บทที่ 112 มุ่งร้าย (2)
“ในเมื่อคนมาครบแล้ว ครั้งนี้ที่เชิญทุกท่านมา เพื่อจะพูดถึงคดีที่ระดับสูงของชุมนุมล่องไพรหายตัวไปทั้งหมด” ข้าหลวงหลี่กล่าวเสียงทุ้มอย่างจริงจัง
“เรื่องนี้ข้าส่งมือดีไปรวบรวมข้อมูล และตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว” ผู้บัญชาการใหญ่หยวนซวี่เอ่ยเสียงเย็น “จะต้องจับคนร้ายมารับโทษให้จงได้!”
“กลัวว่าคนร้ายจะไม่ใช่คน” ไป๋เฟิงเต้าหยินกล่าวอย่างแช่มช้า ดวงตามองไปที่ลู่เซิ่งที่อยู่ด้านข้าง “เรื่องนี้ยังต้องขอให้หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกลู่เล่าความยุ่งยาก ด้านในพรรควาฬแดงเป็นหัวมังกรแดนเหนือ ชุมนุมล่องไพรอยู่ในสังกัด คงจะมีเงื่อนงำ”
“เป็นคนแล้วอย่างไร ไม่ใช่คนแล้วอย่างไร” ลู่เซิ่งกล่าวราบเรียบ
“เป็นคน ก็ให้ผู้บัญชาการใหญ่จัดการ ถ้าไม่ใช่ เช่นนั้นให้ขุนนางตรวจการดูแล ช่วงนี้ขุนนางตรวจการมียอดฝีมือพลังไม่ธรรมดาเข้ามาใหม่หลายคน” ผู้บัญชาการใหญ่หัวเราะเหอะๆ
ไป๋เฟิงเหล่าเต้าไม่ได้แย้ง เพียงดูว่าลู่เซิ่งจะตอบอย่างไร
ลู่เซิ่งหยีตา นึกถึงคำสั่งที่ตระกูลเจินประกาศก่อนหน้า พลันเกิดลางสังกรณ์ส่วนหนึ่ง ขุนนางตรวจการกระโดดออกมา เป็นไปได้สุดขีดว่าตระกูลขุนนางหรือขุมกำลังอื่นๆ คิดจะหยั่งเชิงตระกูลเจิน เข้าร่วมเรื่องนี้ผ่านวิธีการนี้
“ข้าเป็นแค่จอมยุทธ์คนหนึ่ง ไม่ทราบสถานการณ์อย่างเป็นรูปธรรม ประมุขพรรคเฒ่าเป็นคนรับมือเรื่องเหล่านี้ด้วยตัวเอง” เขาหัวเราะฮ่าๆ
“แม้แต่หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกลู่ก็ไม่ทราบ เช่นนั้นยังจะมีใครรู้อีก” ผู้บัญชาการใหญ่หยวนซวี่มีความคิดเจาะจงอยู่บ้าง
“ถึงอย่างไรเรื่องนี้พวกเราก็ไม่ได้รับข่าวอะไร ถ้าขุนนางตรวจการคิดตรวจสอบอย่างละเอียด ข้ายินดีให้ความร่วมมือเต็มที่” ลู่เซิ่งยิ้ม “ถ้าเจออะไรจริงๆ ขอให้แจ้งพวกเราทันที จะได้เตรียมตัว”
“หรือไม่ใช่ก่อนหน้านี้ชุมนุมล่องไพรกับพรรควาฬแดงเกิดความขัดแย้งทางธุรกิจ…” ชายชราที่อยู่ตำแหน่งต่ำกว่าอดส่งเสียงเบาๆ ไม่ได้
“หือ?” ลู่เซิ่งถลึงตา ชายชราตกใจตัวสั่น รีบก้มหน้าลงไม่กล้าพูดอีก
ชื่อเสียงหัวมังกรของพรรควาฬแดง ไม่ใช่ได้มาเพราะเมตตากรุณา แต่เข่นฆ่าถึงได้มา พูดถึงอำนาจที่แท้จริง ทุกผู้ทุกคนในเมืองต้องอยู่ในการดูแลของลู่เซิ่ง พูดได้ว่าเขาพูดคำเดียว ผลกระทบเป็นรองข้าหลวงหลี่เจินอี้เท่านั้น นี่เป็นสาเหตุที่ที่ว่าการตั้งใจเชิญเขามา
“ที่ข้าให้หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกลู่มา ข้อแรก เป็นเพราะหัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งเมืองเลียบคีรี มีพลังไม่ธรรมดา” หลี่เจินอี้กล่าวคำพูดนี้ ไป๋เฟิงเหล่าเต้าที่อยู่ด้านข้างก็แสดงสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“ข้อสอง เพื่อเชิญหัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกลู่มาช่วยเหลือตรวจสอบคดีชุมนุมล่องไพร” หลี่เจินอี้กับคนที่เหลือแสร้งเมินสีหน้านักพรต เอ่ยต่อ
“ร่วมมือนั้นย่อมแน่นอน เพียงแต่…” ลู่เซิ่งยังไม่ทันพูดจบ
“รายงาน!”
ทันใดนั้นด้านนอกมีเจ้าหน้าที่นายหนึ่งถลันเข้ามา
“เรียนใต้เท้า คนเจ็ดสิบสองคนของสำนักตรีหลากที่อยู่ทิศใต้ของเมืองถูกฆ่าทั้งหมด ศพถูกพบในตัวลานและบ่อน้ำ!”
“อะไรนะ?!” หลี่เจินอี้สีหน้าเปลี่ยนแปลง ลุกพรวดขึ้น
ลู่เซิ่งจิตใจหนักอึ้ง สำนักตรีหลากแม้ไม่ใหญ่โต แต่ก็อยู่ในการดูแลของตระกูลเจินเหมือนพรรควาฬแดง ถนัดในการสืบหาข้อมูล ความสำคัญเป็นรองพรรควาฬแดง ตอนนี้ถึงกับ…
“ดูเหมือนพรรคท่านจะเดือดร้อนเล็กน้อย” ไป๋เฟิงเหล่าเต้ามองลู่เซิ่งพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มราบเรียบ
“เดือดร้อนหรือไม่ ท่านไม่ต้องกังวล” ลู่เซิ่งพอจะทายถึงขุมกำลังอื่นๆ ที่ยืนอยู่เบื้องหลังอีกฝ่ายออก ก่อนหน้านี้ยังมีความคาดหวังเล็กน้อยต่อราชสำนัก ตอนนี้ไม่มีแล้ว
พรรควาฬแดงเหมือนกับเรือใหญ่ที่อาจพลิกคว่ำได้ตลอดเวลา ตอนนี้สั่นไหวกลางลมฝน ไม่ว่าใครต่างคิดแบ่งชามข้าว
“สำนักตรีหลากเป็นพันธมิตรของพรรคเรา พวกเขาเกิดเรื่อง ข้าจะไปตรวจสอบดูก่อน ขอลาทุกท่าน” ในเมื่อมองออกว่าท่าทีของทางการไม่มีประโยชน์ ลู่เซิ่งก็ไม่เสียเวลาอีก ลุกขึ้นบอกลา
“ถ้าหัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกลู่มีความต้องการ ลองพิจารณาเข้าร่วมเป็นขุนนางตรวจการดู อาจจะยังมีทางถอย” ด้านหลังแว่วเสียงเกลี้ยกล่อมของไป๋เฟิงเหล่าเต้า
ลู่เซิ่งไม่สนใจ หมุนกายจากไป จากคำพูดนี้เห็นได้ว่าขุนนางตรวจการจะต้องทราบสภาพจนตรอกในปัจจุบันของพรรควาฬแดงแล้ว
ถ้าจัตุรัสแดงคิดมาจู่โจมอย่างเปิดเผยจริงๆ จะต้องไม่ละเว้นระดับสูงอย่างเขา ยิ่งไปกว่านั้นเขาฆ่าภูตผีของจัตุรัสแดงไปไม่น้อย ทั้งเผาเรือสำราญลำหนึ่ง มีความแค้นอยู่แล้ว ดังนั้นคำเชิญชวนนี้จึงพูดไปเท่านั้นเอง
‘ก่อนหน้านี้พวกเขายังไม่แน่ใจว่าตระกูลเจินจากไปจริงๆ หรือไม่ แต่พอเกิดเรื่องของสำนักตรีหลาก ก็ยืนยันได้อย่างรวดเร็ว’ ลู่เซิ่งเข้าใจแล้ว ท่าทีของราชสำนักคือนั่งบนเขาดูเสือสู้กัน ไม่ยอมเข้าร่วมศึก ยิ่งไม่ช่วยเหลือพรรควาฬแดง ไม่ถมหินลงบ่อก็นับว่าไม่เลวแล้ว
พอเขาออกจากลานด้านหลังของที่ว่าการ พวกสวีชุยก็เข้ามาหา
“หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอก ตอนนี้ไปที่ใด”
“พวกเจ้ากลับไปพรรค!” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างสงบ “ข้าจะไปหาคน”
“ใต้เท้า ไม่ต้องการให้พวกเราติดตามหรือ” นิ่งซานถามอย่างสงสัย
“ไม่ต้องแล้ว” ลู่เซิ่งโบกมือ ปัจจุบันสถานการณ์คับขัน จัตุรัสแดงรุกคืบทีละก้าว จำเป็นต้องแข่งกับเวลา
เขาพูดพร้อมพลิกตัวขึ้นหลังม้า ให้สวีชุยกับนิ่งซานหารถเอง ตนเองไปยังตำแหน่งที่พรรคตรีหลากอยู่เพียงคนเดียว
เพราะอยู่ในเมือง หน่วยหลักที่พรรคตรีหลากอยู่จึงเป็นลานขนาดค่อนข้างใหญ่
เจ้าหน้าที่ที่ล้อมอยู่รอบนอกกันคนที่คิดเข้าไป
ลู่เซิ่งมองอยู่ด้านนอกไกลๆ ยังไม่ได้เข้าไปใกล้ ก็ได้กลิ่นเหม็นเน่าเข้มข้น ในนี้แทรกปราณหยินอยู่รางๆ
‘เป็นสิ่งเหล่านั้นลงมืออย่างที่คิดไว้…’ เขาสีหน้าเคร่งขรึม
‘ดูแล้วจัตุรัสแดงยังไม่แน่ใจว่าตระกูลเจินไปแล้ว กำลังหยั่งเชิงดู หรือเป็นเพราะว่ากลัวคนรับช่วงต่อ จึงค่อยๆ กำจัดขุมกำลังรอบนอกทีละนิดๆ
หากเป็นแบบนี้ เราก็มีเวลาไม่มากแล้ว…’ ลู่เซิ่งมองดูตัวลานในหน่วยหลักของพรรคตรีหลากครู่เดียว ก็หมุนตัวจากไป
เขาไปหาตัวเฉินเจียวหรงในเมือง ยืมหยกแขวนของอีกฝ่ายมาเล่นรอบหนึ่ง แอบหยดเลือดดูดซับปราณหยินด้านใน
จากนั้นไปยังโถงสมบัติเลิศ น่าเสียดายยังคงไม่เจอวัตถุมีปราณหยินชิ้นใหม่ สุดท้ายได้แต่ติดต่อจัวเหวินอี้
น่าเสียดายที่หลังจากลู่เซิ่งเผาเลือดเนื้อ จัวเหวินอวี่ก็ยังไม่มาตามนัด
ลู่เซิ่งรออยู่ตรงจุดนัดเกือบหนึ่งชั่วยามกว่าๆ ยังคงไม่เห็นร่องรอย จึงเดินทางกลับอย่างจนปัญญา
ปราณหยินที่ได้มาเพียงหนึ่งเดียวก็คือหยกที่แขวนในมือเฉินเจียวหรง
สิ่งที่ทำให้เขาชื่นใจเล็กน้อยก็คือ ปริมาณปราณหยินในหยกแขวนถึงแม้ไม่มากพอจะยกระดับวิชาเก้าพิฆาตแดงฉาน แต่ว่ายกระดับวิชาแข็งกร้าวขอบเขตพลังปลอดโปร่งได้สองระดับอย่างเหลือเฟือ
หลายวันให้หลัง ลู่เซิ่งทราบแล้วว่าพรรควาฬแดงเป็นเป้าหมายหลัก ตนเองอยากหลบหนี จึงใช้สมาธิทั้งหมดไปกับการฝึกวิชาเสาสมบัติ
ทางอวี้เหลียนจื่อก็ส่งรายงานมาไม่ขาดสาย
สาขาพรรคในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งเกิดเรื่องแล้ว คนหลายสิบคนบาดเจ็บล้มตาย มีไม่กี่คนที่รับภารกิจภายนอกโชคดีหนีรอดได้ จึงกลับมารายงาน
จากนั้นอีกไม่กี่วัน ฐานที่มั่นในเขตขุดแร่แห่งหนึ่งก็ไร้ข่าวสาร พรรคส่งคนไปตรวจสอบ ผู้จัดการภารกิจภายนอกที่นำขบวนหนึ่งคน กับมือดีสิบสามคนไปแล้วไปลับเหมือนหินจมทะเล
ลู่เซิ่งฝึกฝนในบ่อนพนันสิบกว่าวัน สภาพการณ์ก็เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน
พรรควาฬแดงใช้เรือวาฬแดงเป็นศูนย์กลาง ในรัศมีหลายสิบลี้คล้ายกลายเป็นเขตหวงห้าม คนของพรรควาฬแดงทุกคนหากออกไปจากอาณาเขตนี้ จะหายตัวไปทันที
สองวันให้หลัง ลู่เซิ่งจัดหาที่อยู่ให้แก่ครอบครัว ไม่อนุญาตให้พวกเขาออกเมือง ตนเองตอบรับคำเชิญของหงหมิงจือ พาคนไปยังเรือวาฬแดง
…
ควันขาวบนกระถางธูปตั้งตรง
บนเตียงสลักบุปผาสีแดงก่ำ หงหมิงจือกึ่งเอนบนหมอน บนตัวโชยกลิ่นยาเข้มข้น
หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรียืนอยู่ในห้องนอน อายุราวสามสี่สิบปี ลักษณะภายนอกคล้ายกับหงหมิงจือหลายส่วน บุคลิกดั่งผู้มีอำนาจที่อยู่ในตำแหน่งสูง เป็นบุตรสองคนที่เหลืออยู่ของหงหมิงจือ
ลู่เซิ่งนั่งอยู่หน้าเตียง มองดูศิษย์พี่ที่อ่อนแอเหลือแสนอย่างสงบ รอให้เขาพูด
หงหมิงจือดื่มยาภายใต้การปรนนิบัติของบุตรี ไอหลายครั้ง หันหน้ามามองลู่เซิ่ง “ศิษย์น้อง ครั้งนี้เจ้ามาแล้ว ข้าอยาก…ฝากฝังเรื่องเล็กน้อยกับเจ้า”
“ศิษย์พี่โปรดบอก” ลู่เซิ่งกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง หลายวันมานี้หงหมิงจือจิตใจอ่อนล้า กิจการพื้นฐานที่ทำมามากกว่าครึ่งชีวิต ล่มสลายลงไปต่อหน้าอย่างง่ายดายขนาดนี้ เขายากจะรับแรงกดดันในใจได้ บวกกับสุขภาพไม่ดี ในที่สุดก็ล้มป่วย
“ข้าชราแล้ว…สำนักอาทิตย์ชาดก็ดี พรรควาฬแดงก็ดี…ไม่มีแรงจะดูแลแล้ว…” หงหมิงจือกล่าวพลางไอ
“วันนี้ข้ามอบตำแหน่งเจ้าสำนักอาทิตย์ชาดให้เจ้า ส่วนตำแหน่งประมุขพรรค ถ้าเจ้าอยากเป็นก็จะให้เจ้า ถ้าเจ้าไม่อยากเป็นก็ช่างมัน ข้าจะให้เฉินอิง”
“ท่านพ่อ!” บุตรสองคนที่อยู่ด้านข้างพลันแสดงสีหน้าไม่เข้าใจอยู่บ้าง
“อย่าแทรก!” หงหมิงจือตำหนิ ด้วยบารมี สองคนต่างตกใจตัวสั่น ไม่กล้าส่งเสียงอีก
“ศิษย์น้อง ไม่ทราบมีความคิดอย่างไร” ตำหนิบุตรตัวเองเสร็จ เขาก็มองลู่เซิ่ง
“ตระกูลเจินไม่อยู่แล้วจริงๆ หรือ” ลู่เซิ่งใคร่ครวญ ถามอีกครั้ง
“ไม่ผิด คนจากไปหอว่างเปล่า ไม่เหลือใครเลย” หงหมิงจือยิ้มฝาดเฝื่อน
สองคนด้านข้างได้ยิน สีหน้าซีดขาวในฉับพลัน ไม่รอพวกเขาเอ่ย ลู่เซิ่งกลับพูดเสียงทุ้มต่ำอย่างเชื่องช้า
“ได้ เจ้าสำนักข้ารับ ประมุขพรรค ข้าก็รับเช่นกัน”
“ฮ่าๆๆ! ประเสริฐ ประเสริฐ ประเสริฐ!” หงหมิงจือพลันยินดี เขามองพลังของลู่เซิ่งไม่ออกอีกแล้ว ปัจจุบันต้องเหนือกว่าเขาแน่ บางทีอาจนำพรรควาฬแดงทุ่มเทหาทางรอดได้
“ข้าเตรียมขบวนไว้แล้ว ศิษย์น้องแค่ปลอมแปลงตัว พาบุตรอกตัญญูของข้าสองคนนี้ไปจงหยวน ข้าเตรียมขบวนไว้สิบสามกลุ่ม…”
“ศิษย์พี่ เรียกประชุมใหญ่เถอะ” ลู่เซิ่งพลันกล่าว “หนีตอนนี้ไม่มีประโยชน์ สภาพการณ์รังแต่จะร้ายแรงกว่าเดิม”
เสียงของหงหมิงจือชะงักลง
…
“นับแต่นี้ไป ตำแหน่งประมุขพรรคขอมอบให้ลู่เซิ่ง หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกลู่ ศิษย์น้องของข้า”
ในโถงใหญ่วาฬแดงอันโอ่อ่า หงหมิงจือทางหนึ่งไอ ทางหนึ่งใช้วิชากำลังภายในขยายเสียง
ลู่เซิ่งนั่งบนบัลลังก์ประมุขพรรค สีหน้าสงบ ได้ยินหงหมิงจือประมุขพรรคเฒ่าอ่านกฎในพรรคอย่างตั้งใจ
กฎแต่ละข้อ คำสาบานแต่ละคำ ต่างเป็นข้อบังคับที่กำหนดไว้ตั้งแต่ก่อตั้งพรรค
ระดับสูงที่อยู่เบื้องล่างส่งเสียงอึกทึก สุมหัวกระซิบกระซาบกัน มีคนคิดลุกขึ้นถาม แต่นึกถึงคดีปริศนาที่โผล่ขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในช่วงนี้ ก็เริ่มลังเล
เฉินอิงอยู่ด้านข้าง สีหน้าวิตก ไม่รู้คิดอะไรอยู่
พิธีกรเดินเข้าไปมอบกระบี่สั้นหยกแดงที่เป็นตัวแทนประมุขพรรคให้หงหมิงจืออย่างอย่างระมัดระวัง ประมุขพรรคเฒ่าชักกระบี่สั้นออกมา พลิกมือหันด้ามให้ลู่เซิ่ง
เสียงในตำหนักใหญ่ตอนแรกสับสน แต่ว่าพร้อมกับที่พิธีการดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ก็เงียบสงบลง
อย่างค่อยเป็นค่อยไป สายตาของทุกคนอยู่ที่ลู่เซิ่งซึ่งอยู่บนตำแหน่งสูงสุด
“คุณธรรมแห่งวาฬแดง เพื่อวาจากล้าหาญ เพื่อความเมตา เพื่อความยุติธรรม เพื่อความสงบ ประมุขรุ่นเก้าเคยกล่าวว่า เพื่อกำจัดมารร้าย ต้องทำตามเจตจำนงฟ้าอันกระจ่าง…”
เพล้ง
ด้านนอกประตูใหญ่พลันแว่วเสียงแตกดังกังวานใส
ผู้จัดการภารกิจภายในและภายนอก เหล่าผู้อาวุโส ระดับสูงทั้งหมดพากันมองไปที่ประตูใหญ่ มีหัวหน้าองครักษ์นำคนออกไปตรวจสอบสถานการณ์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
พิธีกรชะงักลง จากนั้นก็อ่านคำประกาศพิธีรับตำแหน่งต่อ
“…ทองและศิลาไม่เน่าเปื่อย ภาพนี้ไม่ดับสูญ วาฬแดงแหวกว่ายน้ำ ไร้สิ่งใดต้านทาน ร่างใหญ่ร้อยจั้ง เหมือนหยกศิลารูปหยดน้ำ…”
เพล้ง
ทันใดนั้น เสียงใสเสียดหูก็ดังขึ้นอีก
“พวกเจ้า! ไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น?!” เฉินอิงสีหน้าเคร่งขรึม เขาจัดการหน้าที่ป้องกัน เกิดเรื่องนี้ก็เป็นความรับผิดชอบของเขา
“เริ่นเทาที่ออกไปเมื่อครู่เล่า?!” เขาตวาดเสียงเฉียบขาด
คนด้านล่างสบตากัน
เสียงของเฉินอิงใช้กำลังภายในถ่ายทอดออกไป ปกติองครักษ์ที่เฝ้านอกตำหนักเมื่อได้ยินชัดเจน จะรีบเข้ามาตอบกลับ
แต่ตอนนี้นอกประตูไร้เสียง
“องครักษ์! องครักษ์อยู่ไหน!” เฉินอิงตวาดเสียงดัง
ด้านนอกไร้สุ้มเสียง สงัดเงียบ
“นี่…”
สีหน้าของระดับสูงหลายคนเริ่มแปรเปลี่ยน
หลายวันมานี้ทุกคนต่างขวัญผวา คนฉลาดบางคนคาดถึงวิกฤติการณ์ยุ่งยากเบื้องหลังออกแล้ว
เพียงแต่ทุกคนคาดไม่ถึงว่า จะเกิดความผิดพลาดระหว่างพิธีรับตำแหน่งประมุขพรรคแบบนี้
“ส่งหลายๆ คนออกไปดู” เฉินอิงสั่ง ใบหน้าเหยเก
เพล้ง!
ทันใดนั้น เสียงใสดังขึ้นอีก
ตำหนักใหญ่เงียบลง ทุกคนจดจ้องประตูหิน
ผู้อาวุโสคนหนึ่งเลือดร้อนและขวัญกล้า แค่นเสียงพร้อมลุกขึ้นพาคนสามคนเดินไปที่ประตู
จากนั้น ก็ไม่มีจากนั้นแล้ว
เพิ่งออกไปไม่กี่อึดใจ ก็ไร้การเคลื่อนไหว เสียงฝีเท้าหายไปด้วย
มีคนเรียกอยู่ตรงประตูหลายครั้ง ไม่มีใครตอบกลับ
อากาศเย็นเยียบ จากนั้นตำหนักใหญ่เริ่มโกลาหล เกิดเสียงดังสับสน มีคนพากันชักดาบชักกระบี่
“เงียบๆ!” เฉินอิงตะโกน หมายจะทำให้ทุกคนใจเย็น แต่ไร้ประโยชน์ ทุกคนแสดงสีหน้าหวาดกลัวและไม่ทราบจะทำอย่างไร
“ทุกท่าน…โปรดฟังข้ากล่าวสักประโยค…” หงหมิงจือโงนเงนลุกขึ้น หมายจะปลอบทุกคน แต่ไร้ผลเช่นกัน
พิธีกรหน้าซีด เกราะป้องกันไหล่ของประมุขพรรคที่ถืออยู่ในมือสั่นอย่างรุนแรง แทบไม่มั่นคง เขาตัวสั่นไปด้วย เกราะไหล่ในมือค้างเติ่งกลางอากาศ พร้อมจะตกลงมาตลอดเวลา
ลู่เซิ่งสีหน้าไร้อารมณ์ นั่งบนที่นั่งประธานปล่อยให้พิธีกรสวมใส่ให้
เกราะไหล่อันงามประณีตสีหยกแดงวางลงบนไหล่ซ้ายเขาหลายครั้ง ไถลลงทุกครั้ง
เพล้ง!
เสียงใสครั้งที่สาม ประตูตำหนักใหญ่ในที่สุดก็ค่อยๆ เปิดออก..
ทุกคนที่อยู่ในตำหนักใหญ่เหมือนกับถูกบีบคอหอย พริบตาเดียวก็เงียบสงัดไร้เสียง
คิกๆๆ…
เสียงหัวเราะแหลมสูงแปลกประหลาดของสตรีดังผ่านร่องแยกประตูดำสนิทเข้ามา
หมับ
ลู่เซิ่งคว้าฝ่ามือพิธีกร กดเกราะไหล่สีแดงเพลิงลงบนไหล่ตัวเองอย่างมั่นคง
มองดูรองเท้าแดงข้างหนึ่งเหยียบเข้ามาตรงร่องแยก เขาค่อยๆ ลุกขึ้นจากบัลลังก์
……………………………………….