บทที่ 129 แลกเปลี่ยน (3)
หลังส่งหลี่ซุ่นซีออกไป ลู่เซิ่งเพิ่งหมุนตัวจะไปห้องโอสถ ก็เห็นหงหมิงจือผู้เป็นศิษย์พี่พาบุรุษวัยกลางคนที่ไม่รู้จักเข้ามาในห้องหนังสือของประมุขพรรค
ทั้งสองคนเดินเคียงไหล่กันเข้ามา บุรุษวัยกลางคนรูปร่างสูงชะลูด อายุไม่มาก แต่เมื่อพิจารณาดู กลับพบว่าอีกฝ่ายมีจอนผมสีขาว ดวงตาโชกโชน ไม่มีทางอายุสามสิบสิบปีเด็ดขาด
ลู่เซิ่งเข้าไปต้อนรับด้วยตัวเอง
“ศิษย์พี่ เหตุใดมีเวลามาเดินเล่นที่นี่ ท่านนี้คือ…” เขามองบุรุษวัยกลางคนผู้นั้น
คนผู้นี้พอมาถึง ก็ใช้สายตาประหลาดพิจารณาเขาอย่างละเอียด เหมือนกับเห็นขุมทรัพย์หายาก
“ท่านนี้คือ ฝ่ามือกระบี่เก้าทิศหวังหยวนซาน เป็นพี่ใหญ่ที่เจ้าเคยได้ยินผู้อาวุโสหวังพูดถึง ฉบับดั้งเดิมสมบูรณ์ของฝ่ามือทำลายใจที่เจ้าฝึกเป็นวรยุทธ์ในตระกูลของพี่หวัง” หงหมิงจือแนะนำ
“หวังหยวนซานหรือ?” ลู่เซิ่งนึกทบทวน “มาๆๆ เข้ามาพูดคุย”
เขาพาทั้งสองคนเข้าไปในห้องหนังสือ ปิดประตู ก่อนให้คนส่งน้ำชาเข้ามา
รอจนทั้งสามคนนั่งลงแล้ว หวังหยวนซานค่อยส่งเสียงอย่างไม่เกรงใจ
“วันนี้ได้พบประมุขพรรคลู่ ได้ยินชื่อไม่สู้พบพานจริงๆ ประมุขพรรคลู่ฝึกกำลังภายในและกำลังภายนอกพร้อมกัน ปราณภายในวิชาแข็งกร้าวถึงขั้นอยู่ในขอบเขตรูปจิตแล้ว…พอเทียบกันแบบนี้ ข้าตาเฒ่าอายุปูนนี้ ช่างใช้ชีวิตไร้ประโยชน์สิ้นดี!” เขากล่าวอย่างตรงไปตรงมา คล้ายกับรู้หนังสือ แต่ใช้คำหยาบๆ ไปเล็กน้อย ให้ความรู้สึกขัดกันอันแปลกประหลาด
“ผู้อาวุโสหวังเกรงใจแล้ว ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสมา มีธุระอะไรหรือ” ลู่เซิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ปัจจุบันผมเขาค่อยๆ ยาวแล้ว ไม่ได้หัวล้านเลี่ยนเหมือนเดิม ถึงแม้กล้ามเนื้อจะกำยำยิ่ง แต่อย่างไรก็ก็มีลักษณะตอนเป็นคุณชายไม่น้อย
“ศิษย์น้อง” หวังหยวนซานไม่ได้พูด กลับเป็นหงหมิงจือเอ่ยปาก
เขากวาดตามองรอบๆ
ลู่เซิ่งเข้าใจความหมายของเขา โบกมือให้คนใกล้ชิดออกไป ปิดประตูเฝ้าไว้เหมือนก่อนหน้า
หงหมิงจือเห็นคนใกล้ชิดออกไปแล้ว ก็ประคองจอกชาข้างมือขึ้น สีหน้าค่อยๆ จริงจัง
“ข้ามาที่นี่ ก็เพื่อถามเรื่องหนึ่งกับศิษย์น้อง ขอให้เจ้าตอบข้าตามความจริง”
ลู่เซิ่งงงงัน จากนั้นยิ้มๆ “ศิษย์พี่โปรดบอก”
หงหมิงจือดื่มชา แล้ววางจอกชาลง นิ้วมือไล้ขอบจอก
“ขอถามศิษย์น้อง มารดาเจ้ามาจากตระกูลขุนนางฝั่งไหน”
ลู่เซิ่งเบิกตาน้อยๆ กลับหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้อยู่บ้าง สองคนนี้คงจะยึดถือเขาเป็นสายเลือดผู้ตกยากของลูกหลานตระกูลขุนนางแล้ว
เขาไม่ทันตอบ หงหมิงจือก็เอ่ยต่อ
“กล่าวตามจริง ก่อนหน้านี้มีภารกิจรัดตัว ไม่ทันได้ถาม แต่ตั้งแต่เห็นศิษย์น้องเอาชนะภูตผีจากจตุรัสแดงได้ ข้าก็มีการคาดเดาในใจ” หงหมิงจือเอ่ยอย่างขึงขัง “พลพรรคทั่วไปอาจไม่ทราบเคล็ดสำคัญ นึกว่าภูตผีคือภูตผี ไม่อาจเอาชนะได้ทั้งหมด แต่ว่าคนที่เคยสัมผัสตระกูลขุนนางเช่นพวกเรายังเข้าใจความแตกต่างตรงกลาง ความแตกต่างระหว่างภูตผีกับความประหลาดลี้ลับมีมากจนเกินจินตนาการ ศิษย์น้องโจมตีรองผู้คุมจตุรัสแดงอย่างซึ่งหน้าจนล่าถอยได้ พลังไม่มีอะไรต้องสงสัย”
“สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ พลังแบบนี้ถ้าเป็นของจริง…ทอดตามองทั่วแดนเหนือ ก็หาคนที่สองไม่เจอ ทางจงหยวนเองก็…” ฝ่ามือกระบี่เก้าทิศหวังหยวนซานเอ่ยแทรกเสียงทุ้ม
จุดประสงค์ที่สองคนมาที่นี่ ลู่เซิ่งทราบแล้ว มิน่าก่อนหน้านี้ท่าทีของระดับสูงรวมถึงเฉินอิงที่มีต่อเขาในพรรค จึงยำเกรงยิ่งขึ้น คงเพราะเข้าใจผิดว่าเขาเป็นคนของตระกูลขุนนาง
เหมือนกับมือกระบี่ที่เซียวหงเย่เชิญมาหยั่งเชิงเขาคนนั้น ตระกูลขุนนางที่ตกต่ำ สายเลือดหลงเหลือซึ่งร่อนเร่อยู่ด้านนอกไม่ใช่ไม่มี เพียงแต่มีน้อยเต็มทีก็เท่านั้น
ลู่เซิ่งไตร่ตรองในใจ จากนั้นเงยหน้าขึ้น
“เรื่องที่ศิษย์พี่ถามความจริงไม่สำคัญ ที่สำคัญก็คือ ข้าจะนำพาพรรควาฬแดงกับสำนักอาทิตย์ชาดไปในเส้นทางที่ดีกว่านี้ได้หรือไม่”
คำตอบแบบนี้ของเขาไม่ได้ยืนยันว่าใช่ หรือไม่ใช่
แต่หงหมิงจือกับหวังหยวนซานแลกสายตากัน แสดงสีหน้ากระจ่าง คล้ายเข้าใจอันใด
ลู่เซิ่งไม่ทราบเช่นกันว่าพวกเขาเข้าใจอะไร ยืนยันเรื่องใดกันแน่
“เช่นนี้ก็ดี ไม่พูดถึงประเด็นนี้อีก มีคนอย่างศิษย์น้องนำสำนักอาทิตย์ชาดของเรา เป็นโชคดีของพวกเราโดยแท้ แต่นอกจากนี้ยังมีปัญหา เป็นเรื่องเกี่ยวกับว่าจะบ่มเพาะและเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ศิษย์ในสำนักอย่างไร” หงหมิงจือถาม
ลู่เซิ่งค่อยนึกถึงซ่งเจิ้นกั๋วที่ถูกตนเองทิ้งไว้ในเมือง ไม่เคยไปสนใจเหมือนปล่อยแกะ ตอนนั้นมอบทิศทางการฝึกวรยุทธ์ และวิชาเดินลมปราณของเคล็ดสนหนึ่งสำนึกให้แก่อีกฝ่าย ก็ไม่ได้สนใจอีก ตอนนี้ไม่ทราบพัฒนาถึงไหนแล้ว
“การเสริมความแข็งแกร่งแก่สำนัก สำคัญที่รับศิษย์ เผยแพร่วิชาเดินลมปราณ” ลู่เซิ่งคิด ก่อนพูดเสียงทุ้ม
“เผยแพร่วิชาเดินลมปราณ!? นี่ไม่ได้!” หงหมิงจือสะดุ้งโหยง รีบลุกขึ้นปฏิเสธ
“ศิษย์พี่ท่านฟังข้าพูดก่อน เผยแพร่วิชาเดินลมปราณที่ข้าว่า ไม่ใช่เผยแพร่ทั้งหมด เป็นแต่เพียงเผยแพร่พื้นฐานส่วนหนึ่ง เพื่อคัดเลือกอัจฉริยะที่มีคุณสมบัติเหมาะกับวิชาของสำนักเรา เช่นนี้จะเจอลูกศิษย์ที่ดีที่สุด เหมือนเลือกทองในทราย” ลู่เซิ่งมีความคิดแบบนี้แต่แรกแล้ว
ถึงอย่างไรต่อให้โยนวิชาที่เขาฝึกฝนออกไปในสภาพเดิมทั้งหมด ก็ไม่มีใครเหนือกว่าเขาได้ ดังนั้นเขาจึงไม่นำพาต่อการประกาศวิชาต่อภายนอก
ขอแค่มีปราณหยิน เขาก็เร็วกกว่าคนอื่นหลายเท่า สำเร็จวรยุทธ์ได้ในพริบตา
“นี่ก็ไม่ได้เหมือนกัน! วิชาเป็นแก่นที่บรรพจารย์ของสำนักเราลำบากเลือดตาแทบกระเด็นค่อยบัญญัติได้ จะประกาศง่ายๆ เป็นการไม่เคารพต่อบรรพจารย์อย่างยิ่ง ศิษย์น้องคิดหาวิธีอื่นเถอะ” เรื่องนี้หงหมิงจือไม่อาจประนีประนอมได้โดยสิ้นเชิง
ลู่เซิ่งพูดอีกรอบ ยังคงไม่อาจเกลี้ยกล่อม ได้แต่ล้มเลิก ตามวิธีรับศิษย์ดั้งเดิม ต้องสังเกตนิสัยใจคอ จากนั้นค่อยทดสอบคุณสมบัติ กระบวนการแบบนี้มีประสิทธิผลต่ำ ไม่อาจเสริมความกล้าแข็งแก่สำนัก
พวกหงหมิงจือได้คำตอบที่ตนเองต้องการ ไม่นานนักก็ลุกขึ้นจากไปอย่างผิดหวัง ในเมื่อทราบแล้วว่าลู่เซิ่งเป็นสายเลือดตระกูลขุนนาง เช่นนั้นที่ต่อสู้กับรองผู้คุมจตุรัสแดงระดับพันธนาการได้ สมควรเป็นเพราะใช้พลังพันธนาการในสายเลือดสู้กับเยื่อดำของความประหลาดลี้ลับ จึงต่อสู้ในระดับเดียวกันกับอีกฝั่งได้
นี่ทำให้พวกหงหมิงจือที่พกพาความหวังมาผิดหวังยิ่ง ถึงแม้จะผิดหวังมาหลายครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้ดูเหมือนมีความหวังกับความเป็นไปได้มาก น่าเสียดายยังคง…
ลู่เซิ่งส่งสองคนไป ก็ถอนใจเงียบๆ
‘เรื่องที่เราเป็นคนธรรมดายิ่งคนรู้น้อยยิ่งดี ไม่งั้นตระกูลขุนนางไม่ทราบว่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไร…’
พักผ่อนสักพัก เขาก็ออกจากห้องหนังสือ ไปเอาขี้ผึ้งสุคนธ์ทองที่ห้องโอสถ
เพิ่งเข้าห้องโอสถ ก็เห็นหลินหงเหลียนกับหยวนจงศิษย์สองคนของศิษย์พี่กำลังคุยอะไรกันอยู่นอกห้องโอสถ
“อาจารย์อา!” ทั้งสองคนพอเห็นลู่เซิ่ง ก็รีบก้มตัวคารวะ ใบหน้านอบน้อม
ลู่เซิ่งพยักหน้าเล็กน้อย
“พวกเจ้ามาเอายาเหมือนกันหรือ”
“เจ้าค่ะ มาเอาโอสถซ้อนทับให้อาจารย์” หลินหงเหลียนตอบเบาๆ
“โอสถซ้อนทับหรือ” ลู่เซิ่งงุนงง นี่เป็นโอสถที่ใช้รักษาอาการบาดเจ็บภายในอย่างรุนแรง แม้ร่างกายของหงหมิงจือจะย่ำแย่ แต่ก็ไม่ได้ต่อสู้กับใคร เหตุใดอยู่ๆ จึงจะใช้โอสถชนิดนี้
เขาพลันนึกถึงหวังหยวนซานที่เพิ่งเจอ ในใจมีการคาดเดา
“ดี พวกเจ้าไปเถอะ” เขาโบกมือ สาวเท้าเข้าห้องโอสถ
พวกหลินหงเหลียนแลบลิ้นด้านหลัง รีบวิ่งเหยาะๆ จากไป
ลู่เซิ่งเข้าห้องโอสถ เอาขี้ผึ้งสุคนธ์ทอง สั่งหมอยาให้จัดโอสถเสริมการฝึกฝนปราณภายในส่วนหนึ่ง แล้วอวี้เหลียนจื่อก็ส่งคนมาส่งจดหมายแก่เขา การเตรียมตัวเกี่ยวกับพิธีกรรมใกล้แล้วเสร็จ จึงส่งรายการมา
ลู่เซิ่งออกคำสั่งเปิดประชุมย่อยของพรรค จัดการเรื่องราวความร่วมมือ จากนั้นก็ให้ต้วนเหมิ่งอันนำรายการไปส่งให้จวนเซียว
ภายหลังเขากลับไปฝึกฝนปราณขวดสมบัติที่พรรค
เพียงแต่ไม่ถึงสองชั่วยาม พลพรรคซึ่งเป็นบริวารของต้วนเหมิ่งอันคนหนึ่งก็รีบร้อนกลับมาส่งข่าวว่า ต้วนเหมิ่งอันตายแล้ว
“ตายแล้วหรือ?!”
ลู่เซิ่งได้ยินข่าวจากนอกประตู เบิกสองตา ปราณภายในทะลักสู่ด้านนอกสายหนึ่ง เผามุ้งบนเตียงข้างๆ ตัวจนไหม้เกรียม
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่!?” เขากล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แม้ต้วนเหมิงอันจะขี้ขลาดกลัวเกิดเรื่อง แต่ที่แล้วมาเขาทำอะไรก็ซื่อสัตย์รับผิดชอบ ลู่เซิ่งเลือกงานสบายๆ ให้เขา ครั้งนี้เพียงแค่ไปส่งจดหมาย เหตุใดจึงตายกะทันหัน
ตอนที่ลู่เซิ่งควบคุมพรรควาฬแดงได้ไม่นาน มีต้วนเหมิ่งอันเป็นคนสนิท ยามอยู่ด้านนอกเป็นหน้าเป็นตาของเขา อยู่ๆ ก็ตายโดยไร้สาเหตุ เท่ากับตบหน้าเขา ถ้าจัดการไม่ดี ภายหลังผู้ใดจะยินยอมเป็นคนสนิท จัดการเรื่องราวอย่างเต็มใจให้แก่เขา
“เรียนประมุขพรรค…ผู้อาวุโสต้วนที่ไปจัดการบอกว่าไม่อาจแก้ไขได้ เชิญท่านไปด้วยตัวเอง…” พลพรรคที่ส่งข่าวนอกประตูกล่าวเสียงชัดเจน
ลู่เซิ่งลุกขึ้นด้วยสีหน้าอึมครึม เปลี่ยนชุดแล้วเปิดประตู
“พวกเจ้า! เตรียมม้า เรียกผู้อาวุโสเฉินกับผู้อาวุโสต้วนไปพร้อมกับข้า”
“ขอรับ!”
พลพรรคที่เฝ้าอยู่ด้านนอกรีบไปแจ้งผู้อาวุโสทั้งสองคน ทั้งคู่เป็นยอดฝีมือระดับสำนึกปลอดโปร่งที่ลู่เซิ่งเพิ่งเลือกจากพรรคมาเมื่อไม่นานมานี้ คนหนึ่งถนัดอาวุธลับนางฟ้าโปรยบุปผา อีกคนถนัดลูกตุ้มคู่ เป็นยอดฝีมือที่อายุไม่มาก กล้าบุกทะลวง
ลู่เซิ่งพกพาดาบใหญ่สองเล่มไปด้วย สวมเกราะเหล็กที่เพิ่งสั่งทำ พลิกตัวขึ้นหลังม้า พาผู้อาวุโสสองคน กับองครักษ์ประมุขพรรคสิบกว่าคนไปยังเมืองเลียบคีรี
ควบม้าถึงจวนเซียวโดยไม่หยุดยั้งระหว่างทาง
ถนนในเมืองว่างเปล่า ผู้คนน้อยกว่าอดีตมาก ไม่ได้มีภาพคึกคักอย่างเดิมแล้ว
รอจนถึงจวนเซียว มีพลพรรคกลุ่มหนึ่งชุมนุมอยู่หน้าประตูจวน ห้อมล้อมจวนเซียวเอาไว้
ในฐานะงูเจ้าถิ่น กำลังคนและอำนาจของพรรควาฬแดงในเมืองเลียบคีรีย่อมไม่ใช่สิ่งที่จวนเซียวจะเทียบได้
ไม่ไกลออกไปยังมีกองทัพรักษาเมืองที่รับหน้าที่ในพรรคนำกลุ่มมา ถึงแม้ไม่ใช่กองทัพเฟยเหลียน แต่ว่าทัพรักษาเมืองเป็นกองทัพเฝ้าประตูเมือง ขีดความสามารถไม่อาจดูแคลน อาวุธสังหารเช่นหน้าไม้ก็มี อย่างไรเมืองเลียบคีรีก็เป็นเมืองใหญ่
เวลามืดค่ำ จวนเซียวถูกคนกลุ่มใหญ่ล้อมไว้อย่างหนาแน่นมิดชิด
ผู้อาวุโสต้วนยืนอยู่หน้าประตู มือถือพู่กันพิพากษาคู่หนึ่ง สีหน้าบิดเบี้ยว เห็นลู่เซิ่งรุดมาถึง เขารีบเข้าไปคารวะ ใบหน้าฮึกเหิม
“ประมุขพรรค! ก่อนหน้านี้น้องเหมิ่งอันเข้าไปส่งจดหมายได้ไม่นาน ก็มีเสียงร้องดังมา พวกเรามาถึงคิดบุกเข้าไป กลับถูกสกัดไว้”
“อ้อ?” ลู่เซิ่งเงยหน้ามองประตูใหญ่จวนเซียว
ประตูใหญ่แง้มเป็นร่องแยก เฒ่าหลังค่อมตาเดียวคนหนึ่งยืนอยู่หลังประตู
เฒ่าชราคนนี้เผชิญหน้าทัพใหญ่ สีหน้าไม่ลนลาน ยังคงยืนอยู่หน้าประตูโดยไม่เงยหน้า
ด้านนอกมีมือดีในพรรคหลายคนกุมแขนได้รับบาดเจ็บ ถือดาบยาวไม่กล้าบุกเข้าไป
“หลบไป ข้าเอง!” ลู่เซิ่งดวงตาเย็นเยียบ สาวเท้าเดินไปยังประตูใหญ่
พลพรรครีบหลีกทาง เหลือเส้นทางไว้เส้นหนึ่ง
ลู่ซื่อไพล่มือขวาไว้ด้านหลัง กลางฝ่ามือเป็นสีแดงเหมือนกับผงชาด เดินดุ่มเข้าหาชายชรา
“อ้อ? ที่แท้เป็นประมุขพรรควาฬแดงมาเอง” ชายชราหลังค่อมคล้ายสัมผัสบางอย่างได้ ดวงตาในที่สุดก็เปลี่ยนแปลง มองลู่เซิ่งอย่างจริงจัง
“ก่อนมาได้ยินว่าประมุขพรรคลู่มีวิชาลี้ลับน่าเกรงขามไร้คู่ต่อกร เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งแดนเหนือ วันนี้กลับอยากทำความรู้จัก”
“รอข้าสังหารเจ้า ก็จะไม่อยากทำความรู้จักแล้ว” ลู่เซิ่งแขนขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว พลังของฝ่ามือทำลายใจถูกปราณภายในวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานเร่งเร้า ปราณภายในร้อนแรงหลายสายลอยขึ้นมารอบๆ ด้วยความเร็วสูง
……………………………………….