไร้เดียงสาไปทุกส่วน
อันที่จริงอวี่ฉีเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้สึกกังวลกับเรื่องนี้ เพราะการหว่านล้อมให้กินยานั้นต่างจากการหว่านล้อมให้กินอาหารประจำวันครบสามมื้อ จะให้บอกว่า ‘ช่วงนี้ฉันชอบทานยาประเภทนี้ คุณจะลองดูหน่อยไหมคะ’ ก็ไม่ได้ ฉะนั้นจึงเหลือแค่การพูดโน้มน้าวแบบตรง ๆ วิธีเดียวเท่านั้น
แต่หากพูดจาไม่เข้าหูสักประโยค อาจจะเผลอเหยียบกับระเบิดของหานเซ่าเข้าก็เป็นได้ ดีไม่ดีตอนจบเธออาจจะถูกจับโยนเข้าตำหนักเย็น แล้วไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกต่อไป
หานเซ่าเห็นท่าทางลังเลของเธอก็เอ่ยปากถามด้วยความหวังดีว่า “การบ้านเป็นยังไงบ้าง” เธอยังคงเอนตัวนั่งข้างขาของเขาเหมือนเช่นเคย ไหล่ขาวเนียนพิงหัวเข่าของเขาแผ่วเบา ศีรษะของเธอสูงเหนือที่เท้าแขนโซฟาเพียงเล็กน้อย ทำให้เขาสามารถยื่นมือลูบเส้นผมสีดำของเธอได้อย่างถนัดมือและเป็นธรรมชาติ ราวกับกำลังหยอกล้อกับสุนัขลาบราดอร์ไม่ก็สุนัขตัวใหญ่แสนเชื่องที่เลี้ยงมาเองกับมือ
การที่เขาถามเรื่องการบ้านนั้นไม่เคยอยู่ในหัวเธอเลยสักนิด อวี่ฉีจึงงุนงงไปชั่วขณะ ก่อนจะตอบไปอย่างไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเท่าไรว่า “พอทำได้อยู่ค่ะ”
หลังจากที่เธอย้ายมาได้ไม่นาน พนักงานขนย้ายก็นำข้าวของที่จำเป็นและต้องใช้ในชีวิตประจำวันจากบ้านของเธอมาไว้ที่นี่ นั่นรวมไปถึงการบ้านช่วงปิดเทอมฤดูหนาวด้วย แต่ติดที่ว่าเธอไม่ได้คิดว่าตัวเองจะเสียเวลาในชีวิตอยู่ที่นี่นานนัก วัน ๆ จึงได้แต่คิดว่าจะทำอย่างไรให้ภารกิจสำเร็จ จะมีเวลาไปสนใจการบ้านพวกนั้นได้ยังไงกัน
หานเซ่าชำเลืองมองเธออย่างเรียบเฉยแวบหนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นก็ไปดูที่ห้องหนังสือของเธอกัน” แม้เสียงของเขาจะสงบนิ่งและนุ่มนวล แต่ก็มีเจตนาออกคำสั่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้
อวี่ฉีเงยหน้ามองเขาอย่างประหลาดใจ เธอจ้องทะลุเข้าไปยังส่วนมืดมิดที่สุดของดวงตาหงส์คู่นั้นตรง ๆ พริบตาต่อมาเธอก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่ไร้เสียง รวมถึงความรู้สึกแรงกล้าที่ส่งผ่านสายตาของเขามาโอบล้อมรอบตัวเธอไว้
เธอลอบถอนหายใจกับตัวเอง ก่อนค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนแล้วก้มศีรษะลงอย่างเชื่อฟัง “ค่ะ คุณหาน”
ผู้ชายที่ทรงอำนาจอย่างแท้จริงนั้นไม่จำเป็นต้องใช้วาจาข่มขู่หรือตะคอกอะไรทั้งสิ้น กระทั่งถลึงตาใส่คุณก็ไม่จำเป็น เพราะเพียงแค่เขาจ้องมองคุณด้วยท่าทางสบาย ๆ แต่ภูมิฐานนั่น ก็ทำให้คุณไม่กล้าขัดคำสั่งใด ๆ ของเขาได้แล้ว
สิบนาทีต่อมา อวี่ฉีก็ได้เชิญหานเซ่าเข้าไปในห้องหนังสือของเธอ
ภายในตกแต่งเป็นสไตล์ยุโรป เครื่องเรือนเรียบง่าย แต่ดูมีรสนิยม ห้องหนังสืออันเงียบสงบมีเพียงแสงอาทิตย์อันอบอุ่นส่องเข้ามาจากภายนอกผ่านกระจกหน้าต่างโปร่งใส ลำแสงทอดลงมาบนโต๊ะหนังสือสีขาวกับตู้หนังสือที่อยู่ข้างหน้าต่าง กุหลาบขาวที่ค่อนข้างเหี่ยวเฉาสิบกว่าดอกปักอยู่ในแจกันแก้วตรงมุมโต๊ะ ทั้งยังมีกองหนังสืออ้างอิงกองหนึ่งที่ตั้งซ้อนกันจนสูงวางอยู่อีกฝั่งของโต๊ะด้วย
หานเซ่าเดินทอดน่องไปยังโต๊ะหนังสือ สายตากวาดผ่านจากดอกกุหลาบขาวไม่กี่ดอกมาหยุดอยู่ที่หนังสือกองหนาอย่างรวดเร็ว เขาสุ่มพลิกหน้าหนังสือเล่มแรก ทุกหน้าล้วนขาวสะอาด เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนเอื้อมมือไปหยิบอีกเล่มมาพลิกดูบ้าง ปรากฏว่าว่างเปล่าเช่นกัน
อวี่ฉียืนอยู่ข้างโต๊ะหนังสืออย่างว่านอนสอนง่ายราวกับนักเรียนประถมที่กำลังรอให้ดุด่าว่ากล่าว แล้วพูดอย่างซื่อตรงสุด ๆ ว่า “ฉันยังไม่ได้ทำทั้งหมดเลยค่ะ”
มือของหานเซ่านิ่งค้างระหว่างกำลังจะเอื้อมไปหยิบหนังสือเล่มที่สาม สักพักจึงเปลี่ยนมาวางลงบนศีรษะของเธอแทน ก่อนจะลูบไปมาอย่างอ่อนใจ “เรื่องนี้พี่สาวของเธอทำได้ดีกว่าเธอ ถ้าเป็นเรื่องการบ้าน พี่ของเธอจะตั้งอกตั้งใจทำที่สุดทุกครั้ง”
ถ้าเขาไม่ได้ยกซูเวยเวยขึ้นมาพูดถึง อวี่ฉีก็คงจะไม่พูดอะไร แต่ในเมื่อเธอถูกยกมาเปรียบเทียบกับพี่สาวแล้ว เพื่อไม่ให้ถูกกลบรัศมีจนทำให้ภารกิจล้มเหลว เธอจึงจำต้องเล่นบทตัวร้ายช่างเสี้ยมสักครั้ง แต่การพูดให้ร้ายคนอื่นก็ต้องมีวิจารณญาณ หากจงใจใส่ไฟมากเกินไปก็รังแต่จะลดคุณค่าของตัวเองลง
ศาสตร์ขั้นสูงสุดของศิลปะแขนงนี้คือการแซะด้วยคำชม ภายนอกดูเหมือนจะกำลังชื่นชมผู้อื่นอย่างถ่อมตัว แต่ความจริงมีเจตนาทับถมอีกฝ่ายอยู่
อวี่ฉีเบือนหน้าหนีน้อย ๆ ราวกับกำลังทอดถอนใจด้วยความรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก “พี่เป็นคนมองการณ์ไกลมาตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว รู้จักวางแผนเพื่ออนาคต ยังไงก็ต้องตั้งใจทำการบ้านสุด ๆ อยู่แล้ว” เธอเงียบไปพักหนึ่ง แล้วมองไปทางหานเซ่าด้วยสายตาเหม่อลอย “แต่ฉันทำไม่ได้หรอกค่ะ ฉันมันพวกคิดอะไรตื้น ๆ มองเห็นแค่ปัจจุบันเท่านั้น วางแผนอนาคตไม่เป็น”
หานเซ่าไม่พูดอะไร เขามองเธออย่างจนใจเล็กน้อย และปล่อยให้ความเงียบพลันปกคลุมไปทั่วห้อง จากนั้นไม่นานเขาก็ส่ายศีรษะพลางดึงเก้าอี้ออกมา ก่อนบังคับให้เธอนั่งลง แล้วหยิบเอาหนังสือเตรียมสอบเล่มหนึ่งมากางออกตรงหน้าเธอ “วันนี้ทำเล่มนี้ให้เสร็จก่อน แล้วฉันจะเป็นคนตรวจให้”
หลังพูดจบ จู่ ๆ เขาก็เหมือนจะนึกขึ้นได้ว่าน้ำเสียงที่ใช้นั้นแข็งกระด้างจนเกินไป จึงผ่อนเสียงให้นุ่มนวลลงแล้วกล่าวว่า “เป็นเด็กผู้หญิง ไม่ว่าจะเรื่องแต่งงานหรือทำงาน มีใบปริญญาดี ๆ สักใบไว้กับตัวย่อมดีกว่า”
อวี่ฉีถึงกับพูดอะไรไม่ออก ถ้าตัดส่วนที่เป็นภารกิจออกไป จริง ๆ แล้วตัวเธอในตอนนี้ก็รู้สึกนับถือผู้ชายคนนี้บ้างแล้วเหมือนกัน ด้วยสถานะของเขาในตอนนี้ ขอแค่ซูอวี่ฉีงดงาม เฉลียวฉลาด น่ารัก และเชื่อฟัง เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ผลการเรียนของเธอจะดีหรือไม่ดี ในอนาคตจะสามารถมีชีวิตแต่งงานและการงานที่ดีได้ไหมนั้น ล้วนไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา หานเซ่าไม่มีความจำเป็นต้องลงทุนลงแรงสนับสนุนการเรียนของเธอเลยสักนิด
ดูเหมือนการคาดเดาของเธอจะถูกต้อง หานเซ่าตบบ่าของเธอเบา ๆ พร้อมเอ่ยอย่างเรียบเฉยว่า “เธออาจจะคิดว่าเงินพวกนั้นที่ฉันให้เธอไปคงเพียงพอสำหรับใช้ไปชั่วชีวิตแล้ว แต่ว่านะ อวี่ฉี เงินมีมากยังไงก็มีวันใช้หมด มันง่ายมากที่ฉันจะเปลี่ยนเธอให้กลายเป็นผู้หญิงที่ร่ำรวย แต่มันก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น ฉันรับประกันไม่ได้หรอกนะว่าเธอจะได้เสพสุขไปชั่วชีวิต”
หลังพูดจบเขาก็เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดย้ำอย่างเชื่องช้าชัดถ้อยชัดคำ “การมีเงินไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของคนคนหนึ่ง แต่เป็นคุณค่าในตัวเองต่างหาก คนที่มีคุณค่าจริง ๆ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็จะได้รับการชื่นชมและให้ความสำคัญ ฉันทำได้แค่เนรมิตเธอให้กลายเป็นเด็กสาวที่ร่ำรวยในชั่วข้ามคืน ถ้าอยากจะเป็นคนที่มีคุณค่าในตัวเอง เธอก็ต้องมีความรู้ที่กว้างขวาง รู้จักการยับยั้งชั่งใจ และสั่งสมประสบการณ์ความสามารถในสายอาชีพเฉพาะทางสักสายเท่านั้น เรื่องพวกนี้ฉันช่วยเธอไม่ได้ เธอต้องพยายามด้วยตัวเอง”
เขาใส่ใจเธอถึงขนาดนี้ ทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจคิดเรื่องพวกนี้เพื่อเธอ ผู้ชายคนนี้ภายนอกดูแล้วเย็นชาไร้ความรู้สึก ทว่าภายในใจนั้นกลับอ่อนโยนเป็นที่สุด เพราะประโยคสารภาพรักธรรมดา ๆ เพียงประโยคเดียว เขาก็กางปีกปกป้องคุ้มครองเธอถึงเพียงนี้แล้ว กระทั่งอนาคตของเธอ เขาก็ยังวางแผนอนาคตไว้ให้อย่างเหมาะสม
แม้ว่าเรื่องบางอย่างจะไม่จำเป็นสำหรับเธอ แต่ใจคนนั้นล้วนสร้างจากเลือดเนื้อไม่ใช่ก้อนหิน การกระทำของเขาทำให้อวี่ฉีรู้สึกซาบซึ้งมากจริง ๆ
เธอหมุนตัวเล็กน้อยเข้าหาเขา จากนั้นก็กางแขนทั้งสองข้างโอบรอบเอวที่ผ่ายผอมลงกว่าเดิมของหานเซ่าเอาไว้ ฝังใบหน้าลงบนเนื้อผ้าอ่อนนุ่มบริเวณหน้าอกของเขา แล้วพูดจากใจจริงว่า “ขอบคุณนะคะ คุณหาน”
เดิมทีหานเซ่าไม่ได้หวังว่าเธอจะเข้าใจในสิ่งที่เขาคิดทั้งหมด ทว่าพอได้ยินเธอกล่าวขอบคุณอย่างจริงจังอย่างนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ผ่านไปสักพักหัวใจของเขาก็ค่อย ๆ เอ่อล้นไปด้วยความปลื้มปีติอันเบาบาง เขาอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปลูบเส้นผมสีดำนุ่มลื่นของเธอ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนจนตัวเขาเองก็คาดไม่ถึง “ไปทำการบ้านของเธอเถอะ ฉันจะอยู่ข้าง ๆ”
อวี่ฉีไม่ยอมคลายอ้อมกอด ทั้งยังกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นอีก “ถ้าเกิดฉันทำเล่มนี้เสร็จก่อนเวลาอาหารเย็น คุณจะรับปากฉันเรื่องหนึ่งได้ไหมคะ”
หานเซ่ามองความหนาของหนังสือเตรียมสอบเล่มนั้นแล้ว ในใจก็ไม่เชื่อว่าเธอจะทำมันจนเสร็จ จึงรับปากพอเป็นพิธีอย่างไม่ใส่ใจนัก
เมื่ออวี่ฉีได้รับความยินยอมแล้วก็เงยหน้ายิ้มแย้มให้เขา จากนั้นก็หันไปหยิบปากกาแล้วเริ่มลงมือทำโจทย์ทันที
จากประสบการณ์ที่เคยเข้าไปอยู่ในนิยายจำนวนนับไม่ถ้วน เธอเคยแสดงเป็นเด็กนักเรียนมัธยมปลายปีสี่มาแล้วไม่รู้ตั้งกี่หน ด้วยเหตุนี้วิธีแก้โจทย์ปัญหาของการบ้านเหล่านี้เธอจำได้ขึ้นใจมานานแล้ว ถึงขั้นว่าถ้าหากมีใครสุ่มยัดแผนการสอนมาให้เธอสักเล่ม เธอก็สามารถขึ้นแท่นบรรยายสอนหนังสือได้ทันทีเลยด้วยซ้ำ
เนื่องจากเห็นว่าความเร็วในการแก้โจทย์ของเธอไวผิดธรรมดา เร็วขนาดที่อ่านโจทย์เสร็จก็สามารถตอบได้ทันที ผ่านไปยังไม่ทันเลยสองนาทีก็พลิกหน้าถัดไปแล้ว ทุกอย่างดูน่าเหลือเชื่อจนหานเซ่าทนไม่ไหวและสั่งให้เธอหยุดทำ
ถึงอวี่ฉีจะแปลกใจ แต่ก็หยุดมือลงอย่างเชื่อฟัง แล้วเงยหน้าขึ้นมองเขา
หานเซ่าเอื้อมมือมาดึงหนังสือเตรียมสอบเล่มนั้นไปพลิกเปิดดูทีละหน้า พบว่าภายในเวลาสั้น ๆ เธอทำเสร็จไปแล้วถึงหนึ่งในห้าส่วน เขาอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ ชายหนุ่มหยุดพิจารณาคำถามอย่างเงียบเชียบแล้วก็ลองพลิกเปิดดูเฉลยคำตอบที่ด้านหลังหนังสือ เทียบคำตอบกันเจ็ดแปดข้อ คิดไม่ถึงว่าจะถูกหมดทุกข้อ ยิ่งกว่านั้นเหตุผลที่อ้างอิงก็ชัดเจน วิธีทำก็สั้นกระชับ แทบจะเทียบเคียงตามคำตอบที่เฉลยได้พอดิบพอดี
“ดูเหมือนว่าฉันจะดูถูกเธอเกินไป” หานเซ่าคล้ายจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม พร้อมชายตามองเธอแวบหนึ่ง เขายัดหนังสือกลับเข้าไปที่อกของเธอ ระบายรอยยิ้มอ่อนจางที่มุมปากจนแทบไม่อาจสังเกตเห็นได้ “แต่ฉันจำได้ว่าตอนแรกเธอเคยบอกฉันว่า เรื่องเรียนยังถือว่าพอใช้ แต่สู้พี่สาวไม่ได้?”
อวี่ฉีชะงักพลางยิ้มหน้าเจื่อน “การถ่อมตัวเป็นคุณธรรมที่พึงมีค่ะ” เธอกล่าวเพียงเท่านี้ก็หยุดแล้วใช้หางตาชำเลืองมองสีหน้าของเขาอย่างค่อนข้างระแวดระวัง “ฉันไม่ได้ตั้งใจโกหกนะคะ” สิ่งที่เธอพูดตอนแรกเป็นไปตามข้อมูลที่มีอยู่จริงเป๊ะ ไม่ได้โกหกเลยสักนิด การเรียนของซูอวี่ฉีสู้ซูเวยเวยไม่ได้จริง ๆ แต่อวี่ฉีที่เคยเข้ามาในนิยายนับไม่ถ้วนแล้วนั้น ไม่มีทางที่จะสู้ซูเวยเวยไม่ได้อยู่แล้ว
หานเซ่าลูบผมดำของเธอไปมา “พอแล้วละ บอกคำขอของเธอมาเถอะ”
“แต่ฉันยังทำไม่เสร็จ…”
หานเซ่ากล่าวแทรกเธอขึ้นมาว่า “บอกมาตอนนี้เลยว่าจะขอร้องเรื่องอะไร ตอนนี้เธอยังขับรถไม่ได้ ไว้ฉันค่อยซื้อให้เธอทีหลัง แต่ถ้าเป็นเครื่องประดับที่ถูกใจละก็ไม่มีปัญหา”
อวี่ฉีไม่ดื้อดึงต่อ กลับเผยรอยยิ้มน่ารักออกมา เธอหยิบถุงกระดาษใบน้อยจากมุมหนึ่งบนตู้หนังสือมากอดไว้ แล้วพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ฉันไม่มีคำขออื่น แค่อยากให้คุณทานยาพวกนี้ให้ตรงเวลา นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป” เมื่อบอกคำขอแล้วเธอก็เงยหน้าขึ้นราวกับกลัวว่าเขาจะปฏิเสธ “ได้ไหมคะ?”
หานเซ่าตกตะลึงไป ก่อนจะคุกเข่าลงอย่างอ่อนใจ เขาหยิบเอาถุงกระดาษใบเล็กนั้นจากในอ้อมกอดของเธอมาวางลงบนฝ่ามือ พิจารณามันอยู่ไม่นาน ก็พูดออกมาราวกับว่ากำลังถอนหายใจ “อวี่ฉี บางครั้งฉันก็รู้สึกว่าเธอฉลาดจนไม่เหมือนกับเด็กผู้หญิงในวัยเดียวกัน แต่บางทีฉันก็รู้สึกว่าความจริงแล้วเธอน่ะโง่เหลือเกิน”
แน่นอนว่าเธอเข้าใจความหมายของเขา นั่นเพราะตัวเธอสละสิทธิ์เรียกร้องของมีค่าอย่างเครื่องประดับเพชรพลอยหรือแม้แต่บ้านและที่ดินพวกนี้ไป แล้วเลือกขอสิ่งที่ไม่สลักสำคัญนี้แทน ช่างโง่เขลาโดยแท้
แต่เขาไม่มีทางรู้หรอกว่า เป้าหมายของเธอนั้นไม่ใช่ความร่ำรวยมีความสุขตลอดช่วงชีวิตที่เหลือ แต่เป็นการทำให้เขาชอบเธอให้ได้ต่างหาก
เมื่อเป้าหมายต่างกัน ตัวเลือกย่อมแตกต่างไปด้วย
“ถ้าอย่างนั้นคุณตกลงแล้วใช่ไหมคะ“
หานเซ่ายอมรับความพ่ายแพ้ในที่สุด “ซูอวี่ฉี เธอชนะไปได้อย่างสวยงาม” เขาเว้นช่วง ก่อนจะพูดแกมหยอกเย้าขึ้นมาว่า “บนโลกใบนี้ดูท่าทางว่าคงไม่มีผู้ชายคนไหนใจแข็งพอที่จะปฏิเสธเธอได้ลงซะแล้ว”
อวี่ฉีลุกขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “ฉันจะไปรินน้ำอุ่นมาให้นะคะ มีแต่ยาแคปซูล เทออกมาคงเต็มกำมือเลย”
หานเซ่าตอบอืมเรียบ ๆ คำหนึ่ง เขายืนอยู่ที่เดิมพลางมองถุงกระดาษในมืออย่างจนใจ
หลังจากอวี่ฉีวิ่งออกไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ ๆ ก็หยุดฝีเท้าลง แล้ววิ่งกลับมากอดเขาเอาไว้แน่น “ฉันดีใจจังเลยค่ะ”
หานเซ่าก้มศีรษะลงไปโอบกอดเธอโดยอัตโนมัติ พร้อมกับหัวเราะเบา ๆ
“เด็กโง่”
——————————————————