ดวงอาทิตย์สีแดงดั่งโลหิตค่อยๆ ลาลับ เหลือเพียงครึ่งหนึ่งโผล่พ้นขอบฟ้า
ในสิ่งก่อสร้างที่ทรุดโทรมแห่งหนึ่งบนยอดเขา
เจินสวินค่อยๆ เปิดประตูใหญ่ออก เหยียบก้อนโคลนเศษหินบนพื้น ขโยกเขยกเดินเข้าไปในโถงใหญ่ของสิ่งก่อสร้าง มองไปที่หน้าต่างด้านหน้าฝั่งขวา
แสงจากดวงอาทิตย์ที่มีสีแดงดั่งโลหิตสาดเข้ามาทางหน้าต่างโค้ง ประทับเงาคนผมยาว ร่างบางระหงผู้หนึ่งไว้ตรงหน้าต่าง
เจินสวินหยีตา พิจารณาสภาพแวดล้อมรอบๆ
ในโถงใหญ่ไม่มีสิ่งใด ไร้เครื่องเรือน ไร้เสาค้ำยัน ไร้บันไดขึ้นลง มีแต่ความราบเรียบ บนพื้นเป็นซากเศษหิน ยังมีเครื่องเรือนไม้ที่ผุพังแล้ว หากยืนที่ประตูก็เห็นหน้าต่างโค้งสี่ด้านได้
หน้าต่างทรงกลมหลายบานสูงเกือบเท่าคนสองคน ส่วนใหญ่ชำรุด บางบานยังเหลือกรอบไม้หักอยู่ เสี้ยนไม้หลายแท่งที่โผล่มาลอยโดดเดี่ยวอยู่กลางหน้าต่าง
โถงใหญ่ถูกอาทิตย์อัสดงย้อมเป็นสีเลือด ให้ความรู้สึกเสื่อมโทรมและพังพินาศที่รุนแรง
เงาของคนผมยาวยืนอยู่ด้านหน้าของหน้าต่างบานหนึ่ง มือเกาะกรอบหน้าต่างมองไปด้านนอก ลมเย็นพัดผ่าน พัดกระโปรงของนางไปด้านหลัง
เจินสวินขมวดคิ้ว จากมุมของเขา เห็นเพียงเงาดำทะมึนของคนผู้นั้น แม้แต่บนตัวนางสวมใส่กระโปรงสีอะไรก็ไม่แน่ใจ แสงอาทิตย์สีแดงเข้มเกินไป สะท้อนให้เงาดำทั้งหมดมืดมิดกว่าเดิม
แสงอาทิตย์แดงดั่งเลือด เงาคนดำทะมึน
“ข้าไม่ชอบเจอท่านในสถานที่แบบนี้ เวลาแบบนี้ รวมถึงสถานการณ์แบบนี้ พี่สาวที่รักของข้า” เจินสวิน กล่าวเสียงทุ้มต่ำ
“ถ้าไม่ใช่ต้องมา ข้าก็ไม่อยากเจอเจ้าเช่นกัน” สตรีเงาดำยังคงมองไปไกลนอกหน้าต่าง กล่าวโดยไม่หันกลับมา
เสียงของนางอ่อนโยนยิ่ง เหมือนกับหญิงสาวผู้อ่อนแอที่ไม่น่าหวาดระแวง มอบความรู้สึกอ่อนโยนไร้อันตรายอันเข้มข้นให้แก่ผู้คน
เจินสวินได้ยินเสียง คิ้วขมวดมุ่นกว่าเดิม
“บอกมาเถอะ ที่บ้านมีความคิดอันใดกันแน่ ให้ข้าออกมาจัดการเรื่องนี้ ข้าส่งคำสั่งขอความช่วยเหลือไปนานเท่าใดแล้ว ตอนนี้ยังไม่มีการตอบกลับ หรือพวกเขาต้องการให้ท่านมาช่วยข้าจัดการความยุ่งยากนี้”
“ย่อมเป็นไปไม่ได้” สตรีผู้นั้นเอ่ยกลั้วหัวเราะ “แน่นอนว่าถ้าเจ้าขอร้องข้าด้วยตัวเอง คำขอของน้องชายที่ข้ารักที่สุด ข้ากลับจะพิจารณาช่วยเจ้าก็ได้” วาจากล่าวเช่นนี้ แต่ความประชดประชันในน้ำเสียงนางชัดเจนยิ่ง
“ข้ามีเวลาไม่มาก” จวินสวินใบหน้าเคร่งขรึม
“เป็นน้องชายที่น่าเบื่อจริงๆ” นางค่อยๆ หันหน้ามา ผมยาวที่คลุมไหล่กระพือตามลม ปกปิดใบหน้ามากกว่าครึ่ง ใบหน้าในเงาดำส่วนใหญ่เป็นสีดำสนิท เห็นเพียงลูกตาสีแดงที่ส่องประกาย จ้องมองเจินสวินอย่างสงบในแสงอาทิตย์
“ทุกครั้งที่เจอเจ้า ข้าล้วนมีความคิดอยากฆ่าเจ้า…”
“บังเอิญจริงๆ ข้าก็เหมือนกัน” เจินสวินไม่ยอมแสดงความอ่อนแอ มองไปที่ดวงตาของสตรีนางนั้น
ทั้งสองคนสบตากันอย่างสงบอยู่เนิ่นนาน
“ที่บ้านเตรียมตัวเกือบเสร็จแล้ว พร้อมถอยได้ทุกเวลา เจ้าต้องเตรียมตัวเก็บกวาดให้ดี” สตรีในที่สุดก็บอกข่าวที่ตนมาส่ง
เจินสวินงุนงง หลับตาใคร่ครวญพักหนึ่ง
“เหตุใดเร็วแบบนี้”
“เป็นเพราะว่าตระกูลซั่งหยางก็มาแล้วเช่นกัน ถึงจะเป็นขุมกำลังเล็กๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่ พวกเขาในฐานะตระกูลขุนนางเหมือนกันลงมือแล้ว ทั้งยังมาแดนเหนือที่ทรัพยากรขาดแคลนอย่างชัดเจน แค่นึกดูก็รู้เป้าหมาย ดังนั้นท่านตาผู้เป็นที่รักยิ่งของพวกเรา จึงตัดสินใจถอยก่อน” สตรีตอบราบเรียบ
เจินสวินหายใจลึกๆ ไม่ยินยอมอยู่บ้าง
“เช่นนั้นรากฐานของพวกเราที่อยู่ที่นี่ ขุมกำลังที่บ่มเพาะไว้ สถานการณ์…”
“ดาบมารอยู่ในมือ ผุดขึ้นใหม่ที่ใดก็เหมือนกัน นั่นจึงเป็นรากฐานของพวกเรา สถานการณ์เล็กน้อยในตอนนี้นับเป็นอะไร ส่วนขุมกำลัง ก็เพียงคนธรรมดาส่วนหนึ่งเท่านั้น เหมือนกับหญ้าป่า ตายแล้วเดี๋ยวก็โตขึ้นอีก นี่จำเป็นต้องกังวลหรือ” สตรีนั้นตัดบทเขา
เจินสวินเงียบงัน เข้าใจดีว่าหากพวกเขาจากไป รากฐานกับขุมกำลังซึ่งสูญเสียที่พึ่งพาเหล่านั้น จะเหมือนวิมานที่ล่มสลายกลางอากาศในชั่วพริบตาเพราะการจู่โจมของจัตุรัสแดงและกลุ่มอื่นๆ
รากฐานที่ลำบากบ่มเพาะมามากกว่าร้อยปี พริบตาเดียวก็กลายเป็นเถ้าธุลี
ครู่หนึ่ง เขาจึงค่อยได้สติจากข่าวที่มาอย่างกะทันหันนี้
“ให้ไปเมื่อใด”
“ข้าไม่ทราบ แต่คงไม่ช้าเกินไป ข่าวที่พวกเราครอบครองดาบมารภัยพิบัติมังกรสีชาดกระจายเร็วยิ่ง พวกขุมกำลังที่ถูกล่อไปก่อนหน้านี้เริ่มเร่งรุดมานี่อีกแล้ว ดังนั้นคงไม่ช้าเกินไป” สตรีตอบ
“ข้า…เข้าใจแล้ว…ข้ากลับไปจะเตรียมตัวไว้” เจินสวินถอนใจ
…
หมู่บ้านตระกูลซ่ง
ฟ้าขมุกขมัว ในเส้นแสงสีขาวเทา ด้านข้างหมู่บ้านตระกูลซ่งที่ถูกเผาราบ
หินเขียวขนาดเท่าฝ่าเท้าสามก้อนวางอยู่ใต้ต้นไม้แห้งต้นหนึ่ง ดูเหมือนวางอยู่ใต้ต้นไม้คล้ายขอไปที แต่ความจริงเป็นรูปสามเหลี่ยมที่โย้เย้รูปหนึ่ง
ต้นไม้แห้งเป็นสีดำสนิทราวถูกเผาไปแล้วรอบหนึ่ง ดูเหมือนอสุรกายแยกเขี้ยวกางกรงเล็บ อีกาหลายตัวบนง่ามกิ่งไม้ ก้มหัวสางขนสีดำของมัน ส่งเสียงร้องแกว๊กๆ ตลอดเวลา
ตุบ…ตุบ…ตุบ…
ไกลออกไปแว่วเสียงฝีเท้าเป็นจังหวะดังมาอย่างกะทันหัน เสียงรองเท้าเหยียบฝุ่นดำกับทรายบนพื้น ดังสวบสาบราวกับเหยียบบนพื้นหิมะ
บุรุษหัวล้านร่างสูงใหญ่ แข็งแรงกำยำคนหนึ่ง กำลังเดินมาทางต้นไม้แห้งอย่างเชื่องช้า
เขาแบกดาบผ่าฟืนใหญ่สองเล่มไว้บนหลัง สวมชุดรัดรูปสีดำ แขนใส่เกราะกันข้อมือ หน้าอกสวมเกราะหนังสีน้ำตาล สิ่งที่น่าประหลาดกว่าก็คือ เขาไม่เพียงไม่มีผม แม้แต่ขนคิ้ว หนวดเคราก็ไม่มี ถึงขั้นไม่มีขนตาด้วย
ความเกลี้ยงเกลานี้กลับมอบความรู้สึกอันยากบรรยายที่ทั้งอันตรายและดุร้ายให้แก่ผู้คน
บุรุษผู้นั้นเดินมาถึงใต้ต้นไม้แห้ง มองหินเขียวสามก้อนที่วางอยู่บนพื้น พลิกมือหยิบวัตถุรูปร่างทรงกระบอกยาวท่อนหนึ่งที่ห่อด้วยผ้าดำออกมา ใช้หินเหล็กไฟตีเบาๆ จุดไฟขึ้น
หย่อมไฟสีแดงเหลืองวูบไหว จากนั้นมีควันดำกระจายตัว กลิ่นเหม็นอันยากบรรยายค่อยๆ ลอยออกไป
เวลาผ่านไปนาทีต่อนาที
ไม่ทันไรอีกาบนต้นไม้แห้งพากันตกใจ ร้องแกว๊กๆ บินหนีไปยังที่ไกล
บุรุษผู้นั้นหมุนตัวหันมามองไปที่ทิศทางหนึ่งไม่ไกล เห็นสตรีร่างดำสนิท สวมหมวกและผ้าคลุมหน้า ค่อยๆ เดินมาทางนี้
“หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกนอกลู่ใช่หรือไม่” สตรีถามเสียงทุ้ม
“จัว…หรือ” ลู่เซิ่งเพียงเอ่ยคำคำเดียวในชื่อออกมา
“ใช่ เป็นข้าเอง ข้านำของมาส่วนหนึ่ง รวบรวมได้ในช่วงนี้ทั้งสิ้น ทั้งหมดมีแปดชิ้น ที่เหลือข้าจำเป็นต้องใช้เวลา”
ลู่เซิ่งฉีกยิ้ม
“เจ้าให้ข้าดูก่อน ข้าจะตรวจสอบ ครั้งนี้ไม่ต้องแลกเปลี่ยนก็ได้ ข้าขอดูก่อนว่าเป็นสิ่งของที่ข้าต้องการหรือไม่”
จัวเหวินอวี่ลังเลเล็กน้อย ก่อนพยักหน้า
นางหยิบเอี๊ยมที่เย็บด้วยดิ้นทองชิ้นหนึ่งออกมาจากในกระเป๋าใบเล็กที่แบกอยู่ ก่อนโยนเบาๆ ไปให้ลู่เซิ่ง
ฝ่ายหลังรับไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ยังได้กลิ่นหอมจางๆ จากมัน
“สิ่งที่ท่านต้องการ แบบนี้ใช่หรือไม่ นี่เป็นชุดข้างกายของคนอื่น ใช้ดิ้นทองเย็บ เป็นของเมื่อหลายร้อยปีก่อน”
ลู่เซิ่งพอรับมา ก็รู้สึกได้ว่ามีปราณหยินหลายสายส่งมาจากเอี๊ยม วัตถุที่มีปริมาณปราณหยินน้อยนิดนี้ เขาไม่ต้องใช้เลือดก็ดูดได้โดยตรง เหมือนกับหินสีเขียวในตอนแรกสุด
จากนั้นเขาก็แสร้งตรวจสอบเอี๊ยมโดยไม่แสดงสีหน้า ขณะตรวจสอบ ปราณหยินไหลเข้าสู่ในร่างเขาอย่างต่อเนื่อง
“ได้ นับเป็นหนึ่งชิ้น” เขายิ้ม อธิบายว่า “สิ่งที่ข้าต้องการ อันดับแรกให้ดีที่สุดเป็นของในหลุมศพ ไม่สนใจอายุ แต่ไม่อาจเร็วเกินไป
อันดับสอง ต้องเป็นของที่เจ้าของพกติดตัวตอนมีชีวิต”
“แบบนี้ก็ง่าย” จัวเหวินอวี่พยักหน้า “ของแบบนี้ ข้าจะพยายามหาให้ท่านมากๆ แต่ว่าข้าก็หวังให้ท่านช่วยข้ารวบรวมสิ่งของส่วนหนึ่งมาเป็นการแลกเปลี่ยนเช่นกัน”
“สิ่งของอันใด” ลู่เซิ่งถาม
“สุราเลือดมนุษย์ของคนหนึ่งร้อยคน ผสมเลือดคนที่แตกต่างกัน เลือดไม่ต้องมาก หนึ่งคนหนึ่งหยดก็พอ” จัวเหวินอวี่เสนอคำขอที่ประหลาด
ลู่เซิ่งใคร่ครวญ
“ได้” สถานะและตำแหน่งที่เขาเป็นอยู่ ต้องการหาสุราเลือดแบบนี้ง่ายดายยิ่ง สิ่งที่จำเป็นต้องกังวลเพียงหนึ่งเดียวคือ นางจะใช้สุราเลือดนี้ทำเรื่องไม่ดีกับคนที่ถูกเจาะเอาเลือดหรือไม่
แต่ลู่เซิ่งคิดอีกที ก็ทราบว่าความคิดนี้ของตัวเองน่าขันอยู่บ้าง ถ้านางมีขีดความสามารถน่ากลัวเช่นนี้จริงๆ ก็คงสู้คนธรรมดาที่ไม่ถึงระดับพันธนาการเช่นตนได้แล้ว
“ยังมีกระถางติ่งใบนั้นรบกวนรักษาไว้ให้ดี” จัวเหวินอวี่ให้ความสำคัญกับกระถางติ่งใบนั้นยิ่ง
“ไม่ต้องห่วง” ลู่เซิ่งใช้ผ้าดำที่เตรียมไว้ก่อนแล้ว ห่อเอี๊ยมดิ้นทองไว้ “นอกจากนี้เล่า” เขาเงยหน้ามองจัวเหวินอวี่ต่อ
“ให้ข้าดูกระถางติ่งก่อนได้หรือไม่” จัวเหวินอวี่ลดเสียงกล่าวเบาๆ
“แน่นอน” ลู่เซิ่งล้วงกระถางติ่งกระทัดรัดสีดำขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากอกเสื้อ “รอเจ้าหาของให้ข้าครบสิบห้าชิ้น ข้าจะมอบของนี้ให้”
จัวเหวินอวี่กัดฟัน จดจ้องกระถางติ่ง
“ได้!” นางรีบหยิบสิ่งของเล็กๆ แต่ละอย่างออกมาจากกระเป๋าด้านหลัง มีกล่องประทินโฉม คันฉ่องสำริด หวีไม้ หมอนใบเล็ก…
มอบของเหล่านี้ให้ลู่เซิ่งทีละชิ้น เขาก็สัมผัสอย่างตั้งใจทีละชิ้นๆ มีทั้งหมดแปดอย่าง มีแค่สองอย่างที่มีปราณหยิน หนำซ้ำยังมีไม่มาก นี่ทำให้เขาผิดหวังเล็กน้อย
“มีแค่นี้หรือ นี่มีแค่สองอย่างที่ใช้ได้ บวกกับชิ้นแรกเมื่อครู่ ทั้งหมดนับเป็นสามชิ้น” เขาย่นคิ้วเอ่ย
“พึ่งนับแค่สามชิ้นหรือ?!” จัวเหวินอวี่จนใจ นางไม่ทราบว่าลู่เซิ่งคัดเลือกแบบนี้มีความประสงค์ใด แต่ว่าของเหล่านี้ไม่มีข้อแตกต่าง ทั้งหมดเป็นของฝังร่วมกับของรักของเจ้าของตอนมีชีวิต
แต่ลู่เซิ่งเลือกจากพวกมันมาสามชิ้น ที่เหลือไม่ต้องการ
“ข้าไม่หลอกลวงเจ้า ไม่มีสิ่งที่ข้าต้องการอยู่จริงๆ” ลู่เซิ่งอธิบาย “นอกจากนี้ ข้าต้องตรวจสอบด้วยตัวเอง ถึงจะรู้ว่าข้าต้องการสิ่งนี้หรือไม่”
จัวเหวินอวี่ไม่อาจเข้าใจ แต่นางเคยเห็นคำขอพิลึกแบบนี้มาไม่น้อย ความประหลาดลี้ลับ มารปีศาจ และตระกูลขุนนางมากมายก็อัศจรรย์พันลึกอยู่แล้ว นางเห็นจนชินตา
เพียงแต่เมื่อเป็นแบบนี้ ของเหล่านี้จะนับกี่ชิ้น ก็ขึ้นอยู่กับลู่เซิ่ง นางไม่มีวิธีอื่น
“ก็ได้… ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ครั้งนี้นับว่าสามชิ้นก็แล้วกัน ของเหล่านี้ท่านยังต้องการหรือไม่ ถ้าไม่ข้าจะนำกลับไป”
ลู่เซิ่งส่ายหน้า
“เจ้านำกลับไปทั้งหมดเถอะ” เขามองออกว่าจัวเหวินอวี่ไม่อาจรับรู้ว่ามีปราณหยินอยู่ หรือกล่าวได้ว่า จนถึงปัจจุบันเขายังไม่เห็นใครสัมผัสการดำรงอยู่ของปราณหยินได้เหมือนตัวเอง
หากยึดตามคำพูดของตวนมู่หว่าน บนโลกนี้ไม่มีพลังงานปราณกำเนิดในอากาศ เช่นนั้นปราณหยินเป็นอะไร เหตุใดตนจึงใช้คุณสมบัติของมันได้ นี่เป็นคำถามที่จำเป็นต้องศึกษา
ปราณหยินก็เป็นเพียงชื่อที่ตนนิยามสิ่งนี้ในตอนแรกสุดเท่านั้น ความจริงพลังงานชนิดนี้เป็นอะไร เขาก็ไม่รู้เช่นกัน
ทั้งสองคนแลกเปลี่ยนเวลาและสถานที่สำหรับการแลกเปลี่ยนในครั้งหน้าใต้ต้นไม้เสร็จแล้ว จัวเหวินอวี่ก็รีบจากไป ลู่เซิ่งกลับไปทางที่มาอย่างรวดเร็วเช่นกัน
เขาจำเป็นต้องไปหาประมุขพรรคเฒ่า ถามจากหงหมิงจือให้ละเอียดว่า สถานะของตระกูลเจินล่าสุดเป็นอย่างไร
ช่วงนี้่สถานการณ์ของตระกูลเจินกับจัตุรัสแดงซับซ้อนซ่อนเงื่อนขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของตระกูลเจินคล้ายสงบนิ่งเกินไป ผิดปกติอยู่บ้าง
……………………………………….