บทที่ 120 จัดการ (2)
ได้สติกลับมา ลู่เซิ่งถามว่า “เช่นนั้นไม่ทราบว่านักโทษที่ท่านพี่ประกาศจับมีลักษณะพิเศษคืออย่างไร”
เซียวหงเย่แสดงว่าเตรียมตัวแต่แรก ตบมืออวบทีหนึ่ง มีดรุณีเข้ามาส่งกระดาษวาดรูปปึกหนึ่งให้
เขาส่งกระดาษวาดรูปให้ลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งรับมาคลี่ดู สีหน้าพลันแปลกประหลาดเล็กน้อย
บนกระดาษวาดรูปแผ่นแรกคือรูปร่างหน้าตาของหลี่ซุ่นซี ถึงแม้ภาพเหมือนจะเสียความสมจริงไปบ้าง แต่ยังคงมองออกได้ทันทีว่าเป็นหลี่ซุ่นซี
เขาพลิกกระดาษใบที่เหลือ ใบหนึ่งในนี้คือพระภิกษุหัวใหญ่หูโต อีกสองใบเป็นพี่น้องตระกูลหลิ่วที่เพิ่งไปจากเขาเมื่อก่อนหน้า
ลู่เซิ่งเก็บกระดาษวาดรูป สีหน้าสงบนิ่ง
“จะว่าไปคนเหล่านี้เคยพบกับผู้แซ่ลู่ครั้งหนึ่ง” เขาไม่คิดจะปกปิดความสัมพันธ์นี้ เซียวหงเย่มองดูก็รู้ว่าเป็นคนประเภทน้ำกลิ้งบนใบบอน การข่าวฉับไว คิดปกปิดข่าวที่เห็นชัด กลับเป็นไปไม่ได้
ครั้งกระโน้นหลี่ซุนซีกับเขาเข้าออกพรรคด้วยกันไม่รู้กี่ครั้ง คนที่เห็นมีมากมาย คิดปิดบังไม่มีประโยชน์
ยังมีพี่น้องตระกูลหลิ่ว เพราะรูปร่างหน้าตาโดดเด่นเป็นพิเศษ ยังเคยอยู่ห้องเพาะดอกไม้หยกทองระยะหนึ่ง คนหลายคนในพรรครู้จัก
“ฮ่าๆๆ น้องลู่จริงใจนัก แต่ว่านี่เป็นเรื่องจนปัญญา พวกเขาล่วงละเมิดประมุขจวน ข้าผู้พี่ทำอะไรไม่ได้” เซียวหงเย่ไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อย หัวเราะตอบกลับ
“อีกเดี๋ยวข้าจะคอยจับตาดู ถ้าพบคนจะบอกให้ท่านพี่ทราบ” ลู่เซิ่งแสดงท่าที
จะว่าไป เขากับเซียวหงเย่ก็แค่เป็นตัวแทนของขุมกำลังที่อยู่เบื้องหลัง เรื่องนี้ตัดสินใจเองไม่ได้
“เช่นนี้ก็ดี เรื่องของน้องลู่ผู้แซ่เซียวก็ทราบมาบ้าง วางใจเถอะ เชื่อว่าไม่มีทางซ่อนโจรหลบหนีแน่” เซียวหงเย่กล่าวด้วยรอยยิ้มเป็นครั้งสุดท้าย “ดื่มสุราๆ…”
เขายกจอกขึ้นคารวะลู่เซิ่ง
พลบค่ำ ลู่เซิ่งออกจากจวนเซียว ขณะนั่งบนรถม้าที่กำลังกลับ จิตใจหนักอึ้งอยู่บ้าง
เขาฉวยโอกาสตอนเซียวหงเย่ดื่มสุราได้ที่ ถามคำถามทั่วไปสองสามข้อ เข้าใจความสำคัญของระดับพันธนาการพอประมาณ
ต่อให้เป็นระดับพันธนาการ มีระดับเดียวกันแต่ลวดลายไม่เท่ากัน ความเป็นอมตะก็แตกต่างกัน ความเป็นอมตะของทวิลักษณ์และเอกะลักษณ์สู้ตรีลักษณ์ไม่ได้ หรือก็คือร่างกายถูกทำลายสามส่วน จะไม่ตาย ทั้งยังไม่มีจุดอ่อน เช่นศีรษะและหัวใจ
แต่ถ้าถึงระดับตรีลักษณ์ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางคุณภาพ ไม่ทำลายร่างกายมากกว่าแปดส่วนโดยสิ้นเชิง ไม่อาจสังหารได้
ต่อจากนั้นคือสัตตะลักษณ์ นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงทางคุณภาพครั้งที่สองของระดับพันธนาการ ว่ากันว่าผู้เข้มแข็งสัตตะลักษณ์ต่อให้ร่างกายแหลกเหลวโดยสมบูรณ์ ก็จะฟื้นกลับมาได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งเป็นเพราะบรรลุถึงขอบเขตสูงสุดของระดับพันธนาการ ต้องใช้ความสามารถที่ทรงประสิทธิภาพฆ่าติดต่อกันเจ็ดครั้ง ค่อยทำลายลวดลายเยื่อดำทั้งเจ็ดสาย สังหารผู้เข้มแข็งสัตตะลักษณ์ได้โดยสมบูรณ์
‘เจ็ดครั้ง…’ ลู่เซิ่งจิตใจเคร่งเครียดเป็นครั้งแรก นี่เป็นจำนวนที่น่าสะพรึงกลัว บวกกับผู้เข้มแข็งสัตตะลักษณ์เดิมก็แข็งแกร่งสุดขีดอยู่แล้ว หมายความว่า นอกเสียจากพลังที่ร้ายกาจกว่าผู้เข้มแข็งระดับนี้ขั้นหนึ่ง ยังต้องใช้ความสามารถที่ทำให้อีกฝ่ายหนีไม่ได้ ไม่อย่างนั้นพานพบกับผู้เข้มแข็งเช่นนี้ ต้องคิดทันทีว่าจะหนีอย่างไรดี
‘เดิมทีนึกว่ามาถึงขอบเขตนี้ ในที่สุดก็มีพลังปกป้องตัวเองเล็กน้อยแล้ว ตอนนี้ดูเหมือนยังอ่อนแอเกินไป…” ลู่เซิ่งนั่งในรถม้าสีดำสนิท ในดวงตาปรากฏความเหนื่อยล้าเป็นครั้งแรก
แต่พอผ่อนคลายเล็กน้อย เขาก็กลับมาเป็นปกติ โลกใบนี้ไม่ต้องการความอ่อนแอ ในฐานะคนธรรมดา ความอ่อนแอเท่ากับปล่อยให้ผู้คนเชือดเฉือน
‘จากศึกใหญ่เมื่อก่อนหน้า อาวุธเทพแย่งชิงมาไว้ในมือได้ ถ้าเรามีพลังมากพอ จะแย่งชิงอาวุธเทพชิ้นหนึ่งมาทำให้ตัวเองกลายเป็นตระกูลขุนนางได้หรือไม่’ ลู่เซิ่งพลันนึกถึงเรื่องนี้
แต่นึกอีกที เขาก็ปฏิเสธความคิดนี้
‘ทุกๆ สิบปีต้องเซ่นสรวงมากกว่าร้อยคน ตระกูลขุนนางเช่นนี้มีความหมายใด!?’ เขานึกถึงตระกูลสวีที่ถูกล้างตระกูลในตอนนั้น ศพแต่ละแถวจนถึงวันนี้ยังหยุดยั้งในส่วนลึกของหัวใจ
‘ถ้ากลายเป็นตระกูลขุนนางแบบนี้จริงๆ เราในตอนนั้นมีความแตกต่างอะไรกับอมนุษย์’ เขาไม่พอใจ ไม่คิดมากอีก
‘มีเครื่องมือปรับเปลี่ยนในมือ ต่อให้เป็นตระกูลขุนนางแล้วจะอย่างไร ขอแค่รอเรารวบรวมวรยุทธ์ที่แข็งแกร่งได้มากพอ เจอปราณหยินมากกว่านี้ จะต้องยกระดับวรยุทธ์ถึงขอบเขตที่คนธรรมดาไม่อาจจินตนาการได้แน่นอน! ถึงเวลานั้น ตระกูลขุนนางอาวุธเทพอันใด ทั้งหมดจะฟันให้ตาย!’
เพลิงโทสะลุกไหม้ในใจลู่เซิ่ง เขารังเกียจโลกแบบนี้ รังเกียจตระกูลขุนนางกับมารปีศาจที่ไต่บนตัวคนคอยสูบเลือดเหมือนกับแมลงกาฝาก
‘โลกที่มันไม่สมประกอบเช่นนี้ ข้าจะแก้ไขเอง!’ เขาบังเกิดความเหี้ยมโหดในจิตใจ
ความคิดที่อยากทำลายเรื่องราวอยุติธรรมทั้งหมดในโลก ไหลซัดเข้ามาในใจ
‘ฆ่าๆๆๆๆ!’ ความคิดสังหารอันคลุ้มคลั่งไร้สิ้นสุดยิ่งมายิ่งขยายใหญ่ขึ้น ‘ให้โลกใบนี้กลับไปสู่ครรลองที่ควรมี! สิ่งที่ไม่ถูกต้อง ต้องตายให้หมด!’
ลู่เซิ่งนั่งในรถม้า ตาค่อยๆ กลายเป็นสีแดง ส่วนของตาขาวมีเส้นเลือดที่ตรงดิ่งเหมือนเส้นด้ายไต่ขึ้นมาเส้นหนึ่ง
เส้นเลือดนี้เชื่อมกับหางตาและม่านตา แดงฉานสุดเปรียบปาน มองไปเหมือนความคับข้องระเบิดออกมา มีกลิ่นอายกระสับกระส่ายกระจายออกไปทั่ว
‘หือ? แย่แล้ว!’ อยู่ๆ ลู่เซิ่งก็ได้สติ รู้สึกว่าปราณภายในของวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานโคจรด้วยความเร็วสูงจนเกินขีดจำกัดที่ร่างกายจะรับได้ ผิวหนังทั่วร่างกลายเป็นสีแดงก่ำ คล้ายพร้อมลุกไหม้ตลอดเวลา
‘นี่เป็นเค้าลางถูกธาตุไฟเข้าแทรก!’ เขาแตกตื่น รีบสงบจิตใจ ทำสมาธิปรับปราณภายในให้เบาลง
ยังดีที่วิทยายุทธ์ของเขาเป็นเครื่องมือปรับเปลี่ยน เปลี่ยนแปลงโดยตรง พื้นฐานมั่นคง ควบคุมได้อย่างอิสระ ทำให้สงบลงง่ายดายยิ่ง
สักพักหนึ่ง เขาค่อยๆ ออกจากสมาธิ ถอนใจยาวเฮือกหนึ่ง
ด้านนอกแว่วเสียงร้องถามอย่างสงสัย
“นายท่าน? นายท่าน?”
“ไม่เป็นไร ถึงแล้วหรือ” ลู่เซิ่งสีหน้าอิดโรย ถามเบาๆ
“อือ ถึงแล้ว” เสียงของสารถีกระวนกระวายเล็กน้อย ได้ยินลู่เซิ่งตอบกลับ ค่อยโล่งใจ “ถึงประตูใหญ่ตระกูลลู่แล้ว”
ลู่เซิ่งนั่งในรถม้า ไม่ขยับเนิ่นนานท่ามกลางความมืด
‘น่าจะเป็นเพราะฝึกฝนวิชาแข็งกร้าวมากไป บวกกับที่ฝึกฝนเป็นวิชาธาตุหยางเช่นวิชาเก้าพิฆาตแดงฉาน ทำให้เลือดลมมีปราณหยางหนักไป ร่างกายเสียสมดุลไป…จำเป็นต้องใช้วิชาธาตุหยินปรับสมดุลคืนมา…’
มีเครื่องมือปรับเปลี่ยนกับตัว การฝึกฝนวิชาธาตุหยางไม่มีปัญหา ขอแค่รู้สึกได้ก็ปรับแต่งง่ายยิ่ง เพียงแต่ประสบการณ์ครั้งนี้ทำให้เขาเห็นทิศทางการพัฒนาในอนาคต
‘ในเมื่อฝึกฝนวิชาแข็งกร้าวมากเกินไปก่อให้เกิดสภาพหยางโชติช่วง เช่นนั้นต้องมีสภาพหยินโชติช่วงที่สอดคล้องกัน อีกเดี๋ยวไปตรวจสอบที่คลังวรยุทธ์ในพรรค’ ลู่เซิ่งกำหนดแผนการในใจ คล้ายกับเข้าใจเส้นทางในภายหลังของตัวเองเล็กน้อย
คิดจะเดินบนขอบเขตวิชากำลังภายในที่แข็งแกร่งกว่าเดิม ถ้าไม่มีเครื่องมือปรับเปลี่ยน บางทีขอบเขตหยางบรุสทธิ์หลังหยินหยางสมดุลจึงเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง
สภาพหยางโชติช่วงมีพลังระเบิดอันเด็ดขาดแข็งแกร่ง เกิดจากการสั่งสมวิชาแข็งกร้าวและการประสานวิชากำลังภายในธาตุหยาง สภาพหยินโชติช่วงมีประสิทธิผลแข็งแกร่งถึงขีดสุดได้เช่นกัน ลู่เซิ่งบังเกิดความคาดหวัง
หลังกลับคฤหาสน์พักผ่อน เช้าตรู่วันที่สอง เขาก็ไปยังเรือวาฬแดง มาถึงศาลาประกาศยุทธ
เฒ่าเฝ้าศาลายังคงนั่งตาปรืออยู่หลังโต๊ะยาว
“ที่แท้เป็นประมุขพรรคคนใหม่มา” เขาเงยหน้ามองลู่เซิ่ง ท่าทีไม่เปลี่ยนไปจากก่อนหน้า คล้ายกับแค่เปลี่ยนคำเรียกเท่านั้น
พลพรรคจำนวนมากที่มาอ่านคัมภีร์ลับซึ่งอยู่รอบๆ พากันคำนับทักทายลู่เซิ่ง ท่าทีนอบน้อม มีแต่เฒ่าเฝ้าศาลาผู้นี้ยังคงแสดงท่าที สิ่งที่อยากเห็นไม่เห็นสิ่งที่อยากให้มาไม่มา
“ดูจากสภาพของประมุขพรรค คงมาหาเคล็ดวิชากำลังภายในธาตุหยินกระมัง นี่เป็นรายการวิชากำลังภายในธาตุหยินทั้งหมดในศาลาประกาศยุทธ” เขาดึงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาโยนให้ลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งงงงัน เขายังไม่ได้เอ่ยปาก อีกฝ่ายก็ทราบเป้าหมายของตนแล้ว หรือว่าสภาพของตนจะเด่นชัดถึงขั้นนี้
เขามองเฒ่าเฝ้าศาลาอย่างเคลือบแคลง ยื่นมือรับกระดาษแผ่นนั้นมาดู
‘วิชาน้ำพุหยก เคล็ดสามหยิน ปราณขวดสมบัติ วิชาเหมยเย็นสี่ทิศ วิชาโอสถเหยียบวิญญาณ เคล็ดน้ำค้างแข็งโบยบิน’
ทั้งหมดหกวิชา ล้วนเป็นระดับพลังปลอดโปร่ง ด้านล่างยังมีการแนะนำรายละเอียดของแต่ละวิชา
ตอนนี้ไม่มีตระกูลเจิน กฎที่พวกเขากำหนดย่อมไม่ต้องใช้ระดับคุณูปการอันใด เขาในฐานะประมุขพรรค อำนาจพิเศษเล็กน้อยนี้ยังมีอยู่
ลู่เซิ่งวางรายการลง
“เฒ่าเฝ้าศาลามองออกได้อย่างไรว่าผู้แซ่ลู่ต้องใช้วิชากำลังภายในธาตุหยิน” เขารู้สึกมาโดยตลอดว่าเฒ่าเฝ้าศาลาผู้นี้ไม่ธรรมดา พรรคประสบอุปสรรคยังเฝ้าศาลาประกาศยุทธด้วยอารมณ์สงบผ่อนคลาย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ศาลาประกาศยุทธที่ใหญ่โตเก็บคัมภีร์สำคัญไว้มากมาย จนถึงปัจจุบันไม่เคยเกิดเรื่องสักครั้งเดียว
นี่ไม่ธรรมดาแล้ว
“ข้าเพียงมองออกว่าประมุขพรรค หยินหยางเสียสมดุล พรสวรรค์ของประมุขพรรคยอดเยี่ยมสุดขีด แต่เส้นทางสุดโต่งเกินไปบ้าง โอสถทิพย์ยาวิเศษบางส่วนแม้ว่าจะเพิ่มพลังยุทธ์ได้ แต่กินให้น้อยจะดีกว่า” เฒ่าเฝ้าศาลากล่าวราบเรียบ
“ขอบคุณเฒ่าเฝ้าศาลาที่กล่าวเตือน” ลู่เซิ่งพยักหน้า อีกฝ่ายนึกว่าพลังยุทธ์ของเขาได้มาเพราะกินยา เขาเองก็ไม่เปิดเผย เบื้องหลังของเขาแข็งแกร่งกว่าไหยาสำหรับกินไม่รู้เท่าไหร่ ทั้งมีความเป็นไปได้ในการยกระดับไร้สิ้นสุด ไหนเลยเทียบกับยาเหล่านั้นได้
พิจารณาวิชากำลังภายในบนรายการ ลู่เซิ่งต้องการนำปราณขวดสมบัติกลับไปตั้งใจฝึก ตอนนี้เขามีผลสำเร็จในสภาพหยางโชติช่วง บางทีเส้นลมปราณในร่างอาจมีการเปลี่ยนแปลง
นอกจากนี้ เขาสมควรออกไปด้านนอกเพื่อรวบรวมปราณหยินด้วยตัวเอง ในเมื่อหาวัตถุโบราณไม่ได้ ทางจั่วเหวินอวี่ก็ไม่มีเบาะแส ยังคงจัดการภูตผีส่วนหนึ่งเพื่อรวบรวมปราณหยิน มีประสิทธิภาพกว่า
ทางจตุรัสแดงไม่อาจเจอ ตอนนี้อีกฝ่ายถอยไปแล้ว เป็นน้ำบ่อไม่ก้าวก่ายน้ำคลองกับพรรควาฬแดงชั่วคราว ขอแค่เขาไม่ไปหาเอง จตุรัสแดงก็จะไม่ลงมือ
กลับเป็นภูตผีปีศาจในสถานที่อื่นที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ต้องจัดการแล้ว
ลู่เซิ่งออกจากศาลาประกาศยุทธ กลับห้องหนังสือประมุขพรรค อวี้เหลียนจื่อกำลังก้มหน้าจัดระเบียบภารกิจในพรรคอย่างลำบาก เมื่อเห็นเขา ก็รีบลุกขึ้นมอบที่นั่งให้เหมือนได้รับการนิรโทษกรรม
“ประมุขพรรคในที่สุดท่านก็มาแล้ว! คดีที่ยังไม่แก้ไขในแต่ละท้องที่ซึ่งส่งมาในช่วงนี้ แค่ระดับธรรมดาก็มีสิบกว่าคดี ยังมีระดับวิญญาณหกคดี! มือไม้ปั่นป่วนจริงๆ” อวี้เหลียนจื่อรีบร้องทุกข์ บนใบหน้าที่งามดุจสตรีของเขามีถุงใต้ตาที่เห็นได้ชัด แสดงว่าช่วงนี้ยุ่งมาก ทำให้เขานอนไม่หลับ
หลังจากลู่เซิ่งรับตำแหน่ง เรื่องแรกที่ทำคือแบ่งคดีที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นระดับธรรมดา ระดับวิญญาณ และระดับพันธนาการ ระดับพันธนาการขึ้นไปนั้น สำหรับพลพรรคทั่วไปไม่มีความแตกต่าง ทั้งหมดจึงแบ่งเป็นแค่ระดับพันธนาการ
เมื่อเป็นแบบนี้ คดีทั้งหมดก็แก้ไขอย่างเฉพาะเจาะจงได้มากกว่าเดิม
“รองประมุขพรรคเฉินอิงเล่า” ลู่เซิ่งนั่งลง ก่อนถาม
“พาคนไปจัดการคดีระดับวิญญาณในนี้แล้ว” อวี้เหลียนจื่อตอบ
“ระดับพันธนาการมีกี่คดี” ลู่เซิ่งถาม
“ระดับพันธนาการมีหนึ่งคดี แต่ยังไม่ยืนยันว่าใช่หรือไม่” อวี้เหลียนจื่อขมวดคิ้วเอ่ย “ความหมายของประมุขพรรคท่านคือ…”
“ข้าคิดจะลงมือเอง” ลู่เซิ่งพยักหน้า ยืนยันการคาดเดาของอวี้เหลียนจื่อ เขาคิดรวบรวมปราณหยิน เพื่อประหยัดเวลาย่อมได้แต่ฆ่าภูตผีถึงค่อยได้มาง่ายๆ ภูตผีที่ปราณหยินมากหน่อยย่อมคุ้มค่ากว่า
พลังในปัจจุบันของเขาคือระดับตรีลักษณ์ มากกว่าสตรีกางร่ม รองผู้คุมจตุรัสแดงขั้นหนึ่ง รับมือความประหลาดลี้ลับทั่วไปสามารถจับกลับมาได้ ยิ่งอย่าว่าแต่ภูตผีธรรมดา ระมัดระวังเล็กน้อย เคลื่อนไหวในแดนเหนือสมควรไม่มีปัญหา
“ในเมื่อประมุขพรรคจะลงมือเอง ต้องสำเร็จแน่นอน” อวี้เหลียนจื่อ โล่งอก “คดีนี้ ตอนข้าเห็นก็ลังเลอยู่บ้าง ไม่ทราบสมควรแบ่งเป็นระดับใด”
“ให้ข้าดูหน่อย” ลู่เซิ่งกล่าวราบเรียบ
อวี้เหลียนจื่อเข้าไป เจอกระดาษสีเหลืองที่พับไว้อย่างดีแผ่นหนึ่งจากบนโต๊ะคดีอย่างรวดเร็ว กางออกเบาๆ
ลู่เซิ่งรับมาอ่าน พลันเห็นสามคำที่จั่วบนหัวกระดาษ
‘พรรคชา ผู้ปรุงยา คันฉ่องแก้ว’
……………………………………….