หานเซ่าไม่เคยลิ้มลองการใช้ชีวิตแบบนี้มาก่อน ทุกวันทำงานกับพักผ่อนตามเวลา กินข้าวต้ม กินผักสีเขียว เขาไม่ได้มีเพียงห้องหนังสืออันอ้างว้างหนาวเหน็บเป็นเพื่อนอีกต่อไป ยามนั่งพิงโซฟาอ่านหนังสือ มักจะมีร่างกายอบอุ่นของเด็กสาวอิงแอบแผ่วเบาอยู่ข้างขาไม่เคยห่าง นั่งเงียบ ๆ คอยอยู่เป็นเพื่อนเคียงข้างเขา
เมื่อเทียบกับตอนที่ใช้ชีวิตไม่เป็นเวลา นอนกลางวันตื่นกลางคืน ทำตัวสุรุ่ยสุร่ายเสเพลอย่างในอดีตแล้วนั้น ช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ชีวิตในยามนี้ทำให้เขารู้สึกสุขสงบได้อย่างน่าประหลาด อาจเพราะโดดเดี่ยวเดียวดายมานานเกินไป ฉะนั้นต่อให้มั่งมีด้วยสมบัติพัสถานมากแค่ไหน ก็ทำให้เหนื่อยล้าและเบื่อหน่ายไปหมด
หานเซ่าโยนงานของบริษัททั้งหมดให้ผู้ช่วยดูแล และไม่ได้ออกไปร่วมงานสังคมอีก เรื่องนี้ทำให้อวี่ฉีดีใจเป็นที่สุด เพราะมันทำให้เวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันนั้นเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดเลยทีเดียว
ทุก ๆ วันเธอจะเปลี่ยนเมนูอาหารให้ไม่ซ้ำซากจำเจ จานไหนที่หานเซ่าคีบกินบ่อยหน่อย เธอก็จะจดจำมันเอาไว้จนขึ้นใจ อาหารสามมื้อในแต่ละวันต้องปรุงให้ถูกปากหานเซ่าทั้งหมด แต่ทั้งที่ทำถึงขนาดนี้ เขาก็ยังกินข้าวได้แค่ครึ่งชามทุกมื้อ เมื่อเทียบกันแล้วยังน้อยกว่าเธอมากด้วยซ้ำ
ลับหลังหานเซ่า เสี่ยวโจวมักจะแซวเธอเสมอ บอกว่าเธอเหมือนกับคนทำฟาร์มเลี้ยงหมู ทุกวันเอาแต่คิดสูตรและเตรียมอาหารสัตว์ เพียงแต่คุณหานขุนเท่าไรก็ไม่อ้วนสักที
แต่เรื่องล้อเล่นนี้ดูเหมือนจะล้ำเส้นเกินไปสักหน่อย ซ้ำร้ายหลังพูดประโยคนี้จบแล้ว เสี่ยวโจวเพิ่งจะพบว่าหานเซ่ายืนอยู่ข้างหลังของตัวเองมาโดยตลอด เขาสะดุ้งตกใจจนรีบหาข้ออ้างเอาตัวรอด หลังจากนั้นก็ไม่กล้ามาเสนอหน้าให้หานเซ่าเห็นอีกเลยสามวันเต็ม ๆ
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่เสี่ยวโจวพูดก็เป็นความจริง เดิมทีการป่วยด้วยโรคประเภทนี้มีข้อจำกัดเรื่องอาหารอยู่แล้ว อีกทั้งหานเซ่ายังผ่านการผ่าตัดเพื่อเอากระเพาะอาหารส่วนหนึ่งออกไป จึงยิ่งกินอะไรไม่ค่อยลงเข้าไปใหญ่
ทั้งเนื้อทั้งตัวของเขาผ่ายผอมจนน่าใจหาย ต่อให้สวมเสื้อโค้ตหนา ๆ ก็ยังเห็นได้ชัดว่าร่างกายผอมแห้งอยู่ดี ทุกครั้งที่อวี่ฉีกอดหานเซ่า เธอก็อดกังวลทุกครั้งไม่ได้ เอวบางขนาดนี้ ดูแล้วหนากว่าเธอไม่เท่าไรเอง
ในหนังสือระบุไว้ว่าควรกินอาหารให้เป็นเวลา แต่สำหรับสถานการณ์นี้ การกินทีละน้อยแล้วเพิ่มจำนวนมื้อจะให้ผลดีกว่า ดังนั้นอวี่ฉีจึงปฏิบัติตามข้อมูลในหนังสือประหนึ่งพระราชโองการ อาหารสามมื้อของทุกวันต้องตรงเวลาไม่ขาดไม่เกิน บ่ายสามโมงเพิ่มน้ำชายามบ่ายกับอาหารว่างหนึ่งมื้อ ตกดึกสี่ทุ่มก็จะยกอาหารว่างมื้อดึกออกมาตรงเวลาพอดิบพอดี แต่ถึงจะดูแลขนาดนี้แล้ว ก็ยังทำได้แค่รั้งไม่ให้สภาพร่างกายของหานเซ่าผ่ายผอมลงไปกว่าปัจจุบันเท่านั้นเอง
โรคประเภทนี้ทำให้ภูมิคุ้มกันและสภาพร่างกายของผู้ป่วยถดถอยลง ต่อให้อุณหภูมิในห้องจะอบอุ่นและสบายมากแค่ไหน ทุกครั้งที่อวี่ฉีสัมผัสมือของหานเซ่า กลับยังรู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบราวกับน้ำแข็งเสมอ แต่เธอไม่กล้าทำอะไรโจ่งแจ้งจนเกินไป ทุกครั้งจึงทำได้แค่แสร้งออดอ้อนดึงมือของเขาเอาไว้ กระทั่งกุมนิ้วมือเย็นเยียบของเขาไว้จนอุ่นดีแล้วถึงยอมคลายมือออก
เมื่อกระทำบ่อยเข้า แน่นอนว่าหานเซ่าย่อมจับสังเกตได้ ในตอนที่เธอกุมมือของเขาแน่นไม่ยอมปล่อยอีกครั้ง เขาก็ถอนหายใจแล้วรวบเธอเข้ามาในอ้อมกอด เกยคางลงบนเส้นผมอ่อนนุ่มบนศีรษะของเธอเบา ๆ ก่อนหลับตาทั้งสองข้างลงอย่างอ่อนล้า
“อวี่ฉี เธอทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองบาปหนาเหลือเกิน” เขาเอ่ยขึ้น แล้วใช้มือไล้ไปตามผมยาวของเธออย่างนุ่มนวล “เธอควรออกไปดูหนัง เดินเล่น ร้องเพลงพร้อมกับเด็กผู้ชายรุ่นเดียวกัน ใช้ชีวิตวัยรุ่นของเธอให้เต็มที่ ไม่ใช่มาขังตัวเองให้เหี่ยวเฉาอยู่กับฉันที่นี่แบบนี้”
เธอนอนซบอยู่ในอ้อมกอดของเขาเงียบ ๆ แนบแก้มบนหน้าอกของเขาอย่างนุ่มนวล ก่อนเอ่ยเสียงเบาหวิว “ฉันชอบอยู่ที่นี่ค่ะ”
“สุดท้ายเธออาจจะต้องเสียใจภายหลัง ที่ต้องมาทิ้งช่วงเวลางดงามที่สุดในชีวิตเพื่อคนอย่างฉัน”
อวี่ฉีผละตัวออกมาจากอ้อมอกของเขาช้า ๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองหานเซ่า วินาทีต่อมา เธอค่อย ๆ ยื่นสองมือไปประคองใบหน้าของอีกฝ่ายเอาไว้ จากนั้นจึงเขย่งปลายเท้าจุมพิตตรงมุมปากของเขาอย่างนุ่มนวล และพูดอย่างจริงจัง “เรื่องที่น่ายินดีที่สุดในชีวิตของฉันคือการได้ขึ้นรถของคุณในคืนนั้น” เธอเงียบไป ก่อนจะเบือนหน้าหลบ
“แม่ป่วยหนักมานานมากแล้ว พี่ก็มีงานยุ่งทุกวัน ตั้งแต่เล็กคนที่ฉันพึ่งพาได้มีแค่ตัวเองเท่านั้น แต่ละวันจะกินอะไร สวมเสื้อผ้าอะไร จบมัธยมต้นแล้วจะเลือกต่อมัธยมปลายโรงเรียนไหน ฉันต้องตัดสินใจเองทั้งหมด ไม่มีใครให้คำปรึกษากับฉันสักนิด ไม่มีใครสนใจว่าฉันจะกินอิ่มไหม มีเสื้ออุ่น ๆ ใส่หรือเปล่า ไม่เคยมีใครมาสนใจว่าอนาคตฉันจะต้องเร่ร่อนนอนอยู่ข้างถนนรึเปล่าด้วยซ้ำ”
สิ่งที่เธอพูดล้วนเป็นความจริงตามที่ข้อมูลระบุเอาไว้ไม่ผิดเพี้ยน แต่ที่เล่าออกมาด้วยวิธีเช่นนี้เป็นเพราะว่าเธอจงใจ บ่อยครั้งที่ความรักมักจะเกิดขึ้นมาจากความสงสารเห็นใจ เมื่อคุณรู้สึกเห็นใจประสบการณ์ที่เพศตรงข้ามพบเจอมาสักคนโดยไม่รู้ตัว แถมยังปกป้องอีกฝ่ายเพราะรู้สึกว่าเขาได้รับความไม่เป็นธรรม คำว่าตกหลุมรักก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว
หานเซ่าไม่พูดอะไร แต่มือที่เมื่อครู่ลูบเส้นผมสีดำของเธอเบา ๆ อยู่นั้น ไม่รู้ว่าหยุดลงตั้งแต่เมื่อไร
เสียงพูดของอวี่ฉีเชื่องช้าและแผ่วเบา “คุณหาน นอกจากคุณแล้วบนโลกใบนี้ก็ไม่มีใครสนใจหรอกค่ะว่าซูอวี่ฉีจะอยู่หรือตาย เพราะงั้นถ้าเทียบกับการทำเรื่องน่าเบื่อไร้สาระพวกนั้นแล้ว ฉันอยากอยู่บ้านเป็นเพื่อนคุณมากกว่า นี่ไม่ใช่การตอบแทนบุญคุณหรอกนะคะ แต่ฉันทำเพื่อตัวฉันเองต่างหาก”
หานเซ่าโอบกอดเธอไว้แน่น เพราะร่างกายผ่ายผอม แขนของเขาจึงไม่ได้มีกำลังมากพอ แผงอกก็ไม่ได้กว้างและแน่นตึงด้วยกล้ามเนื้อ อ้อมกอดของเขาจึงอ่อนแรงแถมยังเจือไปด้วยกลิ่นอายเย็นเยียบจากตัว กระนั้นอวี่ฉีก็ยังซุกหน้าฝังลงไปกับแผ่นอกของหานเซ่า แล้วใช้แขนสองข้างโอบรอบเอวของเขาไว้แน่น
ทั้งคู่กอดกันเงียบ ๆ เช่นนี้ต่อเนื่องไปยาวนาน หานเซ่าถึงค่อย ๆ ดันตัวเธอออก เขาโน้มตัวลงเล็กน้อยและมองเธออย่างเงียบงัน สายตานั้นปรากฏความเมตตาเหมือนที่ผู้ใหญ่คนหนึ่งใช้มองบุตรหลาน ทั้งยังอ่อนโยนอย่างที่ผู้ชายคนหนึ่งใช้มองคนรักอีกด้วย
เสียงของเขาอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง “อวี่ฉี หลังจากฉันไม่อยู่แล้ว เธอจะได้พบเด็กหนุ่มแสนดีมากมาย พวกเขาต่างหล่อเหลาและดูดี เล่นบาสเกตบอลก็เก่ง ออกไปเดินเล่นดูหนังกับเธอก็ได้ แล้วยังสามารถพูดคำหวานหยอกล้อเธอให้มีความสุขได้ด้วย แค่เธอเปิดใจแล้วยอมรับพวกเขา วันหนึ่งเธอก็จะค้นพบผู้ชายที่ใส่ใจเธออย่างแท้จริงสักคน แล้วได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขที่สุด สุขยิ่งกว่าใคร ๆ”
ถ้าอยากจะทำให้คนอื่นสะเทือนใจ ตัวเราต้องสะเทือนใจให้ได้เสียก่อน อวี่ฉีนั้นอินกับบทนานแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดของเขาครั้งนี้ น้ำตาก็พรั่งพรูลงมา พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น “แล้วหลังจากนั้นล่ะคะ ในความสุขของฉันจะไม่มีคุณอยู่งั้นเหรอ” เธอทำเสียงขึ้นจมูก ในหัวไม่คิดไตร่ตรองอะไรอีก ได้แต่ส่ายหัวโดยอัตโนมัติ “มันจะไม่เป็นแบบนั้น ไม่เด็ดขาด คุณจะอายุยืนไปจนถึงร้อยปี มีชีวิตยาวนานยิ่งกว่าฉันอีก”
หานเซ่าจนใจ “เธอกำลังพูดเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ อวี่ฉี” แต่ถึงจะพูดแบบนี้ เขาก็ยังลูบแผ่นหลังของเธออย่างแผ่วเบาไปเรื่อย ๆ ราวกับกำลังปลอบขวัญเด็กน้อยที่เพิ่งถูกคนรังแก “เรื่องมันไม่ได้แย่อย่างที่เธอจินตนาการไว้หรอก รอจนอีกไม่กี่ปีหลังจากนี้เธอก็จะลืมฉันไป และเมื่อถึงวันนั้นเธอก็อาจจะมีแฟนที่อ่อนโยนเอาใจใส่สักคนอยู่เคียงข้าง นั่นถึงจะเป็นชีวิตที่เธอควรมี”
อวี่ฉีเงยหน้าขึ้น หยาดน้ำตาหลั่งไหลลงมาไม่ขาดสาย หานเซ่าทำได้แค่ตบหลังของเธอเบา ๆ ต่อไป “อวี่ฉี อวี่ฉี งั้นพวกเราเปลี่ยนมาคุยเรื่องสนุก ๆ กันบ้างดีกว่า”
เขาปลอบเธอไม่ต่างกับปลอบเด็กเล็ก “ฉันซื้อของขวัญมาให้เธอด้วย”
พอเธอเศร้า เขาก็โอ๋ด้วยของขวัญ ปฏิบัติราวกับเธอเป็นเด็กอายุเจ็ดขวบคนหนึ่งจริง ๆ
อวี่ฉีค่อย ๆ สงบลง เธอผละออกไปสองก้าว พลางใช้หลังมือเช็ดใบหน้า ในน้ำเสียงที่พูดยังเจือความแหบแห้งไว้อยู่ “ถึงเวลาแล้ว เดี๋ยวฉันจะไปหยิบยาที่ชั้นบนมาให้นะคะ”
ยาแคปซูลสีแดงสลับเขียว และเม็ดยาสีดำ เมื่อเทออกมาวางบนฝ่ามือก็กองพะเนินราวกับภูเขาลูกน้อย ๆ หานเซ่ามองมันแล้วขมวดคิ้ว ก่อนจะนวดคลึงขมับของตัวเอง “วางไว้ข้าง ๆ ก่อนแล้วกัน ฉันมีของจะให้เธอ” จากนั้นเขาก็บอกให้เธอไปหยิบเอาสูทสีดำที่แขวนอยู่บนราวแขวนเสื้อมา
อวี่ฉีที่ปกติว่านอนสอนง่ายมาโดยตลอดกลับดื้อรั้นขึ้นมาอย่างหาได้ยาก เธอเอาแต่ยืนกรานให้เขากินยาลงไปก่อน
น้อยครั้งที่จะมีคนกล้าขัดใจหานเซ่าซึ่ง ๆ หน้า แต่ในเวลานี้เขากลับไม่ได้รู้สึกไม่พอใจเลยแม้แต่น้อย มีเพียงความรู้สึกอ่อนใจเท่านั้น อวี่ฉีจ่อแก้วน้ำอุ่นตรงริมฝีปากของเขา หานเซ่าจึงเงยหน้ากินยากำใหญ่ลงไป แล้วจับมือเธอไว้เพื่อดื่มน้ำลงไปอึกหนึ่ง
หลังได้เสื้อสูทมาแล้ว หานเซ่าก็คลำเอากล่องกำมะหยี่ทรงสี่เหลี่ยมสีเข้มกล่องหนึ่งออกมาจากในกระเป๋า ก่อนส่งให้เธอ พลางยิ้มน้อย ๆ “ลองดูสิว่าเธอชอบหรือเปล่า”
ที่ผ่านมามีแต่ให้คนอื่นมาส่งถึงหน้าประตู แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาให้ของขวัญเธอเองกับมือ
อวี่ฉีรู้สึกตื้นตันใจขึ้นมานิด ๆ เธอเงยหน้ามองอีกฝ่ายครู่หนึ่ง แล้วจึงรับกล่องใบนั้นมาเปิดออกดู
มันเป็นสร้อยคอเส้นหนึ่ง ประดับด้วยเพชรเม็ดเล็ก ๆ ฝังล้อมรอบเม็ดทับทิมแวววาว ตัวจี้นั้นไม่ใหญ่นัก ทว่าการออกแบบดูละเอียดประณีต เรียบง่าย แต่มีรสนิยม
แน่นอนว่าสร้อยสวยมาก แต่สิ่งที่ทำให้เธอดีใจจริง ๆ คือครั้งนี้หานเซ่าน่าจะเป็นคนเลือกเองกับมือ ไม่ได้ถูกเลือกโดยเลขาฯ หรือผู้ช่วยคนอื่นแล้ว อวี่ฉีลุกขึ้นกอดเขาหลวม ๆ บอกขอบคุณด้วยเสียงที่ยังติดขึ้นจมูกเล็กน้อย
หานเซ่าตบบ่าเธอ หยิบสร้อยคอเส้นบางนั้นขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติ นิ้วมือที่เรียวยาวขาวเนียนรวบเส้นผมสีดำของเธอไปทัดไว้ที่หลังใบหู เขาโน้มตัวลงไปช่วยเธอสวมมันอย่างบรรจง
อวี่ฉีไม่ขยับเขยื้อน ปล่อยให้หานเซ่าทำตามใจ จนกระทั่งเขาผละออกไปเล็กน้อยหลังสวมเสร็จแล้ว เธอจึงกล่าวขอบคุณอย่างแผ่วเบาอีกครั้ง
หานเซ่ายกมือขึ้นลูบเส้นผมสีดำของเธอเบา ๆ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความอบอุ่นอ่อนโยน “อวี่ฉี สุขสันต์วันเกิด!”
เธอถึงกับตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก ผ่านไปพักใหญ่จึงเพิ่งเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น วันนี้เป็นวันเกิดของซูอวี่ฉีจริง ๆ ในข้อมูลระบุเอาไว้อย่างชัดเจน
เสี่ยวโจวเข็นรถเข็นคันหนึ่งมาด้านหน้าคนทั้งสอง มีขนมเค้กสามชั้นก้อนใหญ่ยักษ์ก้อนหนึ่งวางอยู่บนนั้น “คุณหนู สุขสันต์วันเกิดนะครับ!”
ถึงเธอจะไม่ใช่ซูอวี่ฉีตัวจริง และต่อให้วันนี้จะไม่นับว่าเป็นวันเกิดจริง ๆ ของเธอ อวี่ฉีก็ยังอดรู้สึกซาบซึ้งใจไม่ได้อยู่ดี
ไม่ ไม่ใช่เพราะสร้อยเส้นนี้ ไม่ใช่เพราะขนมเค้กก้อนนี้ ไม่ใช่เพราะคำอวยพรสุขสันต์วันเกิดประโยคนั้น
แต่เป็นเพราะหานเซ่า ผู้ชายที่ไม่นับว่าอ่อนโยนหรือเอาใจใส่คนนี้ วันนี้กลับยอมพูดประโยคที่น่ากระอักกระอ่วนไม่สมเป็นเขาเพื่ออวยพรวันเกิดให้เธอ
ซูอวี่ฉีอยู่บ้านของเขา กินดื่มเสพสุขด้วยน้ำใจที่เขามอบให้ จริง ๆ แล้วเขาไม่จำเป็นต้องเปลืองสมองเลือกเฟ้นหาของขวัญหรือขนมเค้กให้เธอเลย ยึดจากนิสัยของเขาแล้ว แค่เขาจำวันเกิดของเธอได้ หรือกล่าวสุขสันต์วันเกิดให้สักประโยคก็น่าดีใจที่สุดแล้ว
แล้วตัวเธอล่ะมีดีมีความสามารถอะไรกัน ถึงมีสิทธิ์ได้รับสิ่งเหล่านี้?
หานเซ่าดันหลังเธอไปหยุดอยู่ที่ด้านหน้าขนมเค้ก ริมฝีปากบางยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ดวงตาหงส์ที่เคยมืดหม่นเสมอมาคราวนี้กลับแต้มรอยยิ้มจาง ๆ ซึ่งยากนักที่จะมีโอกาสได้เห็น “ถึงฉันจะไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ แต่วันเกิดมีแค่ปีละครั้ง ยังไงเธอก็ลองอธิษฐานสักข้อสิ”
อวี่ฉีชะงัก เงยหน้ามองเขาครู่ใหญ่ แล้วจึงก้มหน้าลงช้า ๆ เป่าเทียนสิบหกเล่มบนขนมเค้กเบา ๆ จนมอดดับไป
เธอค่อย ๆ กุมมือทั้งสองเข้าด้วยกัน หลับตาลงเพื่อขอพรในวันเกิดของตัวเอง
หานเซ่าลูบศีรษะของเธอ ภายในดวงตาอันมืดมิดทอประกายอ่อนโยนอันหาได้ยากออกมา “เธออธิษฐานเรื่องอะไรหืม” เขาหยุดคิดก่อนจะพูดคล้ายกับหยอกล้อว่า “บางทีฉันอาจจะช่วยเธอดลบันดาลให้มันเป็นจริงก็ได้นะ”
อวี่ฉีหมุนตัวโผเข้าไปในอ้อมกอดของหานเซ่า แล้วกอดเอวของอีกฝ่ายไว้แน่น น้ำเสียงที่พูดติดขึ้นจมูกจนรู้สึกได้ “คุณช่วยฉันทำให้เป็นจริงได้แน่ค่ะ”
“หืม?” หานเซ่าเลิกคิ้ว
เสียงของเธอสั่นเครือเล็กน้อย “ปีนี้ ปีหน้า และปีถัดไป…” คำพูดช่วงท้ายเงียบหายไป ก่อนที่เธอจะเริ่มสะอื้นออกมา “วันเกิดทุก ๆ ปีต่อจากนี้ คุณต้องอยู่ฉลองกับฉันนะคะ”
หานเซ่านิ่งงัน หากเป็นสถานการณ์อื่น บางทีคำอธิษฐานของอวี่ฉีอาจจะถือได้ว่าเป็นคำสารภาพรักที่ไม่เหมือนใคร แต่ในเวลานี้ เขาตระหนักได้เป็นอย่างดี เธอแค่กำลังอ้อนวอนเขาทางอ้อมเท่านั้น
ไม่ต่างกับค่ำคืนนั้นที่เธอเคยพูดว่า “ฉันแค่หวังให้คุณมีชีวิตต่อไป มีชีวิตต่อไปอีกนานแสนนาน”
———————————————