บทที่ 128 แลกเปลี่ยน (2)
“คนผู้นี้เข้าได้กับทุกคน เป็นคนอัธยาศัยดีในจวน” ชายชราผู้ประกอบพิธีวางกระดูกสะโพกในมือลง “เรื่องสุนัขป่าในจวนหายสาบสูญที่ให้ท่านตรวจสอบเมื่อก่อนหน้านี้เป็นอย่างไรแล้ว”
ไป๋จิ้งได้ยินก็แย้มยิ้ม
“ตรวจสอบได้อย่างชัดเจนแล้ว ตอนนั้นสุนัขป่าไล่ตามหลี่ซุ่นซีเข้าเหลาสุราแห่งหนึ่งในเมืองเลียบคีรี ภายหลังไม่ปรากฏตัวอีก”
“อ้อ? เหลาสุราหรือ”
“ไม่ผิด เหลาสุราชื่อซงหลาน ที่ประจวบเหมาะก็คือ เหลาสุราเหลาแห่งนี้ความจริงเป็นกิจการของพรรควาฬแดง พรรคที่ใหญ่ที่สุดแห่งแดนเหนือ” ไป๋จิ้มยิ้มกว้างกว่าเดิม
“อ้อ?” ครั้งนี้ผู้ประกอบพิธีสนใจแล้ว “เล่าต่อเถอะ”
ไป๋จิ้งเดินอ้อมหลายก้าว มานั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง
“เรื่องอื่นบ่าวยังไม่ได้ตรวจสอบจนกระจ่าง แต่เรื่องนี้ต้องเกี่ยวพันกับพรรควาฬแดงแน่ ไม่มีอะไรต้องสงสัย”
“พรรคเล็กๆ ของมนุษย์พรรคเดียวกล้าเผชิญหน้ากับจวนอู๋โยวของพวกเราโดยตรงหรือ” ผู้ประกอบพิธีกังขาเล็กน้อย
“บางทีอาจนึกว่าตัวเองกระทำโดยเทพไม่ทราบภูตผีไม่รู้กระมัง บางทีตระกูลซั่งหยางที่อยู่เบื้องหลังอาจมีเอี่ยวด้วยหรือไม่ ผู้ใดบอกได้” ไป๋จิ้งพูดด้วยรอยยิ้ม
“เรื่องนี้ให้ท่านตรวจสอบ ยืนยันว่าตัวการเป็นใคร ต่อให้ต้องลงมือสุดกำลัง พวกเราก็ต้องโจมตีแบบสายฟ้าแลบ หาหลักฐาน หลีกเลี่ยงไม่ให้ตระกูลอื่นๆ เจอจุดอ่อน” ผู้ประกอบพิธีสั่ง
“ใต้เท้าวางใจเถอะ เรื่องนี้จะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง” ไป๋จิ้งประสานมือเอ่ย “ลู่เซิ่งประมุขพรรควาฬแดงเป็นผู้ต้องสงสัยมากที่สุดในครั้งนี้”
…
ลู่เซิ่งกวาดล้างภูตผีตลอดทาง จัดการเรื่องยุ่งยากอย่างต่อเนื่องหลายครั้ง รวบรวมปราณหยินได้สามหน่วย สิ้นเปลืองเวลาไปราวสิบกว่าวัน จึงค่อยคิดกลับบ้าน
กลับมาถึงเมืองเลียบคีรี ใช้เวลาสองวัน เขาก็เริ่มเตรียมของเซ่นให้กับพิธีเซ่นไหว้ของจวนอู๋โยวในครั้งนี้ทันที
ภารกิจเลือกของเซ่นไหว้ ก่อนเขาเดินทางได้มอบให้อวี้เหลียนจื่อ ภายหลังหาของเซ่นไหว้ทั่วไปได้มากกว่าร้อยคน วานไป๋เฟิงเหล่าเต้าพลิกหาจากในคุก รวมถึงจับกุมโจรตามหมู่บ้านในป่าเขาด้านนอก
เวลาที่เหลือ ลู่เซิ่งฝึกฝนปราณขวดสมบัติอย่างหนักทุกวัน เพื่อปรับสมดุลหยินหยาง
ในตอนนี้เอง คนที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงก็มาขอความช่วยเหลือ
“พี่ลู่! ไม่เจอกันนาน สบายดีหรือ”
ในห้องหนังสือเรือวาฬแดง ลู่เซิ่งเจอคนลึกลับที่สวมหมวก คลุมผ้าดำบังใบหน้าสองคน
คนหนึ่งในนี้เปิดผ้าคลุมหน้า เผยให้เห็นเครื่องหน้าที่คุ้นเคย
“พี่หลี่?!” ลู่เซิ่งงงันเล็กน้อย “ท่านเหตุใดมาแล้ว”
ผู้มาเป็นหลี่ซุ่นซีที่หายตัวไปนาน
หลี่ซุ่นซีดูโชกโชนและใจเย็นขึ้นมาก คนที่อยู่ด้านหลังเขาเป็นสตรี ไม่มีความคิดจะปลดผ้าคลุมหน้าลง ดูท่วงท่าก้าวย่างของนาง อย่างน้อยก็เป็นมือดีระดับสูงสุดของขั้นพลังปลอดโปร่ง
“ขอไม่ปิดบัง ครั้งนี้มาพบพี่ลู่ เพราะไม่มีทางเลือก” หลี่ซุ่นซียิ้มหนักใจ
ลู่เซิ่งโบกมือ องครักษ์ที่อยู่ด้านนอกปิดประตูแน่น ป้องกันไม่ให้ความลับรั่วไหล องครักษ์ข้างกายเหล่านี้เป็นคนที่เลื่อมใสศรัทธาในตัวเขาอย่างแรงกล้า เรียกได้ว่าเป็นชนชั้นอาจหาญกล้าตาย อีกทั้งลู่เซิ่งยังเลือกคนโสดซึ่งไม่ต้องกังวลเรื่องบ้าน ดังนั้นด้านความซื่อสัตย์ไม่มีปัญหาแน่
“พี่หลี่มาพบข้าทั้งที่กุมข่าวสำคัญ เรื่องใดทำให้ท่านรับความเสี่ยงใหญ่แบบนี้กลับมากัน” ลู่เซิ่งย่นคิ้วถาม บอกใบ้ให้คนทั้งสองนั่งลงพูดคุย
หลี่ซุ่นซีมองสหายเมื่อครั้งอดีตที่มีอำนาจเพิ่มขึ้นทุกวันตรงหน้า ในใจเองก็จนปัญญา
พริบตาเดียว ลู่เซิ่งที่ตอนนั้นเป็นผู้นำในพรรค เวลานี้นั่งบัลลังก์ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งแดนเหนือ ทั้งเป็นประมุขพรรคของพรรควาฬแดง สั่งคำเดียวก็มีหมื่นคนขานรับ
ถึงแม้ลู่เซิ่งจะมีอำนาจมาก แต่เรื่องนี้มีความสำคัญใหญ่หลวง ถ้าเขาไม่หมดปัญญาจริงๆ คงไม่เลือกมาขอให้สหายที่เคยช่วยตนผู้นี้ลงมือ
เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงปัญหาการดำรงชีวิตของสหายจำนวนไม่น้อยและครอบครัวของพวกเขาด้วย เขาไม่อาจไม่มา ดังนั้นเพื่อชดเชยให้แก่ลู่เซิ่ง เขาจึงพยายามช่วยชิงผลประโยชน์ที่ดีที่สุดให้
หลี่ซุ่นซีค่อยๆ ทรุดนั่งลง เรียบเรียงคำพูด ก่อนเอ่ยอย่างแช่มช้า “ไม่ทราบพี่ลู่มีธัญญาหารกับน้ำมันพืชมากพอหรือไม่ ขอไม่ปิดบัง สหายส่วนหนึ่งของข้าอยู่ในภูเขา อยู่ๆ ก็ค้นพบว่าซื้อน้ำมันอาหารไม่ได้ ใช้ชีวิตลำบากกว่าเดิม นี่จึงไม่อาจ…”
“สหายส่วนหนึ่งของท่านหรือ” ลู่เซิ่งขมวดคิ้วเข้าหากัน “หรือพี่หลี่จะเข้าร่วมกับรังโจร”
“สามหาว!” พอกล่าววาจานี้ สตรีคลุมหน้าด้านหลังหลี่ซุ่นซีพลันเดือดดาล จะชักกระบี่ออกมาฟันลู่เซิ่ง
“หือ?” ลู่เซิ่งนั่งนิ่ง เพียงมองสตรีแวบหนึ่ง ปัจจุบันอานุภาพในดวงตาเขายิ่งมายิ่งเข้มข้น เพียงแค่มอง ก็ทำให้สตรีนางนั้นกดมือบนด้ามกระบี่ ชักออกมาครึ่งเดียวก็ไม่กล้าเคลื่อนไหวต่อ
หน้าผากขาวนวลที่นางเปิดไว้มีเหงื่อซึมออกมาช้าๆ ใบหน้าแดงเถือก ต่อให้มีผ้าคลุมหน้ากั้นอยู่ก็เห็นความแตกตื่นเดือดดาลได้จากสีหน้าของนาง
นางร่างสั่นเล็กน้อย หยุดนิ่งอยู่กับที่
“ชิงเหมยเจ้าอย่าวู่วาม พี่ลู่แค่ถามเฉยๆ เขาไม่ทราบเรื่อง ไม่จำเป็นต้องรานน้ำใจกันเพราะเรื่องเท่านี้” หลี่ซุ่นซีรีบลุกขึ้นดึงสตรีนางนั้นไว้
นางมีทางลง จึงแค่นเสียง สอดกระบี่กลับ เดินไปด้านหลังหลี่ซุ่นซี
“นี่เป็นท่าทีของคนมาขอความช่วยเหลือหรือ” ลู่เซิ่งหยีตา คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“ท่าน!” ชิงเหมยสตรีนางนั้นโมโหอีกครั้ง ยังคิดชักกระบี่อีก แต่ถูกหลี่ซุ่นซีรั้งตัวไว้แน่น
“เอาล่ะๆ! ชิงเหมยเจ้าออกไปก่อน ที่นี่ให้ข้าเอง พี่ลู่ นับว่าขอร้องท่าน กล่าววาจาน้อยลงสักหน่อย” หลี่ซุ่นซีกล่อมทั้งสองฝั่ง แสดงความจนใจ
นางบ่นด้วยภาษาถิ่นอย่างไม่ยินยอม ค่อยถูกหลี่ซุ่นซีดันออกไปนอกประตู
ในห้องหนังสือเหลือคนสองคนนั่งตรงข้ามกัน ครั้งนี้บรรยากาศดีขึ้นมาแล้ว
“ขอไม่ปิดบัง พี่ลู่ ข้าเป็นตัวแทนคนอื่นๆ มาซื้อหาธัญญาหารที่นี่ อย่างน้อยขอมากกว่าสองพันชั่ง”
“สองพันชั่ง…” ลู่เซิ่งเซิ่งเลิกคิ้ว “นี่กลับเป็นเรื่องเล็ก เพียงแต่ว่าพี่หลี่ ไม่ใช่ข้าไม่ไว้หน้าท่าน ตอนนี้เป็นช่วงสำคัญ นาข้าวแต่ละแห่งรกร้างไร้คนหว่านไถ ท่านคงจะไปสืบข่าวในเมืองมาจนทราบแล้วว่าราคาข้าวในตอนนี้แพงยิ่ง ข้ากับพี่น้องในพรรคแต่ละวันพยายามงมหาปลาในแม่น้ำมาชดเชยส่วนที่ขาด ตัวเองยังไม่อาจหักใจกิน ช่วงเวลาคับขันแบบนี้ ท่านต้องการซื้อข้าวแทนสหาย ในใจคงมีราคาประมาณการแล้วกระมัง”
หลี่ซุ่นซีพยักหน้าอย่างจริงจัง “มีจริงๆ เงินทอง ไข่มุก โอสถ หรืออาวุธสังหาร ล้วนมี”
“อ้อ?” ลู่เซิ่งหวั่นไหว พอจะทายออกแล้วว่าผู้ที่หลี่ซุ่นซีเป็นตัวแทนคือใคร
“พี่หลี่ ท่านบอกข้าตามจริงว่าผู้ที่ท่านเป็นตัวแทนในครั้งนี้คือคนกลุ่มไหน”
หลี่ซุ่นซีไตร่ตรองเล็กน้อย ยังคงยิ้มฝาดเฝื่อน “พี่ลู่ ไม่ใช่ข้าไม่เชื่อถือท่าน แต่ข้ารับปากแล้วว่าจะไม่แพร่งพรายเด็ดขาด สิ่งที่ข้าบอกท่านได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือ พวกเขาไม่ขาดเงินทอง ไม่ขาดวัตถุยา ยิ่งไม่ขาดอาวุธและวิชาวรยุทธ์”
“อ้อ?” ลู่เซิ่งสีหน้าเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย กล้าบอกว่าไม่ขาดเงินทอง วัตถุดิบยา อาวุธและวิชาต่อหน้าประมุขพรรคของพรรคอันดับหนึ่งแห่งแดนเหนือ ศักยภาพของเบื้องหลังแค่คิดก็ทราบได้
“อย่างนั้นก็ได้ ธัญญาหารไม่กี่พันชั่งยังน้อย ข้าไม่ใช่ให้ไม่ได้ เพียงแต่พวกท่านคิดเอาอะไรมาแลก ถ้าข้าต้องการวรยุทธ์เล่า” ลู่เซิ่งลองถาม
“ขอแค่ไม่ใช่วิชาผนึกจิตระดับสุดยอด อย่างอื่นได้หมด เพียงแต่ว่าราคานี้…” หลี่ซุ่นซีเอ่ยเบาๆ
“อ้อ? วรยุทธ์วิทยายุทธได้หมดเลยหรือ!? ระดับสำนึกปลอดโปร่งเล่า” ลู่เซิ่งตกใจ นี่เป็นเรื่องใหญ่
พึงทราบว่าวิชาระดับสำนึกปลอดโปร่งส่วนหนึ่ง ถ้ามีขั้นตอนและข้อควรระวังในการฝึกฝนที่ละเอียดมากพอ นั่นจะเป็นมรดกล้ำค่าส่วนหนึ่ง สร้างความรุ่งเรืองให้แก่ครอบครัวหนึ่งได้
คัมภีร์ลับที่ล้ำค่าแบบนี้ ต่อให้เป็นงานประมูลก็ซื้อไม่ได้ และไม่อาจนำออกมาขาย
“สำนึกปลอดโปร่ง… มีเหมือนกัน! เพียงแต่ราคาย่อมแพงกว่าทั่วไป พี่ลู่ต้องเตรียมตัวให้ดี” หลี่ซุ่นซีพยักหน้า พูดเสียงเบา “ให้มากๆ ไม่กล้าพูด แลกเปลี่ยนสองสามส่วนยังสบายๆ”
ซู้ด…
ครั้งนี้ลู่เซิ่งสูดลมหายใจเย็นเยียบ
พึงทราบว่า ต่อให้เป็นตระกูลเจินในตอนแรก ขนาดครอบครองแดนเหนือ ก็มีแค่วิชาระดับพลังปลอดโปร่งที่สูงที่สุด วิชาสำนึกปลอดโปร่งที่เหลือทั้งหมดเป็นวรยุทธ์ของระดับสูงในพรรค เป็นวรยุทธ์ที่พวกเดียวกันต้องทำคุณูปการเพื่อให้ได้มา วิชาประเภทนี้ไม่ได้รับการอนุญาตจากเจ้าของ ล้วนไม่เผยแพร่สู่ภายนอก
อย่างเช่นวิชาลมปราณแดงฉานก็เป็นระดับสำนึกปลอดโปร่งเหมือนกัน แม้จะแพร่หลายในพรรคมานาน แต่คนของสำนักอาทิตย์ชาดก็ไม่อาจถ่ายทอดแก่นแท้
ตอนนี้กลุ่มก้อนเบื้องหลังหลี่ซุ่นซีกล้าบอกว่าจะใช้วิชาระดับสำนึกปลอดโปร่งมาซื้อธัญญาหาร…
นี่เป็นความตื่นตระหนกเหมือนคนธรรมดาได้ยินว่าจะใช้ทองคำซื้อขยะ
“มองจากตรงนี้ พวกท่านมีเงินทุนมหาศาล กลับยังเลือกเสี่ยงมาซื้อธัญญาหารกับข้า…” ลู่เซิ่งพูดไม่ทันจบ ก็เข้าใจความหมายแล้ว หมายความว่า ผู้คนเบื้องหลังหลี่ซุ่นซีจะต้องอยู่ในที่มืด ไม่อย่างนั้นเงินทุนมหาศาลขนาดนี้ใช้ในงานประมูลหรือร้านค้าก็ได้ทั้งสิ้น
หลี่ซุ่นซีหนักใจ ได้แต่พยักหน้าด้วยรอยยิ้มขื่นขม
“ถ้าเป็นคัมภีร์ลับระดับสำนึกปลอดโปร่ง ธัญญาหารห้าพันชั่ง ข้าตัดสินแลกวิชาสำนึกปลอดโปร่งวิชาหนึ่งได้” เขามองออกแล้วว่า ลู่เซิ่งไม่สนใจอย่างอื่น ยกเว้นแต่วรยุทธ์
“เลือกได้เองหรือไม่” ลู่เซิ่งถามเบาๆ
“เดี๋ยวนัดเวลาและสถานที่ ข้าจะให้เขานำต้นฉบับวรยุทธ์มา ด้านบนมีภาพตรึกตรอง ไม่อาจปลอมแปลง จะมีการปรับเปลี่ยนหรือไม่ พี่ลู่ไม่ต้องวิตก แยกแยะได้ง่ายยิ่ง” หลี่ซุ่นซีกล่าวต่อ
“ต่อให้มีการปรับเปลี่ยน ขอแค่ส่วนใหญ่เป็นจริง ก็ไม่แย่แล้ว” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ห้าพันชั่งเล่มหนึ่ง ออกจะ…” เขาพูดไม่ออกอยู่บ้าง ราคานี้ต่ำไปแล้ว
หลี่ซุ่นซียิ้มฝาด
“พวกเขาเดาออกว่าท่านจะอยากได้คัมภีร์ลับ ดังนั้นให้ข้าเอาสมุดมาด้วยเล่มหนึ่ง ด้านบนเป็นวิชาที่ท่านเลือกได้”
เขาพูดพลางล้วงสมุดเล่มเล็กออกจากทรวงอก สมุดเย็บปกสีน้ำเงินด้วยด้าย ด้านบนว่างเปล่า ไม่มีตัวหนังสือ แสดงว่าเพิ่งคัดลอกมา
ลู่เซิ่งรับมาพลิกดูหน้าแรก ความคมกริบของตัวอักษรสีดำหลายแถวลอยมาปะทะหน้า
“ตัวอักษรที่ดี!” เขาชม พิจารณาดู
สมุดแบ่งเป็นพลังธรรมดา พลังปลอดโปร่ง และสำนึกปลอดโปร่ง ลู่เซิ่งมองวรยุทธ์ในส่วนสำนึกปลอดโปร่ง
วรยุทธ์ระดับนี้กินพื้นที่หน้าหนึ่งในห้าส่วนสุดท้ายของสมุดจด
‘สำนึกปลอดโปร่ง: ฝ่ามือลมปราณพันพฤกษาเผาไหม้ วิชาลมปราณจันทร์ชะมด วิชาแยกเงา ดาบแปดเซ็นสงบจิต’
ทั้งหมดมีสี่วิชา ด้านล่างเป็นการแนะนำคร่าวๆ
ลู่เซิ่งกวาดตามอง ไม่ทันไรก็หยุดอยู่ที่ฝ่ามือลมปราณพันพฤกษาเผาไหม้ ในวิชาสี่ชนิด มีแต่วิชานี้ที่เป็นวิชาแข็งกร้าวชนิดเสริมสร้างร่างกาย อ่านการแนะนำก็เกรี้ยวกราดสุดขีดเช่นกัน
วิชาฝ่ามือนี้เป็นทักษะที่มีชื่อเสียงของของหลู่อูเซียงยอดฝีมือระดับเอกะฟ้าที่เคยตะลุยอยู่ในจงหยวน แต่เป็นเพราะตอนหลู่อูเซียงยังเด็ก เคยกินหญ้าอสุภอัคคีต้นหนึ่ง คุณสมบัติร่างกายจึงเหมาะกับการฝึกวิชาแข็งกร้าววิชานี้ถึงขีดสุด ดังนั้นอาศัยวิชานี้เลื่อนจากขอบเขตพลังปลอดโปร่ง สำนึกปลอดโปร่ง ไปถึงผนึกจิต สุดท้ายเข้าสู่ขอบเขตเอกะฟ้า แล้วเร้นกายหายตัวไป
แต่คนทั่วไปฝึกฝน ถ้าคุณสมบัติร่างกายไม่เหมาะสม ใช้เวลาหลายสิบปีอย่างราบรื่น บรรลุขอบเขตผนึกจิตได้ก็นับว่าโชคดีแล้ว
ถึงอย่างไรหลังจากบรรลุระดับเอกะฟ้า เป็นยอดฝีมือในหมู่มนุษย์แม้ยังคงสู้ภูตผีปีศาจระดับพันธนาการไม่ได้ แต่ก็มีทุนสำหรับหนีเอาชีวิตรอดแล้ว ไม่ใช่มอบโชคชะตาให้คนอื่นเหมือนก่อนหน้า
“อย่างไรก็แค่ธัญญาหารไม่กี่พันชั่ง ข้าต้องการแลกฝ่ามือลมปราณพันพฤกษาเผาไหม้ น่าจะเข้ากับวิชาลมปราณแดงฉานของข้าได้พอดี” ลู่เซิ่งคืนสมุดให้หลี่ซุ่นซี
“ความจริงยังมีความสามารถมอบให้ได้อีก แต่ว่าวิชาเหล่านี้นับว่าถูกที่สุด ที่เหลือส่วนใหญ่ต้องมีเงื่อนไขการฝึกฝนที่เคร่งครัด” หลี่ซุ่นซีตอบ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นพวกเรานัดเวลาและสถานที่ เมื่อถึงกำหนดค่อยแลกเปลี่ยน”
“ได้!” ลู่เซิ่งพยักหน้า
……………………………………….