บทที่ 132 แลกเปลี่ยน (6)
“ลำบากเจ้าแล้ว พวกเจ้าไปพักผ่อนเถอะ การแลกเปลี่ยนธัญญาหารต่อจากนี้ยังต้องรบกวนซุ่นซีไปด้วยตัวเอง” ฉินอู๋เมี่ยนดีดนิ้ว ปราณภายในไร้รูปร่างขนาดเล็กหลายสายพลันโผล่ขึ้นกลางอากาศ ตกใส่ไหล่ขวาของหลี่ซุ่นซีและคนที่อยู่รอบๆ อย่างแม่นยำ พริบตาเดียวก็หลอมรวมเข้าไปในผิวหนังใต้อาภรณ์ของพวกเขาเหมือนกับสายน้ำไหลสู่ทะเล
หลี่ซุ่นซีพลันรู้สึกว่าทั่วร่างสั่นสะท้าน ร่างกายอบอุ่นสุขสบาย ทราบว่าผู้นำใช้พลังยุทธ์ของตัวเองชำระกายเนื้อ รักษาอาการบาดเจ็บแฝงให้พวกเขา รีบประสานมือให้ฉินอู๋เมี่ยนอย่างซาบซึ้ง ก่อนจะหมุนตัวไปคารวะคนอื่นๆ แล้วจากไป
การรักษานี้สิ้นเปลืองพลังและเวลามากที่สุด ทำให้การนั่งสมาธิฝึกฝนมากกว่าครึ่งวันของฉินอู๋เมี่ยนสูญเปล่า การกระทำเช่นนี้เป็นปกติในพันธมิตรบู๊ หลายๆ คนเคยได้รับการช่วยเหลือจากเขาทั้งนั้น
รอพวกหลี่ซุ่นซีจากไป ฉินอู๋เมี่ยนหยิบกระบอกไม้ไผ่อันนั้นขึ้นมา ลูบเทียนผนึกที่ปากกระบอก เทียนผนึกสีแดงกลายเป็นฝุ่นอย่างไร้เสียง หล่นกระจายไปเอง
เขาเอียงกระบอกไม้ไผ่ เทม้วนกระดาษสีเหลืองอ่อนม้วนหนาออกมา แล้วคลี่ออกเบาๆ
ฉินอู๋เมี่ยนถือม้วนกระดาษ ตั้งใจอ่านอย่างสงบนิ่ง จากเนื้อหาที่อ่านเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ สองตาเขาก็พลันเป็นประกาย บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มขึ้น
แกร่ก
ม้วนกระดาษถูกขยำ พริบตาเดียวก็ถูกกำลังภายในทำลายเป็นฝุ่นผงสีเหลือง จากนั้นโปรยปรายผ่านร่องนิ้วของเขา ลอยออกไปนอกดาดฟ้า สายลมพัดกระจายไปยังบึงน้ำสีเขียวอ่อน
“ส่งคนเข้ามา” ฉินอู๋เมี่ยนกล่าวเสียงกระจ่าง
“คำนับท่านผู้นำ!” เงาคนสวมชุดรัดรูปสีเขียว ใส่หน้ากากสีเขียวสายหนึ่งปรากฏบนลานกว้างของหอใต้ดาดฟ้าอย่างรวดเร็ว คุกเข่าข้างหนึ่งให้ฉินอู๋เมี่ยนที่อยู่ด้านบน
“ไปเชิญจางอู๋หยา อาจารย์ใหญ่จางมาพบข้า” ฉินอู๋เมี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้มน้อยๆ
“ขอรับ”
เงาคนสีเขียวลุกขึ้น สองเท้าแตะพื้น ทะยานขึ้นกลางอากาศติดต่อกัน แล้วลอยหายไปด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ
…
จางอู่หยานั่งนิ่งกลางโถงล้อมกวาง รู้สึกตื่นเต้น สีหน้าไม่ยินดียินร้าย แต่ว่าดวงตาเป็นประกาย กำข้อนิ้วแน่นจนขาว เห็นได้ว่าตอนนี้เขาพลุ่งพล่านขนาดไหน
พันธมิตรบู๊เป็นพันธมิตรผสมที่ยอดฝีมือระดับเอกะฟ้าในหมู่มนุษย์ซึ่งไม่ยอมถูกจับเป็นทาส กับสำนักใบไม้ที่มีท่าทีเป็นมิตรต่อมนุษย์ร่วมมือกันก่อตั้งขึ้น เพื่อรับมือตระกูลขุนนางสำนักโลหิตและภูตผีปีศาจ
ดังนั้นคนระดับฟากฟ้าอยู่ในตำแหน่งสูง มีความสัมพันธ์เป็นพันธมิตรกับเหล่าตระกูลขุนนางสำนักใบไม้ ไม่ใช่ข้ารับใช้
แต่เป็นเพราะความแตกต่างด้านพลังระหว่างเอกะฟ้ากับคนจากตระกูลขุนนาง พวกเขาจึงหดหู่มาโดยตลอด ไม่ว่าจะออกไปรับภารกิจหรือทำสิ่งใด ส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาคนของตระกูลขุนนาง
ต่อให้พวกผู้เฒ่าไม่ยอมตายที่จางอู่หยาเป็นตัวแทนคือยอดฝีมือเอะฟ้าทั้งหมด แต่เพราะเป็นแค่จอมยุทธ์ ที่พลังไม่อาจบรรลุระดับพันธนาการ จึงได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เสมอภาค ถูกมองเป็นสมาชิกฝ่ายธุรการในแนวหลัง
ดังนั้นในแต่ละภารกิจ ที่แล้วมาพวกเขาจะได้รับการจัดให้ทำงานธุรการและงานสนับสนุนด้านข่าวสาร เวลาผ่านไปนาน ก็กลายเป็นคำแทนรวมๆ ของความอ่อนแอและการขาดความรู้
ส่วนที่น่ากลัวที่สุดก็คือ พันธมิตรบู๊ไม่ว่าจะเป็นคนของตระกูลขุนนาง หรือว่ายอดฝีมือเอกะฟ้าส่วนใหญ่เช่นพวกเขา ค่อยๆ ยอมรับว่าการแบ่งงานเช่นนี้สมเหตุสมผล มนุษย์ได้แต่ทำงานประเภทงานธุรการและข้อมูลข่าวสารเท่านั้น ไม่ว่าจะเพียรพยายามอย่างไรก็ไม่ใช่คู่มือของตระกูลขุนนาง
‘ถ้าไม่มีความหวังที่ท่านผู้นำส่งมาในครั้งนี้ เป็นอย่างนี้ต่อไป เสียงเรียกร้องแย่ๆ ต่อพวกเราในพรรคจะยิ่งมายิ่งดัง… เวลานานเข้า เกรงว่าแม้แต่เอกะฟ้าทั้งหมด ก็จะนึกว่าตัวเองได้แต่ทำงานออกแรงของคนแก่และคนป่วย เกิดฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่อาวุธเทพศัสตรามาร ความคิดแบบนี้จะต่างอะไรกับตระกูลขุนนางสำนักโลหิตเหล่านั้น วิทยายุทธ์จะต้องนำความหวังและทางออกมาให้มนุษย์’ จางอู่หยาตื่นเต้น กำคำสั่งลายมือของผู้นำไว้แน่นเปรียบประดุจของล้ำค่าหายาก
“เฒ่าจาง จัดการคนเรียบร้อยแล้วหรือไม่ เส้นทางเล่า หนังสือลับต้องเป็นต้นฉบับ นี่เป็นสิ่งที่ท่านผู้นำตั้งใจกำชับมา” บุรุษวัยกลางคนผอมสูงคนหนึ่งก้าวยาวๆ เข้ามาจากด้านในโถงล้อมกวาง คนหนุ่มหลายคนติดตามอยู่ด้านหลัง ทั้งหมดสวมเกราะหนังสีเขียวอ่อนครึ่งตัว ใส่รัดเกล้าสีขาว ฝังหยกเขียวขนาดเท่าเล็บเม็ดหนึ่งไว้ที่กลางหน้าผาก
พวกเขาเป็นยอดฝีมือที่ฉินอู๋เมี่ยนซึ่งเป็นผู้นำจัดให้ มุ่งหน้าไปคุ้มครองการแลกเปลี่ยน บุรุษวัยกลางคนที่นำกลุ่มชื่อว่าก่วนเนี่ยน ด้านหลังเขาคือกลุ่มจิตเขียว
“เรียบร้อยแล้ว เรียบร้อยนานแล้ว ครั้งนี้เกี่ยวพันกับอาหารในพรรค ผู้แซ่จางย่อมไม่กล้าชะล่าใจ!” จางอู่หยาลุกขึ้นกล่าวเสียงกระจ่าง
ปีนี้เขาอายุแปดสิบเก้าแล้ว หลังจากสำเร็จเป็นเอกะฟ้าเมื่อสิบกว่าปีก่อน ก็เข้าร่วมพันธมิตรบู๊ เป็นผู้นำกลุ่มเอกะฟ้าคนอื่นๆ ในพันธมิตรบู๊วางแผนจัดการเรื่องราวฝ่ายธุรการแก่องค์กรทั้งองค์กร ในขณะเดียวกันก็เป็นยอดฝีมือเอกะฟ้าที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดในพันธมิตรบู๊ ไม่มีคนอื่นแล้ว
“พอแล้วๆ ไม่อย่างนั้นนายผู้เฒ่าท่านไม่ต้องไปแล้ว เที่ยวนี้มีข้าอยู่ รับรองว่าไม่เกิดเรื่อง” ก่วนเนี่ยนกอดอกเอ่ย
อย่างไรไปหรือไม่ไปก็ไม่มีผล เขาบ่นในใจ
สำหรับพวกเอกะฟ้าและจอมยุทธ์ที่จัดการงานธุรการ และมุมานะบากบั่นในพรรคเหล่านี้ ถึงแม้เขาจะขอบคุณและนับถือที่พวกเขาลงแรงและสนับสนุนให้พวกตนตอนออกศึก
แต่ลึกๆ ในใจเขาก็รู้สึกว่าคนหัวแข็งที่ไม่ยอมแพ้ จะเป็นจะตายก็ต้องใช้วิทยายุทธ์ชิงดีชิงเด่นกับตระกูลขุนนางอย่างจางอู่หยาทำไม่ถูก
‘ความสามารถแย่ก็จริง เหตุใดจึงไม่กล้ายอมรับ ความสามารถอ่อนแอก็ทำงานธุรการให้ดี ทุกคนแบ่งงานกันก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ ยามลงมือให้พวกเรา การส่งเสบียงให้พวกท่าน นี่ไม่ใช่ดียิ่งหรือ?’ นี่เป็นคำพูดที่เขาพูดอย่างเปิดเผยในโอกาสหนึ่ง
แต่ว่าเหล่าผู้เฒ่าหัวแข็งพวกนี้ไม่ยินยอม มักอ้างนู่นอ้างนี่ ทั้งๆ ที่ความสามารถไม่พอ ยังปากแข็งไม่ยอมรับอีก วันๆ เอาแต่โวยวายถึงคนที่เป็นตัวแทนความหวังของจอมยุทธ์
ทว่าคนในรายชื่อที่กล่าวว่าเป็นยอดฝีมือที่วรยุทธ์สุดยอดน่าอัศจรรย์ของมนุษย์เหล่านั้น พูดตามสัตย์ เขาแอบส่งคนไปทดสอบมาแล้ว แม้แต่มือข้างเดียวของน้องชายที่อ่อนแอที่สุดของเขาก็ยังรับไม่ได้…
ที่น้องชายของเขาอ่อนแอที่สุดเพราะเป็นคนที่ฝึกวิชาช่วยเหลือเพียงอย่างเดียวในหมู่เอกะลักษณ์ระดับพันธนาการ แต่ยังคงไม่เหนือความคาดหมาย
ขณะมองจางอู่หยาที่อายุปูนนี้แล้ว ใบหน้ายังเปี่ยมความคาดหวังรอคอย เอาแต่สนใจดาวแห่งความหวังบนรายชื่อเหล่านั้น เขาก็อดบอกความจริงที่โหดร้ายนี้กับอีกฝ่ายทุกครั้งไม่ได้ มนุษย์ ต้องมีความเพ้อฝันและความหวังถึงจะดี
“นี่แน่ะท่านผู้เฒ่า… ครั้งนี้ท่านเจอดาวแห่งความหวังอันใดอีกแล้วกระมัง ครั้งก่อนตอนที่ท่านเจอจางซงอวี๋นั่น ก็มีท่าทางแบบนี้เหมือนกัน” กวนเนี่ยนเอ่ยอย่างหมดปัญญา
“กล่าววาจาให้น้อยหน่อย จางซงอวี๋ช่วงนี้ปิดด่าน จะต้องบรรลุอะไรสักอย่าง หลังออกด่านมีความเป็นไปได้ว่าวรยุทธ์จะรุดหน้า อาจมีความหวังทำลายเส้นแบ่งอมนุษย์!” จางอู่หยาถลึงตาเป่าเครา
ก่วนเนี่ยนจนใจ ไม่ได้บอกว่าสาเหตุที่จางซงอวี๋ปิดด่าน เพราะถูกน้องชายตนเองทุบตี ถ้าพูดแบบนี้จริงๆ นายผู้เฒ่าคนนี้จะต้องเป็นลมแน่ ไม่แน่จะลากเขาไปให้ท่านผู้นำตัดสินถูกผิด
เขาทนยืนทำศึกน้ำลายหลายชั่วยามกับตาเฒ่าคนหนึ่งไม่ไหว
“ก็ได้ๆ ท่านพูดอะไรก็ว่าตามนั้นเถอะ จะว่าไป ครั้งนี้เป้าหมายที่จะแลกเปลี่ยนกับเราเป็นผู้ใด คำสั่งที่ท่านผู้นำให้จัดการเล่า บอกว่าให้ข้ากับจงอวิ๋นซิ่วลงมือพร้อมกัน นี่เป็นเรื่องหายาก
“ครั้งนี้ ครั้งนี้…” พอพูดถึงการแลกเปลี่ยนครั้งนี้ จางอู่หยาก็กระตือรือร้นขึ้นมา “ครั้งนี้คนที่จะแลกเปลี่ยนกับพวกเรา คือยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งแดนเหนือ ดาวแห่งความหวังที่แท้จริงในหมู่จอมยุทธ์ของพวกเรา! ประมุขพรรควาฬแดง ลู่เซิ่ง!”
“ลู่เซิ่ง ประมุขพรรควาฬแดงหรือ ประมุขพรรควาฬแดงไม่ใช่เฒ่าแซ่หงสำนักอาทิตย์ชาดหรือ ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้ได้ยืมแผนที่จากเขามา” ก่วนเนี่ยนกล่าวอย่างสงสัย
“ลู่เซิ่งเป็นเจ้าสำนักอาทิตย์ชาดที่รับตำแหน่งได้ไม่นาน คนผู้นี้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศ ฝึกฝนวิชาลมปราณแดงฉานในสำนักถึงระดับสูงสุด ขณะเดียวกันก็ว่ากันว่ายังศึกษาวิชาแข็งกร้าว วิชาดาบ…”
“พอๆๆ ท่านอย่าได้พูดวิทยายุทธ์อันใดกับข้า ข้าไม่สนใจ คุยธุระหลักเถอะ” ก่วนเนี่ยนหมดคำพูด รีบหยุดจางอู่หยาไว้ ไม่ให้ต่อความยาวสาวความยืด เขาเพียงสนใจวิชาลับอันแข็งกล้าที่ใช้เร่งพลังแห่งสายเลือด ส่วนของแบบวิทยายุทธ์ ฝึกไปชั่วชีวิตก็ต้านทานการสะกิดจากวิชาลับไม่ได้ มีความหมายหรือ
จางอู่หยาถูกก่วนเนี่ยนตัดบท โมโหจนไม่รู้จะทำอย่างไร ใบหน้าแดงก่ำ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
“ผู้แซ่จางเพียงคิดเตือนหัวหน้ากลุ่มก่วน ประมุขพรรคลู่ผู้นี้มีพลังไม่ธรรมดา อาจทดลองดึงเขาเข้าร่วม…”
“เฒ่าจาง ท่านเรียกตัวเองเหมือนกับนายผู้เฒ่าคนอื่นๆ เถอะ อายุปูนนี้ยังมาผู้แซ่จางอะไรอีก ประมุขพรรคลู่ผู้นี้แข็งแกร่งขนาดไหนก็เป็นเอกะฟ้าคนหนึ่ง ดึงมาเข้าร่วมหรือไม่ มีความเกี่ยวข้องใด”
ก่วนเนี่ยนทราบว่า ผู้เฒ่าระดับเอกะฟ้าเหล่านี้คิดมาตลอดว่า เหล่าจอมยุทธ์มีความเป็นไปได้ในการต่อสู้กับความประหลาดลี้ลับและตระกูลขุนนาง แต่ความเป็นจริงคือความเป็นจริง เรื่องราวมากมายนับไม่ถ้วนได้รับการพิสูจน์มานานแล้ว นี่ก็เพียงแค่เรื่องเพ้อเจ้อเท่านั้น
“เอาล่ะ อย่าเสียเวลาเลย เก็บข้าวของ พวกเราสมควรเดินทางแล้ว” ก่วนเนี่ยนเตือนเป็นครั้งสุดท้าย “รีบเอาคำสั่งลายมือมาให้ข้าดู จะได้ยืนยันเวลาและสถานที่”
จางอู่หยาจนปัญญา โยนคำสั่งลายมือให้
ในกลุ่มพันธมิตรก่วนเนี่ยนคือหนึ่งในยอดฝีมือหลายคน เป็นมือสังหารขั้นสุดยอดระดับทวิลักษณ์ในหมู่คนของตระกูลขุนนาง แม้เขาจะสนิทกับจางอู่หยา กล่าววาจาไม่เกรงใจ แต่เรื่องนี้เขาเหมือนกับยอดฝีมือคนอื่นๆ รู้สึกว่าความหวังต่อวิทยายุทธ์นั้นไม่มีคุณค่าให้ชายตามอง
นี่ความจริงปกติยิ่ง ทุกครั้งที่รู้ว่ามีจอมยุทธ์ผู้เก่งกาจปรากฏตัวขึ้น เมื่อตรวจสอบอย่างละเอียด สุดท้ายมักพบว่าเป็นสายเลือดตระกูลขุนนาง ไปๆ มาๆ ความคาดหวังที่ทุกคนมีต่อวรยุทธ์ก็น้อยลงเรื่อยๆ
ครั้งนี้ฉินอู๋เมี่ยนส่งกวนเนี่ยนกับจงอวิ๋นซิ่วไป เป็นเพราะเห็นว่าพวกเขามีท่าทีเป็นมิตรต่อมนุษย์ธรรมดามากที่สุด เนื่องจากลู่เซิ่งเป็นจอมยุทธ์มนุษย์ขนานแท้ ไม่มีสายเลือดตระกูลขุนนางใดๆ บวกกับมีจางอู่หยานายผู้เฒ่าติดตามขบวน เช่นนี้จะกระชับความสัมพันธ์ได้ง่าย
หลังอ่านคำสั่งลายมือเสร็จ ก่วนเนี่ยนไม่ได้สนใจบันทึกที่สงสัยว่าลู่เซิ่งเอาชนะรองผู้คุมจัตุรัสแดงได้ซึ่งหน้าแม้แต่น้อย ยังไม่เอ่ยถึงว่าสตรีกางร่มเพิ่งสู้กับตระกูลเจินไปหยกๆ อาการบาดเจ็บยังไม่ฟื้นฟู เรื่องน่าสงสัยประเภทนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับดาวแห่งความหวังคนอื่นๆ ภายหลังสิ้นเปลืองเวลา คน และทรัพยากรตรวจสอบ สุดท้ายก็พบว่าเป็นแค่เรื่องตลก
ตัวอย่างเช่นนี้มีมากไปแล้ว
…
ตกดึก จันทร์เพ็ญลอยสูง
บนท่าเรือข้างเรือวาฬแดง เกวียนเทียมวัวสิบกว่าคันจอดเตรียมมานานแล้ว ธัญญาหารถุงใหญ่ถูกซ่อนไว้ด้านใต้เสื้อผ้าที่กองอยู่บนเกวียน
เปลือกนอกของเกวียนเหล่านี้ใช้ชุดเก่าๆ ทำเป็นถุงคลุมเพื่ออำพราง วางธัญญาหารไว้ด้านใต้สุด
ลู่เซิ่งนำไปทั้งหมดห้าพันชั่ง หนึ่งถุงมีห้าสิบชั่ง บนเกวียนส่งข้าวหลายสิบคันวางไว้หนึ่งร้อยถุง
“เตรียมตัวเสร็จแล้วหรือไม่” ลู่เซิ่งขี่ม้าสีดำ หันกลับไปมองคนติดตามขบวน
“เตรียมตัวเสร็จแล้ว” นิ่งซานวิ่งเหยาะๆ เข้ามาตอบ “ท่านรองประมุขเฉินกับผู้อาวุโสต้วนถามว่าจะออกเดินทางเมื่อไหร่ เกวียนเทียมวัวเชื่องช้า ถ้ายังไม่ไป เกรงว่าจะถึงตอนฟ้าสาง”
“เตรียมตัวเสร็จแล้วก็ไป” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ ครั้งนี้ถ้าติดต่อกับขุมกำลังลึกลับเบื้องหลังหลี่ซุ่นซีผ่านตัวอีกฝ่ายได้ บางทีอาจได้วรยุทธ์ใหม่ๆ ที่แข็งแกร่งและมีจำนวนมากพอ ปัจจุบันเขาขาดวิชาแข็งกร้าว วิชาแข็งกร้าวที่เก็บในพรรคไม่มีผลกับเขาแล้ว มีแต่วิชาแข็งกร้าวระดับสูง อาจก่อให้เกิดการกระตุ้นต่อสภาพหยางโชติช่วงได้
มองดูเกวียนเทียมวัวสิบกว่าคันที่ต่อแถวกัน ลู่เซิ่งหยีตา ใจลอยไปถึงวรยุทธ์ที่ตนฝึก
‘วิชาแข็งกร้าวเป็นภาชนะ กำลังภายในเป็นน้ำในภาชนะ หลังจากปราณภายในควบแน่นเป็นของเหลว มีแต่ต้องเพิ่มความแข็งแกร่งแก่ภาชนะไม่หยุดยั้ง จึงจะบรรจุปราณภายในที่มากกว่าเดิมและแข็งแกร่งว่าเดิมได้ ต้องล้อมคอกก่อนวัวหาย รวบรวมวิชาแข็งกร้าวก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้ภายหลังบรรจุปราณภายในที่ควบแน่นเป็นของเหลวไม่ไหว และยกระดับร่างกายไม่ได้ เจอสภาพการฝึกฝนหยุดชะงักอีกครั้ง’
“เตรียมตัวเสร็จแล้ว”
“เตรียมตัวเสร็จแล้ว”
“เตรียมตัวเสร็จแล้ว!”
พลพรรคด้านข้างเกวียนเทียมวัวยามนี้พากันส่งเสียง ลู่เซิ่งเห็นดังนั้น ก็ชูมือขึ้น
“ออกเดินทาง!”
……………………………………….