บทที่ 139 รักษา (3)
ลู่เซิ่งรักษาอาการบาดเจ็บอยู่หลายวัน ฟื้นฟูความสามารถเดินเหินอย่างอิสระกลับมาได้ ก่อนหน้านี้แค่เดินนานยังลำบาก ได้แต่เคลื่อนไหวในอาณาเขตเล็กๆ พิษบนร่างลุกลาม เสียเลือดเกินไป สิ่งที่ทำได้เพียงอย่างเดียวคือซ่อนตัวในห้องลับ รักษาตัวเงียบๆ
ดีที่ปราณหยินหยางขวดสมบัติร้ายกาจมาก ผลพิเศษคืนปราณเร็วขึ้นถึงระดับเจ็ด เพิ่มความเร็วฟื้นฟูของลู่เซิ่งอย่างใหญ่หลวง บวกกับอาหารและยาหล่อเลี้ยงปริมาณมากที่ถูกเขากินเข้าไปกลายเป็นปราณหยิน บำรุงไปทั่วร่าง
แค่สี่วัน ลู่เซิ่งก็กินยาไปแล้วหมื่นตำลึง แทบกินโสมภูเขา โป่งรากสนอายุหลายร้อยปีแทนอาหาร ร่างกายฟื้นฟูความสามารถในการเคลื่อนไหวขั้นพื้นฐานกลับมา
เขาในฐานะประมุขพรรควาฬแดงมีกำลังทรัพย์และช่องทาง สามารถหาวัตถุดิบยาที่ล้ำค่าแบบนี้มาได้ คนอื่นๆ ต่อให้เป็นเศรษฐีทั่วไปมีเงินก็หาซื้อของดีๆ พวกนี้ไม่ได้ในเวลาสั้นๆ
อาการบาดเจ็บทุเลาลงเล็กน้อย ลู่เซิ่งค่อยออกด่าน ไปรักษาตัวบนเรือวาฬแดง
เปลือกนอกคนอื่นๆ มองไม่ออกว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส คล้ายกับเป็นปกติ เรียกประชุมพรรค ไปห้องโอสถและศาลาประกาศยุทธ บางครั้งก็ไปฝึกฝนวิชาดาบที่ลานฝึกบนฝั่ง
พริบตาเดียวผ่านไปหลายวัน
ครืนๆ…!
สายฟ้าหลายสายแลบขึ้นกลางท้องฟ้าที่มืดสลัว สายฟ้าสีม่วงน้ำเงินปรากฏแวบเดียวก็หายไป เริงระบำอยู่ระหว่างชั้นเมฆ
น้ำบนแม่น้ำไม้สนกระเพื่อม คลื่นหลายชั้นกระทบข้างเรือวาฬแดงอย่างต่อเนื่อง ส่งเสียงครึ่กๆ
ในโถงนางแอ่น ลู่เซิ่ง หงหมิงจือ และเฉินอิงนั่งด้วยกัน ไม่ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศภายนอกแม้แต่น้อย มองดูศิษย์พรรควาฬแดงประกระบวนท่ากันอย่างตั้งใจ
หลินหงเหลียนกับหยวนจงศิษย์ทั้งสองคนของหงหมิงจือ มีศิษย์อีกสามคนของเฉินอิง ยังมีศิษย์อายุเยาว์กลุ่มใหญ่ กำลังดำเนินการประลองในพรรค ผู้ประลองเหล่านี้คัดกรองมาแค่คนอายุไม่เกินยี่สิบปี
ระดับสูงในพรรคจำนวนไม่น้อยนั่งในโถงใหญ่
นี่คือการประลองจัดอันดับพลังทุกๆ สามปีจะมีหนึ่งครั้งตามปกติขอพรรควาฬแดง ขอแค่อายุไม่ถึงยี่สิบก็เข้าร่วมได้ หากติดสิบอันดับแรก จะได้รับของรางวัลเช่นสมบัติ วิชา และการชี้แนะตามความเป็นจริง ทั้งยังเข้าสู่สายตาของระดับสูงสุดในพรรค เพิ่มระดับภารกิจในพรรคได้
ลู่เซิ่งนั่งบนตำแหน่งประมุขพรรค มองการประลองของศิษย์เบื้องล่าง เหม่อลอยอยู่บ้าง
สำหรับเขาในตอนนี้ ระดับเช่นนี้อ่อนแอเหลือเกิน ภายนอกเขาเหมือนกำลังชมการต่อสู้ ความจริงกระตุ้นปราณภายใน เร่งความเร็วฟื้นฟูของปราณหยินหยางขวดสมบัติ หวังว่าวันหน้าจะฟื้นตัวได้เร็วอีกหน่อย
เคร้งๆๆ!
เบื้องล่างศิษย์สตรีสองคนปะทะดาบกันอยู่พอดี ต่อสู้กันอย่างสูสี แม้พละกำลังไม่พอ แต่ความเร็วและจังหวะไม่เลว บวกกับศิษย์สตรีสองคนนี้เป็นโฉมสะคราญที่โด่งดังในพรรค ยามนี้หนึ่งคนอาภรณ์ม่วง อีกคนสวมเสื้อผ้าฝ้ายสีน้ำเงิน เสื้อผ้าพลิ้ว สู้กันอย่างเจริญหูเจริญตา
“แม้วิชาดาบหงส์ทองของซูเยว่เอ๋อร์จะไม่นับว่าคล่องแคล่วมาก แต่คว้าโอกาสได้ไม่เลว ซั่งก่วนหรงเร็วกว่าเล็กน้อย วิชาลมปราณม่วงปรารถนาที่ทั้งสองคนฝึกฝน ซั่งก่วนหรงต้องเน้นอีกหน่อย จึงจะชดเชยความแตกต่างในการคว้าจังหวะของทั้งสองคนได้พอดี ผลแพ้ชนะนี้เกรงว่าจะตัดสินรายชื่ออันดับที่สิบแล้ว” เฉินอิงพยักหน้ากล่าววิจารณ์
“เฉินอิงกล่าวถูกต้อง ระดับสูงสุดของขั้นพลังปลอดโปร่งในพรรควาฬแดง ทั้งสองคนนี้นับว่ามีพรสวรรค์เกินคน พลังเหนือล้ำ โดยเฉพาะซูเยว่เอ๋อร์ การคบค้าสมาคมก็ไม่เลว ทางเมืองประสานมังกรกำลังต้องการอัจฉริยะเช่นนี้พอดี” หงหมิงจือเสนอด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์น้องเจ้าเห็นว่าอย่างไร”
ลู่เซิ่งขานรับอืออย่างใจลอย
“ได้ คำแนะนำของศิษย์พี่ไม่เลวยิ่ง ภายหลังให้ซูเยว่เอ๋อร์รับหน้าที่เป็นรองหัวหน้าสาขาในเมืองประสานมังกร”
“ศิษย์น้อง…?” หงหมิงจือมองออกว่าลู่เซิ่งเหม่อลอย ถามอย่างสงสัยอยู่บ้าง นับตั้งแต่เขาออกไปกลางดึกเมื่อช่วงก่อน จนถึงตอนนี้จิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว ตอนนี้เป็นการประลองภายในพรรค ด้านล่างมีศิษย์และระดับสูงกลุ่มใหญ่เฝ้ามองอยู่
ในโถงนางแอ่นมีคนนั่งอยู่ไม่ต่ำกว่าสามสิบคน เป็นหัวหน้าสาขาหรือไม่ก็รองหัวหน้าสาขาจากแต่ละที่ ท่ามกลางสายตาจำนวนมาก คนเป็นประมุขยังใจลอย สุดท้ายจะส่งผลต่อขวัญกำลังใจของคนเบื้องล่างอย่างใหญ่หลวง
“อือ ถ้าเป็นซั่งก่วนหรง รับหน้าที่หัวหน้าสาขาในเมืองดาราได้ ที่นั่นติดกับรัฐมหาเกียรติ จำเป็นต้องมีอัจฉริยะที่รู้จักเจรจาประเภทนี้พอดี” ลู่เซิ่งรู้สึกตัว คิดตอบคำถาม
เขาพูดเสียงไม่ดังมาก แต่ระดับสูงที่นั่งอยู่ทั้งหมดเป็นยอดฝีมือ ต่อให้อ่อนแอที่สุดก็คือระดับพลังปลอดโปร่ง ไหนเลยจะไม่ได้ยินเนื้อหาที่เขาพูด
ทุกคนความจริงมองออกว่าลู่เซิ่งใจลอย แต่นับตั้งแต่ศึกใหญ่สกับสตรีกางร่มเมื่อก่อนหน้า พรรคเสียหายสาหัส ยอดฝีมือและระดับสูงที่เหลืออยู่เคารพลู่เซิ่งที่พลิกสถานการณ์กลับมาประดุจเทพเจ้า ทั้งยังเลื่อมใสศรัทธา ดังนั้นต่อให้เขาเหม่อลอย ก็ไม่ได้มีผลกระทบไม่ดีเหมือนที่หงหมิงจือจินตนาการ
ตอนนี้ศิษย์สตรีทั้งสองคนที่สู้กับนลานในที่สุดก็หมดแรง ถอยหลังไปคนละก้าว ประสานมือตัดสินผลเสมอกัน ทั้งสองคนสู้ต่อไปไม่ไหว ไม่ใช้กระบวนท่าสังหาร เพียงคู่คี่สูสี ถึงตอนท้ายได้แต่เปลี่ยนเป็นการประลองแรงกายและความอดทน อย่างนั้นก็ไร้ความหมายแล้ว
“ขอบคุณประมุขพรรคที่เลื่อนตำแหน่ง!” ซั่งก่วนหรงได้ยินคำตอบของลู่เซิ่ง บนใบหน้างามปรากฏรอยยิ้มอ่อนหวาน ประสานมือโน้มตัวคำนับ ครั้งนี้ในที่สุดก็เข้าสู่ระดับบริหารในพรรคสำเร็จ นี่เป็นเป้าหมายที่นางพยายามมาตลอด
พรรควาฬแดงมีสตรีเพศไม่น้อย หลายคนมีสถานะเบื้องหลังเป็นสาวงามในตระกูล ในนี้มีคนฝึกฝนวรยุทธ์อย่างนางอยู่ไม่น้อย พอนางใช้เวลาไปกับการแต่งเนื้อแต่งตัวมากหน่อย จึงค่อยๆ มีชื่อเสียงในพรรค
ครั้งนี้ได้รับความสนใจจากระดับสูง นับว่าความพยายามก่อนหน้าได้รับการตอบแทน รู้สึกพึงพอใจ
ซูเยว่เอ๋อร์แตกต่างจากซั่งก่วนหรง สีหน้าประหม่า เดินขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าว ใบหน้าไม่มีความยินดีแม้แต่น้อย
“เรียนประมุขพรรค ซูเยว่ไม่อยากเป็นหัวหน้าสาขา”
“ไม่อยากเป็นหัวหน้าสาขาหรือ” พวกลู่เซิ่งกับหงหมิงจืองุนงง นี่เป็นความปรารถนาที่ใหญ่ที่สุดในใจพลพรรคมากกว่าหมื่นคน กลายเป็นผู้ดูแล เทียบเท่ากับเป็นผู้ครองรัฐ ตอนนี้มีคนไม่อยากเป็น
ลู่เซิ่งดวงตาปรากฏความฉงนขณะมองซูเยว่ เขาจำดรุณีนางนี้ได้ นางเป็นหลานสาวของผู้อาวุโสคนหนึ่งในพรรค
นับตั้งแต่ผู้อาวุโสท่านนั้นลาโลก สตรีนางนี้จำเป็นต้องสนับสนุนครอบครัว ยังดีที่นางมีพรสวรรค์เหนือคน ทั้งยังโชคดี หลบเลี่ยงภัยพิบัติสตรีกางร่มจู่โจมหน่วยหลักเมื่อก่อนหน้าได้ ตอนนี้จึงเปล่งประกายขึ้นมา
“เช่นนั้นเจ้าอยากทำอะไร เมื่อเข้าร่วมการประลอง ในใจคงมีความปรารถนากระมัง” เฉินอิงก็ส่งเสียงถามอย่างใคร่รู้เช่นกัน
ซูเยว่เม้มปาก ก้าวขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าว มองลู่เซิ่งตรงๆ
“ซูเยว่คิดกราบประมุขพรรคเป็นอาจารย์ ขอให้ประมุขพรรคตอบรับด้วย!” นางคุกเข่ากับพื้น โขกหน้าผากกับพื้นดังโป๊กๆ
ทันใดนั้นรอบๆ เงียบสงัด ยอดฝีมือและระดับสูงหลายคนคาดไม่ถึงว่าซูเยว่จะทำเช่นนี้
ทุกคนเคยเห็นพลังของลู่เซิ่งประมุขพรรคลู่ ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งแดนเหนือที่ผู้คนยอมรับ วิชาดาบ วิชาฝ่ามือ กำลังภายในเป็นหมายเลขหนึ่ง ไม่มีใครสู้ได้
ต่อให้นำไปเปรียบเทียบกับจงหยวน ก็ต้องเป็นกลุ่มคนที่สุดยอดที่สุด
ถึงขั้นที่คนจำนวนมากซึ่งไม่รู้เรื่องเดาว่าประมุขพรรคเป็นไปได้ถึงขีดสุดว่าจะบรรลุระดับเอกะฟ้าแล้ว
พวกหงหมิงจือคิดว่า ลู่เซิ่งไม่ใช่คนธรรมดา เป็นผู้อยู่รอดจากสายเลือดตระกูลขุนนาง ดังนั้นจึงหักล้างพิษร้ายและการป้องกันระดับพันธนาการได้
พลังเช่นนี้ทำซ้ำไม่ได้ ดังนั้นพวกเขาไม่มีความคิดขอให้ลู่เซิ่งสั่งสอน ถึงขั้นหวั่นเกรงเขาอยู่บ้าง
ตอนนี้ซูเยว่กราบอาจารย์ พวกหงหมิงจือนิ่งอึ้ง ก่อนจะรู้สึกว่าไม่อาจเป็นจริงได้ พลังของลู่เซิ่งไม่อาจทำซ้ำ กราบอาจารย์ไปก็ไม่มีความหมาย
“คำขอของเจ้า… ข้า…” ลู่เซิ่งส่งเสียง มองซูเยว่อย่างสงบ
เขาแม้ฟื้นฟูเร็วยิ่ง แต่เป็นเพราะเส้นลมปราณยังไม่ได้รักษาจนหายดี อย่างน้อยจำเป็นต้องใช้เวลาสักเดือนจึงทุเลา ดังนั้นในเดือนนี้มีเวลามาก สามารถ…
เปรี้ยง!
ทันใดนั้นประตูโถงนางแอ่นถูกแรงมหาศาลกระแทกเปิด ประตูไม้ขนาดใหญ่ที่หนักอึ้ง ถูกดีดไปชนกับผนังทั้งสองด้านราวกับเป็นแผ่นไม้บางๆ สองแผ่น
“ผู้ใด!?” ชายฉกรรจ์หัวล้านร่างล่ำสันคนหนึ่งลุกขึ้น ถือวัชระปราบมารพุ่งไปยังประตูใหญ่
“หลีกไป!”
ผัวะ!
ชายฉกรรจ์หัวล้านกระเด็นกลับมาด้วยความเร็วที่สูงกว่าเดิม ไถลไปบนพื้นสิบกว่าหมี่ ชนเก้าอี้ โต๊ะและม้านั่งล้มลง
“บังอาจ! ที่นี่คือหน่วยหลักพรรควาฬแดง ยังกล้าบุกมาถึงที่!” เฉินอิงทะลึ่งตัว เขาจดจำชายฉกรรจ์หัวล้านได้ เป็นระดับสูงขอบเขตสำนึกปลอดโปร่งที่ขึ้นชื่อเรื่องพละกำลังในพรรค ถึงกับถูกชนกลับมาเช่นนี้
อีกฝ่ายมีพลังลึกล้ำไม่อาจหยั่งคาด เฉินอิงปากตวาด จิตใจกลับให้ความสำคัญอย่างไม่เคยมีมาก่อน รวมพลังยุทธ์ทั่วร่างไว้บนสองฝ่ามือ คนพลิ้วร่างลงไปฟันฝ่ามือใส่เงาดำที่เข้ามา
เปรี้ยง!
เงาคนสายนั้นฟันฝ่ามือออกมา ปัดเฉินอิงออกไปด้านข้างเหมือนปัดใบไม้
นอกจากนี้ยังมีหลายคนโถมตัวเข้าไป จู่โจมดาบ ฝ่ามือ กระบี่ มีดสั้นใส่ตัวเขา
เคร้งๆๆๆ!
เสียงก้องกังวานดังติดต่อกัน อาวุธทั้งหมดถูกสะท้อนออกมา เงาดำไม่บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย ยังคงเร่งฝีเท้าก้าวมาถึงกลางโถงใหญ่
“ลู่เซิ่ง! ข้ามาถามท่าน! คืนนั้นที่ใต้ตีนภูเขาบูรพาเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ใต้เท้าของข้าหายตัวไปได้อย่างไร”
ยามนี้เงาดำค่อยเผยร่าง เป็นเฒ่าเฮย ชายชราหลังค่อม ตาเดียวแห่งจวนอู๋โยวที่ติดตามเฒ่าผู้ประกอบพิธี
ลู่เซิ่งนั่งอยู่ด้านบนบัลลังก์ประมุขพรรค มองเฒ่าเฮยที่อยู่เบื้องล่าง จิตใจเคร่งเครียด
ตอนนี้เขาขาดปราณภายในอย่างรุนแรง ไม่มีวิชาเก้าพิฆาตแดงฉาน อาศัยแค่วิชาแข็งกร้าว ต่อให้ฝืนใช้สภาพหยางโชติช่วง ก็ไม่อาจสังหารเฒ่าเฮยที่เป็นมารปีศาจได้
เขาอยู่ในช่วงพลังตกต่ำซึ่งไม่เคยมีมาก่อน เดิมคิดจะเร้นกายรักษาตัวสักระยะ รอให้ฟื้นฟู คิดไม่ถึงคนในจวนอู๋โยวจะบุกมาเร็วขนาดนี้
ตอนนี้ถ้าเขาลงมือจริงๆ เกรงว่าแม้แต่ลูกหลานตระกูลขุนนางระดับเอกะลักษณ์สักคนยังสู้ไม่ได้ ยิ่งอย่าว่าแต่ยอดฝีมืออย่างเฒ่าเฮย
“คืนนั้นข้าเพียงแค่ไปแลกเปลี่ยนสินค้ากับคนลึกลับคนหนึ่ง ใต้เท้าของท่านหายตัวไปหรือ ท่านคิดว่าด้วยสถานะของใต้เท้าของท่าน ข้าจะไปรู้อะไรเล่า” ลู่เซิ่งสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน กล่าวราบเรียบ
“ยังมี ข้าไม่ชมชอบให้คนอื่นใช้วิธีการและน้ำเสียงแบบนี้กล่าววาจากับข้า ที่นี่เป็นพรรควาฬแดง ไม่ใช่จวนเซียวของใต้เท้าท่าน”
เฒ่าเฮยจับจ้องลู่เซิ่งอย่างเงียบขรึม ก่อนหน้านี้เขาเคยห็นพลังของอีกฝ่าย ระดับของตนถ้าสู้จริงๆ ไม่แน่จะเอาชนะได้ อย่างมากก็ก้ำกึ่งสูสี
แต่ว่าลู่เซิ่งจะต้องทราบเรื่องราวในคืนนั้นแน่
เฒ่าเฮยยืนนิ่ง จ้องลู่เซิ่งเขม็ง จิตสังหารค่อยๆ กระจายบนร่าง
“ประมุขพรรคลู่ ท่านไม่อยากพูด หรือว่าไม่รู้จริงๆ ”
ลู่เซิ่งเห็นดวงตาเฒ่าเฮยปรากฏความมุ่งร้าย แสดงว่าถ้าเขาไม่พูดอะไร อีกฝ่ายก็จะลงมือจริงๆ แล้ว
แต่เขาในตอนนี้ไม่อาจเผยความลับ เกิดโดนจับได้ว่าว่าเขาบาดเจ็บสาหัสไม่อาจลงมือ ตอนนั้นความยุ่งยากที่เผชิญจะมากกว่าเดิม!
ลู่เซิ่งกวาดตามองรอบๆ หากลงมือที่นี่ ด้วยนิสัยของอีกฝ่าย เกรงว่าจะเปิดฉากฆ่าฟัน ถึงตอนนั้นพรรควาฬแดงคงถูกทำลายล้างสิ้น พลังของเขาในตอนนี้ต้านทานคนผู้นี้ไม่ได้
“ข้าไม่รู้เรื่องนี้จริงๆ แต่ที่นี่ไม่ใช่สถานที่พูดคุย พวกเราเปลี่ยนสถานที่คุยกันให้ละเอียด” ลู่เซิ่งกล่าวเสียงทุ้มต่ำ เฒ่าเฮยเข้าประตูมาเพียงทำร้ายคนไม่ได้สังหาร แสดงว่าไม่คิดจะฉีกหน้ากับตระกูลซั่งหยางโดยสิ้นเชิง
“ได้”
……………………………………….