ถึงโรคมะเร็งจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ และทำได้เพียงควบคุมอาการเอาไว้เท่านั้น แต่ก็ไม่ได้สิ้นหวังเสียทั้งหมด ข้อมูลได้ระบุไว้ชัดเจนว่า ปัจจุบันนี้มีผู้ป่วยชาวสหรัฐอเมริกาสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้โดยเฉลี่ยถึงสิบเอ็ดปีแล้ว ซึ่งเวลาชีวิตที่เหลืออยู่ไม่ได้สั้นไปกว่าผู้ป่วยโรคที่มีอาการเรื้อรังอย่างโรคหัวใจหรือเบาหวานแต่อย่างใด ภายใต้การดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีของอวี่ฉี สภาพร่างกายของหานเซ่าจึงมีอาการคงที่มาโดยตลอด เพียงพริบตาก็ผ่านมาหกปีแล้ว
ตลอดช่วงเวลาหกปี อวี่ฉียิ่งโตก็ยิ่งสวยขึ้นเรื่อย ๆ ยามที่ชายกระโปรงปลิวลู่ไปตามลม ไม่รู้ว่าได้ขโมยหัวใจเด็กหนุ่มต่างชาติไปมากมายเท่าไรแล้ว
แม้ว่าหานเซ่าจะไม่ใช่คนหนุ่มอีกแล้ว แต่วันเวลาก็ได้ขัดเกลาชายคนนี้ให้มีเสน่ห์มากยิ่งขึ้นแทนเมล็ดพันธุ์แห่งกาลเวลาฝังลง ณ ใจกลางนัยน์ตาลึกล้ำของเขา และบ่มเพาะบุคลิกจนงอกเงยเป็นความสง่างามสมบูรณ์แบบ ทุกการเคลื่อนไหวของเขานั้นเปี่ยมด้วยความองอาจผึ่งผาย ในตอนที่เอียงศีรษะแล้วคลี่ยิ้มบาง ๆ ก็มากพอแล้วที่จะทำให้สาวน้อยอายุสิบแปดสักคนหัวใจเต้นผิดจังหวะ
แต่หานเซ่ากลับรู้สึกอยู่เสมอว่าตัวเองแก่มาก ๆ แล้ว และมักจะล้อเล่นกับเธอบ่อย ๆ ว่า “เธอว่าฉันดูเหมือนพ่อของเธอไหม“
ทุกครั้งอวี่ฉีจะใช้มือประคองใบหน้าของเขาแล้วลูบไล้มันเบา ๆ “ไม่ค่ะ คุณหล่อเหมือนเมื่อก่อนเลย”
จากนั้นเขาก็จะยิ้มราวกับสื่อความหมายว่า ‘ฉันรู้ว่าเธอกำลังปลอบใจฉันอยู่‘ อย่างไรอย่างนั้น
แต่งงานมาหกปี เขาไม่เคยสัมผัสเธอเกินเลยกว่าที่เป็นอยู่ ต่อให้จะหลับนอนบนเตียงเดียวกัน เขาก็ทำเพียงโอบเธอไว้ในอ้อมแขนอย่างสุภาพบุรุษเท่านั้น ไม่เคยทำเรื่องที่เกินเลยไปกว่านั้นสักครั้ง
ในบางครั้งเขาก็จูบเธอ แต่มันช่างเป็นจูบที่แสนจะอ่อนโยน เขาไม่เคยก้าวล้ำไปมากกว่านี้
เมื่อเห็นว่าเธอมีท่าทีไม่เข้าใจ เขาจึงโอบกอดเธอไว้ แล้วใช้น้ำเสียงอบอุ่นและแสนอ่อนโยนกล่าวว่า “อวี่ฉี ฉันเป็นเพียงผู้ชายแก่ ๆ อารมณ์ร้ายคนหนึ่งเท่านั้น แค่ครอบครองหัวใจของเธอเอาไว้ก็เห็นแก่ตัวและไร้ยางอายเกินพอแล้ว ฉันติดค้างเธอมากไปกว่านี้อีกไม่ได้หรอก”
ทั้งที่ให้เงินให้ทองกับเธอ ให้เครื่องเพชรพลอยกับเธอ ให้เสื้อผ้ากับเธอ และสุดท้ายก็แต่งงานกับเธอ เขามอบให้เธอมากถึงขนาดนี้แท้ ๆ แต่กลับไม่เคยพูดถึงมันสักคำ เอาแต่ดื้อดึงยืนยันคิดว่าตัวเองติดค้างเธอเสียมากมาย จิตใจของผู้ชายคนนี้สูงส่งมากจริง ๆ
ส่วนเต่าบกที่ชื่อว่าอาเซ่าตัวนั้น ตอนนี้เติบโตจนตัวใหญ่มากแล้ว มันชอบคลานต้วมเตี้ยมพร้อมกับลากกระดองอันหนักอึ้งของมันไปด้วย
จนกระทั่งวันหนึ่ง หานเซ่าได้สารภาพความจริงออกมาในที่สุด “ความจริงที่ฉันซื้อเต่าตัวนี้มา ก็เพราะความเห็นแก่ตัวของฉันเอง”
เธอที่กำลังซบอยู่ในอ้อมกอดของเขาจึงเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความสับสน “อะไรนะคะ?”
เขาสัมผัสผมดำที่นุ่มลื่นขึ้นของเธอ ลูบไล้แผ่วเบาอย่างรักใคร่ ก่อนแย้มรอยยิ้มอ่อนโยนบาง ๆ ตรงมุมปาก “ฉันกลัวว่าถ้าเลี้ยงแมวหรือหมา เธอจะไม่มีเวลามาสนใจฉัน”
ที่แท้ยังมีเหตุผลนี้อีก ผู้ชายคนนี้จะน่ารักเกินไปแล้ว
อวี่ฉีอดขำออกมาไม่ได้ เธอดึงมือของเขามาจุมพิตแผ่วเบา “คุณกังวลมากไปแล้วค่ะ” เธอมองเขานิ่ง ๆ แล้วหยอกเขาอย่างติดจะสนใจใคร่รู้ “ถ้าอย่างนั้นทำไมวันนี้คุณถึงยอมรับสารภาพแล้วล่ะคะ”
หานเซ่าใช้สองมือประคองใบหน้าของอวี่ฉี “เธออยู่เป็นเพื่อนฉันมานานมากพอแล้ว ฉันพอใจแล้วละ”
สุ้มเสียงของเขาอ่อนโยนเหมือนที่เคยเป็นมา แต่กลับแฝงลางร้ายบางอย่างเอาไว้ราง ๆ
อวี่ฉีไม่พูดอะไร เพียงแค่มองเขาอย่างนิ่งงัน
หานเซ่าระบายยิ้มบาง ๆ กอบกุมมือของเธอเอาไว้อย่างนุ่มนวล “เย็นนี้ไปเดินตลาดกลางคืนกันดีไหม ฉันจะเลี้ยงอาหารดี ๆ ให้เธอเอง”
“ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงนึกอยากไปตลาดกลางคืนขึ้นมาได้ล่ะคะ” เธอดึงสติกลับมา และฝืนยิ้มน้อย ๆ “อาหารที่ตลาดกลางคืนส่วนมากมีแต่ของทอด ทั้งมันทั้งเลี่ยนสุด ๆ ฉันไม่ชอบค่ะ”
หานเซ่าย่อมรู้อยู่แล้วว่าเธอไม่ได้ไม่ชอบจริง ๆ แต่เป็นห่วงว่าอาหารที่มีน้ำมันมากนั้นจะย่อยได้ยาก เด็กสาวคนนี้เป็นเช่นนี้เสมอ ฉลาดเฉลียวเป็นผู้ใหญ่จนชวนให้ปวดใจ ยิ่งเธอเอาใจใส่มากเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกผิดต่อเธอมากเท่านั้น
เนื่องจากร่างกายเขาอ่อนแอ จึงไม่สามารถทำอะไรหลาย ๆ อย่างเป็นเพื่อนเธอได้ หนึ่งในนั้นก็คือการลิ้มลองอาหารพื้นเมืองชื่อดัง สิบปีมานี้เธอกินข้าวต้มและผักตามเขามาโดยตลอด แต่กลับไม่เคยบ่นออกมาแม้แต่คำเดียว
เขาลูบศีรษะเธอเบา ๆ เผยรอยยิ้มอ่อนโยนขึ้นที่มุมปาก “อวี่ฉี คิดซะว่าไปเป็นเพื่อนฉันแล้วกัน ดีไหม”
หลังจากนั้นพวกเขาก็ไปตลาดกลางคืนด้วยกัน คล้องแขนเดินเล่นเหมือนดั่งวันวาน เดินผ่านหน้าแผงขายของร้านแล้วร้านเล่า
ตลาดกลางคืนเสียงดังอึกทึก แสงโคมไฟวูบวาบ คนที่เดินผ่านไปมาล้วนเป็นชาวต่างชาติผมทองตาสีฟ้าทั้งนั้น นาน ๆ ครั้งถึงจะพบชาวจีนผมดำผิวเหลือง
หานเซ่าแทบจะซื้อทุกอย่างอันละนิดอันละหน่อยยื่นให้แก่เธอ มองเธอกินพลางยิ้มบาง ๆ ไปด้วย
สุดท้ายอวี่ฉีก็ต้องโบกมือปฏิเสธไปหลายครั้ง บอกว่ากินมากกว่านี้อีกไม่ไหวแล้ว เขาถึงยอมเลิกรา แล้วไปเดินเล่นย่อยอาหารกับเธอที่ริมชายหาด
ตะวันทอแสงทั่วฟ้า ดวงอาทิตย์ลับฟ้าทอแสงสีทอง ลมทะเลพัดผ่านแก้มไป อากาศค่อนข้างเย็นชื้น
เธอกระชับปกเสื้อด้านหน้าให้เขา แล้วเงยหน้าขึ้นยิ้ม “พวกเรากลับกันเถอะค่ะ”
หานเซ่ายกมือขึ้นจัดผมปรกหน้าของเธอที่โดนลมทะเลพัดจนยุ่งเหยิงให้เข้าที่เข้าทาง แล้วดึงเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอด “รออีกหน่อยเถอะ อวี่ฉี รออีกไม่นาน” เขาเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะปล่อยมือของเธออย่างเชื่องช้า แล้วยิ้มออกมาบาง ๆ “พวกเราดูพระอาทิตย์ตกดินกันดีไหม”
เขาใช้น้ำเสียงที่แทบจะอ้อนวอนกันแบบนี้ อวี่ฉีไม่มีทางปฏิเสธได้อยู่แล้ว
คนทั้งคู่นั่งลงข้างหินสีเทาก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง อวี่ฉีนั่งอย่างสงบอยู่อีกฝั่งหนึ่งของเขา คอยบังลมทะเลที่พัดมาให้หานเซ่าโดยพยายามไม่ให้ถูกจับได้
หานเซ่าเห็นอยู่กับตาว่าเกิดอะไรขึ้น เขามองเธออย่างอ่อนใจ ก้มหน้าลงกุมมือซ้ายที่ขาวเนียนและอ่อนนุ่มของเธอเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงอบอุ่น “อวี่ฉี ขอบคุณเธอมากที่อยู่เคียงข้างฉันมาสิบปี”
เธอชะงัก เอียงศีรษะมามองเขา ผมยาวสยายพลิ้วไหวไปตามลม
“คำพูดที่ฉันเคยพูดไปทั้งหมดนั้นมาจากใจจริง อวี่ฉี รอจนฉันจากไปแล้ว อย่าได้เสียใจ” เขาค่อย ๆ ช่วยรวบผมสีดำที่ยุ่งเหยิงไปทัดไว้ที่หลังใบหูให้เธอ ภายในดวงตาหงส์เรียวยาวและงดงามสะท้อนแสงอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้า อาบย้อมไปด้วยความอบอุ่นอันไร้ขอบเขต “บนโลกมีผู้ชายมากมายที่ดีกว่าฉันเป็นล้านเท่า ท้ายที่สุดแล้วเธอจะได้พบกับใครสักคนในนั้น และเขาจะรักเธอเหมือนกับอัญมณีล้ำค่า” เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ลูบไล้แก้มของเธออย่างแผ่วเบา และเอ่ยจริงจังว่า “ใช้ชีวิตกับเขาอย่างมีความสุขนะ”
อวี่ฉีไม่พูดอะไร เพียงแต่แววตาที่มองเขาเผยถึงความไม่ยินยอม
หานเซ่าคลี่ยิ้มเล็กน้อย ลูบศีรษะของเธอเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้า “เด็กโง่ ฉันรั้งเธอเอาไว้ถึงตอนนี้แล้ว ฉันจะรั้งเธอไว้ทั้งชีวิตอีกไม่ได้” เสียงของเขาอบอุ่นจนชวนให้รู้สึกโศกเศร้า “ไม่จำเป็นต้องเสียใจ อาเซ่าจะอยู่เคียงข้างเธอไปตลอด” เขากล่าวต่อด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “มันจะเป็นตัวแทนของฉัน คอยมองดูเธอมีความสุข”
เธอกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป หยดน้ำรื้นขึ้นที่ขอบตา เพิ่งจะสิ้นเสียงของเขาได้ไม่ทันไร เธอก็โผเข้าไปในอ้อมกอดของอีกฝ่าย พร้อมกล่าวด้วยเสียงสะอึกสะอื้น “คำพูดที่ฉันบอกไปก็ออกมาจากใจจริงเหมือนกันค่ะ ชีวิตนี้อวี่ฉีจะไม่มีคนรักคนที่สองอีก” เธอกอดเอวของเขาแน่น ปะปนด้วยเสียงร้องไห้ “ยังจำได้ไหมคะ ฉันเคยให้คำสาบานต่อหน้าบาทหลวงเอาไว้”
เธอสงบลงไปพักใหญ่แล้วถึงค่อย ๆ ผละออกจากอ้อมกอดของหานเซ่า ดวงตาสุกใสเป็นประกายจ้องมองใบหน้าของเขา กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนอย่างถึงที่สุด ทุกถ้อยคำชัดเจนเนิบช้า ราวกับว่ายังยืนอยู่ในโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่แห่งนั้น “ไม่ว่ายากไร้หรือมั่งมี ไม่ว่าในยามไข้หรือสบายดี ฉันจะเป็นภรรยาที่ซื่อสัตย์ของคุณไม่เปลี่ยนแปลงจนกว่าชีวิตจะหาไม่”
หานเซ่ามองเธอนิ่ง ๆ แววตาทอประกายอ่อนโยนรักใคร่ สื่อความหมายเอื้ออารีราวญาติผู้ใหญ่ ขณะเดียวกันก็แฝงด้วยความรักฉันสามีภรรยา
ผ่านไปเนิ่นนาน เขาคลี่ยิ้มบาง ๆ ออกมา “พระอาทิตย์ตกสวยขนาดนี้ เธอควรจะมองพระอาทิตย์ ไม่ใช่มองฉัน” เสียงของเขาอ่อนโยนอย่างยิ่ง มันทุ้มต่ำและอบอุ่นไม่ต่างกับตอนที่พบกันครั้งแรก
“ฉันยังจำตอนที่ดอกไม้ไฟแผ่กระจายเต็มท้องฟ้าอยู่ด้านหลังของเธอได้ ตอนนั้นฉันก็รู้สึกว่าเธอมันทึ่มจริง ๆ ดอกไม้ไฟที่สวยขนาดนั้น ยังไงก็น่ามองมากกว่าผู้ชายแก่ ๆ อย่างฉันคนนี้ตั้งเยอะ เธอก็ยังดื้อและเลือกจ้องมองฝั่งที่ไม่น่าดู” เขาลูบใบหน้าของเธอ เจือรอยยิ้มอ่อนโยนที่มุมปาก “สิบปีผ่านไปแล้ว ยังไงเธอก็น่าจะฉลาดขึ้นบ้าง หันไปมองพระอาทิตย์ตกดินสิ หืม?”
อวี่ฉีมองเขาสักพัก ภายใต้คำยืนกรานของเขา เธอหันศีรษะกลับไปพร้อมน้ำตาที่เอ่อล้น แล้วมองไปยังเส้นขอบฟ้าอันห่างไกล
ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้างดงามน่าประทับใจราวกับฉากในบทกวี น้ำตาที่กักเก็บเอาไว้เป็นเวลานานพลันหลั่งไหลลงมา
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรแล้ว เธอเอียงศีรษะเล็กน้อยหันกลับไปมองเขา กลับพบว่าเขาหมดสติพิงหินก้อนใหญ่สีเทาก้อนนั้นไปแล้ว ที่มุมปากยังคงเจือไปด้วยรอยยิ้มเบาบาง
เขาไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย
สามวันต่อมา หานเซ่าก็หยุดหายใจ คำพูดประโยคสุดท้ายที่เขาพูดกับเธอ คือให้เธอหันไปมองพระอาทิตย์ตกดิน
——————————————————————