บทที่ 122 คันฉ่องแก้ว (2)
สวีชุยมองลู่เซิ่ง พอได้รับการอนุญาต ก็ขับรถม้าติดตามชายฉกรรจ์สองสามคนนี้ไปตามถนนในเมืองอีกระยะหนึ่ง หอสีแดงสี่ชั้นที่ใหญ่โตหลังหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในสายตา
หอมียอดสีขาวผนังสีแดง กรรไกรยักษ์สำริดเล่มหนึ่งแขวนอยู่บนประตูใหญ่ กรรไกรสูงเท่าหนึ่งคนครึ่งดูคมกริบไม่ธรรมดา พิจารณาดูจะแยกแยะออกว่านั่นเป็นแค่ของประดับ เป็นลวดลายที่ฝังอยู่บนประตู
ด้านหลังหอเป็นตัวลานที่กว้างขวางทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ
หญิงสาวผมยาวเอวคอดกิ่ว รูปร่างสมส่วนสวมเสื้อโปร่งสีเขียว แบกกระบี่ยาวรออยู่นอกประตู
พอเห็นพวกลู่เซิ่ง หญิงสาวก็ตาเป็นประกาย รีบเข้ามาต้อนรับ
“ขอบังอาจถาม เป็นท่านทูตจากพรรควาฬแดงใช่หรือไม่”
“ใช่แล้ว ท่านคือคุณหนูใหญ่ต่งฉีแห่งพรรคชากระมัง” สวีชุยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ใต้เท้าของข้ามาจัดการเรื่องนี้เอง ได้โปรดนำทาง”
ลู่เซิ่งเวลานี้ค่อยๆ เดินออกมาจากรถม้า รูปร่างในปัจจุบันของเขาปกติกว่าก่อนหน้ามาก ไม่มีเส้นสายกล้ามเนื้อที่อลังการอีกแล้ว ศีรษะล้านก็เริ่มมีผมสั้นงอกขึ้นชั้นหนึ่ง อย่างน้อยไม่ได้ดูดุร้ายเหมือนเดิม
แต่รูปร่างหน้าตาเช่นนี้ พอต่งฉีมองไป กลับรู้สึกได้ถึงความเหี้ยมหาญ
แค่มองดาบใหญ่สองเล่มที่ซ้อนกันอยู่ซึ่งลู่เซิ่งแบกไว้ด้านหลัง ก็ทราบว่าคนผู้นี้จึงเป็นตัวหลักในการจัดการเรื่องนี้
“ขอถามท่านทูตมีคำเรียกหาว่าอะไร ข้าน้อยต่งฉี เป็นบุตรีของประมุขพรรคชา ตอนนี้ดูแลภารกิจในพรรค” นางถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงความจริงจัง
“ข้าแซ่ลู่ แม่นางต่งฉีแนะนำเรื่องพรรคชาก่อนเถอะ” ลู่เซิ่งไม่ได้แนะนำตัวอย่างละเอียด สถานะประมุขพรรคของเขาย่อมไม่อาจแพร่งพรายง่ายๆ
“ที่แท้เป็นท่านทูตลู่ โปรดตามข้าน้อยมา” ต่งฉีมีสีหน้าผ่อนคลาย หลายวันมานี้นางทนทรมานมาตลอด ฝันร้ายอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้ในที่สุดก็มีผู้ช่วยเหลือมาถึง พรรควาฬแดงจัดการเรื่องนี้ไม่ใช่ครั้งสองครั้ง ก่อนหน้านี้พรรคชาเชิญยอดฝีมือพรรควาฬแดงมา ทั้งหมดจัดการได้อย่างสมบูรณ์แบบ ดังนั้นจึงมีความมั่นใจ
จากนั้นนางพาพวกลู่เซิ่งเข้าไปในโรงงานชาเลิศที่อยู่ด้านหลัง
ทะลุโถง โต๊ะใหญ่ตัวหนึ่งตั้งอยู่ในตัวลาน มีสุราอาหารวางอยู่ แสดงว่าใช้ต้อนรับคนทั้งสอง
หลังจากลู่เซิ่งกับสวีชุยนั่งลง นางจึงค่อยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นของพรรคจนชาถึงวันนี้ทีละเรื่อง
“เรื่องราวเป็นเช่นนี้” ต่งฉีนึกทบทวน สีหน้าเจ็บปวด “หนึ่งปีก่อนหน้า ช่วงต้นวสันต์ พรรคเราเกิดเรื่องเรื่องหนึ่ง และเป็นเรื่องนี้ที่ทำให้บิดาและท่านน้าของข้า ยังมีระดับสูงจำนวนไม่น้อยในพรรคทยอยเกิดปัญหาตามมา”
“เรื่องอันใด แม่นางต่งบอกกล่าวตรงๆ เถอะ” ลู่เซิ่งนั่งคนเดียวในตำแหน่งที่คนสองคนต้องนั่ง ประคองจอกสุราจิบเบาๆ
ต่งฉีพยักหน้า ใจเย็นลงเล็กน้อย เล่าต่อไป
“ตอนนั้นบิดาข้า ต่งเชิงผิงประมุขพรรคชาออกไปตรวจสอบภูเขาชา ได้รู้จักกับหมอยาที่ตอนนี้อยู่ในพรรค จัวชิงหยาง บิดาข้ากับจัวชิงหยางพบกันดุจสหายเก่า ปกติสองคนถือเทียนคุยกันยามวิกาล แต่ละคืนไม่หลับไม่นอนตอนแรก ข้ากับพวกท่านน้าก็นึกว่าทั้งสองคุยกันเรื่องสัพเพเหระ เพียงแต่มีครั้งหนึ่งข้าสะดุ้งตื่นกลางดึก ผ่านห้องบิดา ค่อยได้ยินความผิดปกติเล็กน้อย”
“ความผิดปกติใด” ลู่เซิ่งถาม ตั้งแต่เข้ามาในโรงงานชาเลิศ เขาก็รู้สึกผิดปกติอยู่บ้าง เหมือนขาดชีวิตชีวาไปเล็กน้อย
“…ข้าแอบเห็น บิดากับจัวชิงหยางผู้นั้นไม่ได้สนทนาอะไรกัน แต่กราบไหว้คันฉ่องแก้วที่สูงเท่าหนึ่งคนครึ่งในห้อง ตอนนั้นข้าหวาดกลัวยิ่ง เพราะข้าเห็นจัวชิงหยางกับบิดาข้าสวดมนต์ขณะกราบไหว้ สีหน้าเขียวเล็กน้อย จึงรีบหนีออกมาวันที่สอง ข้าไปถามบิดา เขาถึงกับ…ถึงกับ… ” ต่งฉีก้มหน้า เว้นระยะเล็กน้อย “ถึงกับจำเรื่องนี้ไม่ได้ ยังบอกว่าข้ากล่าววาจาส่งเดช”
“จำไม่ได้จริงหรือ เสแสร้งหรือว่าจำไม่ได้จริงๆ” ลู่เซิ่งหรี่ตามถาม
“ข้าสนิทกับบิดามาก เป็นเพราะเสียมารดาไปตั้งแต่ยังเด็ก บิดาเลี้ยงข้าจนเติบใหญ่ด้วยตัวคนเดียว รายละเอียดนิสัยทั้งหมดของเขาข้ารู้จักดี” ต่งฉีอธิบาย “ข้าแยกแยะได้อย่างชัดเจนว่า เขาจำเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนไม่ได้จริงๆ”
“จำไม่ได้จริงๆ” ลู่เซิ่งหยีตาผ่อนลมหายใจ หางตาชำเลืองต้นหลิวหลายต้นในตัวลาน
ปลูกต้นหลิวในบ้าน ทั้งยังมีมากกว่าหนึ่งต้น ต้นหลิวเป็นหยิน ไม่ค่อยเห็นในบ้านคนทั่วไป
“ท่านเล่าต่อ” เขาบุ้ยใบ้ให้ต่งฉีพูดต่อ
ต่งฉีพยักหน้า เล่าว่า “หลังจากนั้น ทุกๆ คืนในวันต่อๆ มา ข้าไปแอบดูอยู่นอกประตูห้องบิดา ยังเรียกคนอื่นๆ ไปด้วยตลอด แต่ทุกครั้งหลังจากนั้นเห็นบิดาข้าหลับตามปกติ ไม่มีผิดปกติใด นานวันเข้า เรื่องนี้ก็ไม่ได้พูดถึงอีก”
“จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่ง… ” สีหน้าของต่งฉีเจ็บปวดเป็นพิเศษ ก้มหน้ากำหมัดแน่น ร่างกายสั่นเทิ้มอย่างไม่อาจควบคุม
“ข้า…ข้าไม่อยากนึกถึงภาพในวันนั้นจริงๆ… ” นางพูดไปพูดมาก็เริ่มสะอื้น
ลู่เซิ่งไม่ส่งเสียง พยักพเยิดให้สวีชุย สวีชุยจึงเริ่มปลอบใจต่งฉี
ลู่เซิ่งค่อยฉวยโอกาสสำรวจสภาพของบ้าน
กลางตัวลานบ้านปลูกต้นหลิวไว้หกต้น กิ่งก้านย้อยลงมา เมล็ดหลิวลอยตามลม
ชายคากำแพงมีอายุอยู่บ้าง ผิวกำแพงหลายแห่งที่เป็นด่างดวง อิฐหินบนพื้นมีตะไคร่น้ำเล็กๆ เกาะอยู่ไม่น้อย
ในโรงงานสงบอย่างยิ่ง พวกหญิงรับใช้ที่อยู่ด้านข้างก็ดูเศร้าหมอง ขอบตาดำ เหมือนกับพักผ่อนไม่เพียงพออย่างรุนแรง ไม่มีความกระตือรือร้น
ในตัวลานมีระเบียงเชื่อมไปยังห้องนอนในลานด้านใน
ลู่เซิ่งมองตามระเบียงนั้นไป เห็นแค่ความมืดดำสนิทผืนหนึ่ง ลมเย็นพัดออกมา หนาวเย็นเสียดแทงกระดูก
สวียชุยปลอบสักพักหนึ่ง ต่งฉีคล้ายกับใจเย็นลง เล่าต่อ
“บิดาข้าออกไปลาดตระเวน ภายหลังที่กลับมากลายเป็นศพ…แม้แต่ศพก็ไม่สมประกอบ…ภายหลัง ข้าร้องไห้อยู่หลายวัน สาบานว่าจะตามหาตัวฆาตรกร จึงไปตามหาจัวชิงหยางหมอยาผู้นั้น แต่คนผู้นั้นมีสีหน้าประหลาด ปากแม้จะปลอบประโลมคน แต่ฟังอย่างไรก็ผิดปกติตอนนั้นข้ามีความเคลือบแคลงเล็กน้อยแล้ว ภายหลังไหว้วานให้ท่านน้าและท่านอาจับตาดูเขา แต่ที่คาดไม่ถึงก็คือ หลังจากนั้นไม่นาน ท่านน้ากับท่านอาก็หายสาบสูญติดต่อกัน… ” ต่งฉีพูดถึงตรงนี้ กลั้นน้ำตาไม่ไหว น้ำตาไหลลงดุจไข่มุกที่สายขาด
“หมอยาผู้นั้นเล่า” ลู่เซิ่งถามแทรก
“อยู่ในพรรค…เขาไม่ไปไหน และไม่มีคนกล้าให้เขาไป ระดับสูงส่วนหนึ่งในพรรคจะไปที่ห้องเขาทุกคืน ไม่ทราบไปทำอะไร เวลากลางวันทุกคนเป็นปกติยิ่ง แต่พอตกดึก…” ต่งฉีแสดงความหวาดกลัวและความกังวล “ตอนนี้ข้ากำลังวิตกว่าพรรคชาจะพินาศโดยสิ้นเชิงเหมือนบิดาข้า ดังนั้นจึงต้องเชิญท่านทูตมาตรวจสอบเรื่องนี้… ”
ลู่เซิ่งถามรายละเอียดอีกสองสามข้อ จึงเข้าใจเหตุการณ์คร่าวๆ
“จริงด้วย ท่านเห็นคันฉ่องแก้วที่บิดาท่านกับหมอยาผู้นั้นกราบไหว้หรือไม่” เขาถามเสียงทุ้ม
“เห็นแล้ว ตั้งในห้องนอนของจัวชิงหยางหมอยา เขานอกจากปลดทุกข์ จะกินหรือนอน ไม่ว่าเรื่องใดล้วนไม่ออกห่างจากคันฉ่องบานนั้น ข้าฉวยโอกาสตอนเขาไปปลดทุกข์ แอบเข้าไปดูครั้งหนึ่ง ไม่แตกต่างกับคันฉ่องแก้วทั่วไป รู้สึกว่าส่องได้ชัดยิ่ง” ต่งฉีตอบอย่างรวดเร็ว
“คันฉ่องแก้วเปราะบางกว่าคันฉ่องสำริดมาก แต่ว่าผิวคันฉ่องส่องคนได้ชัดเป็นพิเศษ คันฉ่องแบบนี้ปกติแล้วมีเส้นทางนำเข้าจากรัฐมหาเกียรติ ทั้งยังราคาแพงมาก ท่านเคยถามหมอยาผู้นั้นหรือไม่ว่าเขาได้มาอย่างไร” สวีชุยอดแทรกไม่ได้
ต่งฉีส่ายหน้า
“หมอยาท่านนั้นพิลึกยิ่ง พวกท่านไปเจอก็จะทราบ ข้าคนเดียวไม่กล้าพบเขา”
ลู่เซิ่งพยักหน้า ลุกขึ้นยืน
“เอาล่ะ ตอนนี้พาข้าไปเจอหมอยาจัวชิงหยางผู้นั้นเถอะ เรื่องราวไม่อาจชักช้า”
“ตอนนี้เลยหรือ” ต่งฉีคิดไม่ถึงว่าลู่เซิ่งจะเด็ดเดี่ยวเฉียบขาด เพิ่งฟังจบ ก็จะไปตรวจสอบสถานการณ์ทันที
“ใช่ ตอนนี้”
ต่งฉีลังเล ครู่หนึ่งค่อยๆ ลุกขึ้น
“ข้าจะพาพวกท่านไป…ห้องของหมอยาอยู่ที่มุมด้านในสุดของลานด้านใน ทั้งสองท่านโปรดตามข้ามา” นางค่อยๆ ลุกขึ้น พาพวกลู่เซิ่งเดินไปตามระเบียงที่เชื่อมสู่ลานด้านใน
ลู่เซิ่งทางหนึ่งติดตาม ทางหนึ่งหันไปมองหญิงรับใช้ที่เข้าไปเก็บสุราอาหารเหล่านั้น
หญิงรับใช้เหล่านี้ดวงตาไร้ประกาย การเคลื่อนไหวดูเหนื่อยล้า เหมือนกับนอนไม่หลับอย่างรุนแรง สีหน้าดั่งตุ๊กตาไม้ที่ซึมเซา
ทั้งสามคนทะลุระเบียงสีดำสนิท เข้าไปในลานเล็กที่ดูกว้างขวางอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เดินเข้าซุ้มประตูทางซ้ายของลานเล็กแห่งนี้ ผ่านซุ้มประตูอีกสามซุ้ม ค่อยมาถึงตัวลานที่เปลี่ยวร้างอ้างว้างแห่งหนึ่ง
ชายฉกรรจ์สวมชุดรัดรูปที่ยืนหาวกลางวันแสกๆ อยู่หน้าประตู พอเห็นต่งฉีมา ก็รีบเข้ามาทักทาย
ต่งฉีสนทนากับคนสองคนที่เฝ้าประตู แล้วค่อยหันไปพูดกับลู่เซิ่ง
“ที่นี่เป็นลานที่หมอยาอยู่ ทั้งสองท่าน… ”
“เราเข้าไปกันเลย” ลู่เซิ่งปล่อยแขนลงตามสบาย เดินเข้าไปในลานดั่งอาชาใหญ่ดาบทอง
ใบไม้กองเกลื่อนพื้นลาน พลิกขึ้นตามลม ส่งเสียงแซ่กๆ เบาๆ
ใต้ชายคาแขวนตุ๊กตารูปคนตัวหนึ่ง เหมือนทำมาจากผ้าป่าน แขนขาเล็กๆ ขนาดเท่าฝ่ามือเป็นสีเทา ยังมีผมยาวยุ่งเหยิงสีดำสนิทปรกหน้ามากกว่าครึ่ง
ลู่เซิ่งเดินเข้าไปดูตุ๊กตาคนตัวนั้น
เห็นใบหน้าของมันที่ถูกคนใช้ชาดแต้มเป็นปากและดวงตาอีกสองข้างผ่านเส้นผมสีดำ ดวงตาวาดได้สมจริงสุดขีด คล้ายกำลังยิ้ม
แต่มุมปากตกลง เหมือนไม่พอใจยิ่ง
ลู่เซิ่งมองตุ๊กตาคน ไม่ได้สนใจมากนัก เดินไปถึงหน้าประตูห้อง
“ใต้เท้า ให้ข้าจัดการเถอะ” สวีชุยเข้ามาขวางเขา
ลู่เซิ่งส่ายหน้า “ข้าเอง เจ้าระวังรอบๆ”
สวีชุยค่อยพยักหน้า เดินไปด้านข้างคอยระวังรอบๆ
ก๊อกๆๆ
ลู่เซิ่งยื่นมือไปเคาะประตู ผ่านไปสักพักหนึ่งยังไม่มีการตอบกลับ
ก๊อกๆๆ
เขาเคาะอีก ยังคงไม่มีคนตอบ
“หรือว่าไปปลดทุกข์” ต่งฉีกระซิบด้านหลัง
“มีกุญแจหรือไม่” ลู่เซิ่งหันมาถาม
“ไม่…ไม่มี” ต่งฉีส่ายหน้า ตอนนี้นางหวาดกลัวแทบตาย คนส่วนใหญ่ในพรรคต่างเชื่อฟังเพียงหมอยา ตอนนี้สภาพการณ์แปลกประหลาดสุดขีด นางใช้อำนาจหน้าที่ส่งคนไปส่งจดหมายให้พรรควาฬแดงอย่างยากเย็น
ในสภาพการณ์แบบนี้ ย่อมไม่อาจมีกุญแจห้องของหมอยา
“เช่นนั้นก็รอคนผู้นั้นมา” ลู่เซิ่งย่อมไม่ฟังความด้านเดียวจากต่งฉี การตรวจสอบนี้ต้องพิสูจน์หลายด้าน ไม่อย่างนั้นเกิดต่งฉีมีปัญหาเหมือนกัน ปรักปรำทำร้ายหมอยาและคนอื่นๆ ในพรรค เขาไม่พิสูจน์ก็ลงมือ นั่นไม่เท่ากับเล่นงานผิดเป้าหมายแล้ว
……………………………………….