บทที่ 142 ชุมนุมกลอน (2)
“อวิ๋นเซิง…ให้เจ้ารอนานแล้ว” ลู่เซิ่งลุกขึ้น มองสตรีที่ยืนหยัดมาตลอด อดเอ่ยเบาๆ ไม่ได้
เฉินอวิ๋นซีพอได้ยินคำพูดนี้ ขอบตาพลันแดง
“พี่เซิ่ง…”
“ไปเถอะ วันนี้อากาศไม่เลว วัดประกายทองจะต้องครึกครื้นแน่” ลู่เซิ่งเดินเข้าไปจับมือขวาของเฉินอวิ๋นซี
“แล้วแต่ท่านพี่…” เฉินอวิ๋นซีก้มหน้าเอ่ยแผ่วเบา
ทั้งสองคนเก็บข้าวของ เฉินอวิ๋นซีโดยสารรถม้าที่ลู่เซิ่งนำมาไปยังวัดประกายทองอย่างช้าๆ
วัดประกายทองตั้งอยู่นอกเมืองเลียบคีรี ติดเขาบูรพา เป็นวัดศักดิ์สิทธิ์ที่ชื่อเสียงเลื่องลือ นักท่องเที่ยวและพุทธศาสนิกชนจำนวนมากมากราบไหว้พระด้วยความศรัทธาตลอดเวลา
วัดประกายทองจัดงานชุมนุมกลอนมีรางวัลสามเดือนครั้ง นับว่าเป็นกิจกรรมขนาดเล็กที่ได้รับความนิยม เทียบเท่ากับการแข่งตอบคำถามมีรางวัลในโลกใบก่อน
ลู่เซิ่งพาเฉินอวิ๋นซีไปถึงตีนเขาบูรพาซึ่งเป็นเขาเล็กๆ อันเป็นที่อยู่ของวัดประกายทอง หน้าประตูที่ตีนเขามีรถจำนวนไม่น้อยจอดอยู่ ยังมีนักท่องเที่ยวและพุทธศาสนิกชนเดินขวักไขว่ไปทั่วเขา
ในนี้มีทั้งคนที่สวมชุดเรียบง่ายและคนสวมชุดผ้าแพร ไม่แยกจนรวย พระภิกษุผู้ศรัทธาจำนวนไม่น้อยกราบกรานสวดมนต์อยู่ที่ตีนเขา ขอให้พระพุทธองค์สำแดงปาฏิหาริย์
ลู่เซิ่งจูงมือเฉินอวิ๋นซีลงจากรถม้า เดินเข้าไปในประตู ด้านข้างไม่มีบริวารคอยติดตาม เพียงเห็นคนติดตามสองคนที่คุ้มครองอย่างลับๆ อยู่ไกลๆ
“ได้ยินว่าการไหว้พระที่นี่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง ไม่ทราบเป็นเรื่องจริงหรือไม่?” ลู่เซิ่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เพราะหัวล้านไม่มีผม เขาจึงสวมหมวกบัณฑิตอำพรางศีรษะ เพียงแต่พอไม่มีขนคิ้วจึงดูดุร้ายยิ่ง
ดีที่เขาให้เสี่ยวเฉี่ยวแต่งตัวให้ เสื้อคลุมสีขาวตัวใหญ่บนร่างพัดพลิ้ว ปกปิดเส้นสายกล้ามเนื้ออันล่ำสันบนร่างได้พอดี ขณะเดียวก็ให้ความรู้สึกสง่างาม อำพรางความดุร้ายที่ไร้คิ้ว
“ตอนเด็กข้ามากราบไหว้บ่อยๆ ศักดิ์สิทธิ์อยู่บ้างจริงๆ แต่ข้าไม่ค่อยเชื่อนัก” เฉินอวิ๋นซีส่ายหน้าเล็กน้อย เอ่ยด้วยรอยยิ้มกว้าง
“ไม่เป็นไร ครั้งนี้พวกเรามาชมทิวทัศน์” ลู่เซิ่งจูงเฉินอวิ๋นซีตัดเข้าประตูเขา ขึ้นเขาทีละขั้นตามบันไดหินที่มุ่งสู่ด้านบน
ด้วยกำลังกายและความอดทนของเขา ต่อให้อยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัส ก็แซงคนจำนวนนับไม่ถ้วนได้อย่างง่ายดาย ไม่ถึงครึ่งเค่อ[1]ก็มาถึงหน้าประตูวัด
หน้าประตูวัดขายเทียนธูป เฉินอวิ๋นซีเข้าไปซื้อมาสองชุด นางกับลู่เซิ่งคนละชุด จากนั้นเดินชื่นชมในตำหนักรองรอบๆ พร้อมกับเหล่านักท่องเที่ยว
สุดท้ายพอถึงตำหนักหลัก ก็จุดเทียนหอม เสียบใส่กระถางธูปด้านบนเหมือนกับศาสนิกชนจำนวนไม่น้อยซึ่งตั้งแถวอยู่
จากนั้นคุกเข่าบนเบาะกลม ประนมมือหลับตาอธิษฐาน
หง่างเหง่ง…
หง่างเหง่ง…
หง่างเหง่ง…
เสียงระฆังดังขึ้น ฟ้าค่อยๆ มืดลง ในเสียงสวดมนต์เหมือนเสียงรำพึงรำพัน ลู่เซิ่งมองเฉินอวิ๋นซีพนมมือ หลับตาอธิษฐานกราบไหว้พระพุทธรูปอย่างศรัทธา ตนหันกลับมาหลับตาอธิษฐานกราบไหว้พระพุทธรูปเช่นกัน
‘หวังว่าบิดามารดา ครอบครัว คนรัก สหายจะแข็งแรงมีความสุขตลอดชีวิต จะได้อยู่อย่างสงบสุขตลอดไป’
‘ขอให้หายเร็วๆ ถึงตอนนั้นยกระดับวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานต่อ ใครกล้าขวางล้วนฟันให้ตาย!’
เฉินอวิ๋นซีกับลู่เซิ่งหลับตา ความคิดในใจไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง
ธูปไหม้หมดดอก ก็เป็นชุมนุมกลอนประกายทองที่บรรยากาศคึกคักไม่ธรรมดา ชุมนุมกลอนนี้แต่ละคนเข้าไปแต่งกลอนได้บทหนึ่ง แน่นอนว่าหัวข้อหลักแล้วแต่เจ้าอาวาสกำหนด
ของรางวัลวางบนเวทีสูงในลานกว้างนอกวัด คนหลายร้อยหลายพันคนชมความครึกครื้นอยู่รอบๆ ฟ้ามืดสลัว เห็นหัวคนที่แน่นขนัด
ลู่เซิ่งไม่สนใจพวกกาพย์กลอน และไม่มีเวลาร่วมชุมนุมกลอนที่น่าเบื่อ เขาให้คนจองห้องส่วนตัวบนหอที่อยู่ใกล้ลาน ก้มมองสภาพของชุมนุมกลอนในห้องส่วนตัวพร้อมกับเฉินอวิ๋นซี
“มุมนี้ดียิ่ง ได้ยินคนขับร้องกลอนด้านล่างพอดี ทั้งไม่ต้องลำบากเบียดเสียด” ลู่เซิ่งเข้ามาในห้อง ยิ้มพลางลากเฉินอวิ๋นซีไปถึงหน้าต่าง ก้มมองด้านหน้า
เวทีสูงตรงกลางลานกว้างที่ล้อมเป็นทรงกลม มีภิกษุชราสวมจีวรสีเหลืองหม่น กำลังพูดกับคนหนุ่มสาวที่ขึ้นไปร่วมชุมนุม
คนหนุ่มสาวเหล่านี้แบ่งเป็นคู่ๆ สีหน้าเชื่อมั่น แสดงว่าขึ้นไปกับคู่รักเพื่อจะทำตัวเด่น
อย่างไรถ้ากลอนที่แต่งได้รับการยอมรับ วัดจะสลักผลงานไว้บนผนังประกายทองด้านหนึ่งซึ่งวัดประกายทองสร้างขึ้นโดยเฉพาะ
“น่าเสียดายข้าไม่ถนัดกาพย์กลอน ไม่อย่างนั้นจะไปทดลองฝากชื่อบนผนังประกายทองดู” เฉินอวิ๋นซีมีท่าทีกระตือรือร้น
“ถ้าเจ้าต้องการ จะไปลองดูก็ได้” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม วัดประกายทองนี้ไม่ธรรมดา เบื้องหลังสมควรมีขุมกำลังคอยหนุน ไม่อย่างนั้นด้วยวิถีทางโลกที่อันตรายเช่นในปัจจุบัน ป้ายประกาศขนาดใหญ่แบบนี้ปักอยู่ชัดเจน จะต้องมีความยุ่งยากเล็กใหญ่ไม่เท่ากันส่วนหนึ่งมาหา
ช่องทางของพรรควาฬแดงเคยตรวจสอบวัดนี้ ข่าวที่ได้คือ มียอดฝีมือซ่อนตัวในวัด อย่างน้อยภูตผีปีศาจธรรมดาก็ไม่มีพลังต่อสู้กับวัดประกายทองแห่งนี้แม้แต่น้อย
“ข้าไม่ไหว ยังคงช่างเถอะ…” เฉินอวิ๋นซีหน้าแดงโบกมือติดต่อกัน ถอยหลังไปหนึ่งก้าว พอดีชนใส่ตัวลู่เซิ่งที่ยืนอยู่ด้านหลัง ผมงามที่ระไหล่โดนสันจมูกลู่เซิ่ง คันๆ อยู่บ้าง มีกลิ่นหอมจรุงใจ
เฉินอวิ๋นซีร่างแข็งทื่อ ยืนนิ่งอยู่กับที่
ลู่เซิ่งยิ้มๆ ถือโอกาสโอบเอวนางเบาๆ เฉินอวิ๋นซีกลับมีปฏิกิริยา รีบหมุนตัวหนีออกด้านข้างก้าวหนึ่ง
“พี่เซิ่ง ดูชุมุนุมกลอนก่อนเถอะ” นางหน้าแดงเรื่อ ก้มหน้ากล่าวเสียงอ่อย “ที่นี่…ที่นี่ไม่ได้…”
ลู่เซิ่งหมดคำพูด เขาไม่คิดทำอะไร คล้ายกับการโอบเอวจะทำให้เฉินอวิ๋นซีตกใจ “ดูชุมนุมกลอนๆ ” เขาพลันกล่าวติดต่อกัน
ทั้งสองคนยืนด้วยกันอีกรอบ ก้มมองคนแต่งกลอนด้านล่างจากหน้าต่าง เพียงแต่เฉินอวิ๋นซี มีสีหน้าเขินอายอยู่บ้าง
“ประกายทองออกห้องกลางวันกลางคืน น้ำค้างแข็งตกใต้ต้นจักรพรรดิ คัมภีร์ฟ้าหนังสือล้ำค่าหาได้ทั่ว วันอื่นกลับมาเข้าใจหทัยซ่อน”
กลอนของคนผู้หนึ่งด้านล่างผ่านการเห็นชอบ พระภิกษุตะโกนขึ้น ชนะอย่างงดงาม
“หทัยซ่อนเป็นขอบเขตหทัยซ่อนในตำนานที่วัดประกายทองบันทึกไว้ ว่ากันว่าพอเข้าสู่หทัยซ่อน ฟ้าดินประสาน มีโอกาสก่อเกิดมหามรรคา เชื่อมต่อฟ้า” เฉินอวิ๋นซีส่ายหน้ากล่าวเบาๆ “กลอนนี้ตอนแรกธรรมดา แต่ประโยคสุดท้ายบ่งชี้ว่าผู้คนค้นหาสมบัติทุกแห่งหน แต่ความจริงสมบัติที่มีค่าที่สุดซ่อนอยู่กับตัวเองยังไม่ทราบ ลีลาสูงขึ้น นับว่าไม่เลว เพียงแต่วัดประกายทองนี้เป็นวัดเล็กๆ ใช้กลอนแบบนี้ ออกจะใหญ่โตเกินไป”
ลู่เซิ่งพยักหน้าเห็นด้วย กลอนนี้เป็นเพียงระดับกลาง ครั้นนึกได้ว่าชุมนุมกลอนประกายทองไม่ใช่ชุมนุมกลอนตามปกติ แต่ว่าเป็นกิจกรรมร่วมสนุกยกระดับความคึกคักเท่านั้น ไม่มีเงื่อนไขเคร่งเครัดแต่อย่างใด
“อย่าได้ดูถูก วัดประกายทองมีคนเก่งอยู่ส่วนหนึ่ง” เขาเอ่ย
“พี่เซิ่งทราบได้อย่างไร” เฉินอวิ๋นซีมองเขา
“ในเมื่อข้าพูด อย่างนั้นไม่มีมั่วแน่” ลู่เซิ่งยิ้มเอ่ย
ตอนนี้ด้านล่างขับร้องกลอนอีกครั้ง กลอนบทที่สองซึ่งถูกคัดเลือกก็ปรากฏแล้ว
“จิ๊กจั๊กนางแอ่นขับขานทำนองเสนาะหู” ประโยคที่สองค่อนข้างเพราะ
ลู่เซิ่งกลับรู้สึกว่ามือร้อนขึ้น เฉินอวิ๋นซีที่อยู่ด้านข้างกลับแอบอิงหาเขามากขึ้นโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
นางถกกระโปรงสั้นสีเขียวมรกตขึ้นน้อยๆ ผิวของสองขาใต้ชายกระโปรงไม่ทราบแนบกับหลังมือของลู่เซิ่งตั้งแต่เมื่อใด ตอนตำแหน่งหลังขาอ่อนชิดมือเขา รู้สึกอบอุ่นอ่อนนุ่ม
ลู่เซิ่งมองเฉินอวิ๋นซี นางหน้าแดง คล้ายไม่รู้สึกตัว แต่การสัมผัสทางผิวเช่นนี้เหตุใดจะไม่มีความรู้สึก
โดยเฉพาะส่วนที่ไวต่อความรู้สึกเช่นหลังขาอ่อน ด้านบนก็เป็นส่วนสะโพกและจุดซ่อนเร้นแล้ว การอนุญาตที่โจ่งแจ้งแบบนี้ ทำให้ลู่เวิ่งงุ่นง่าน
เขาค่อยๆ พลิกหลังมือเป็นฝ่ามือ แนบกับขาอ่อนของเฉินอวิ๋นซี
เฉินอวิ๋นซีหน้าแดงกว่าเดิม กลับแสร้งเป็นดูชุมนุมกลอนเบื้องล่างต่อ
“จันทรา บงกชที่จิ่วเจียงคลื่นลมสงบ” กลอนประโยคที่สองถ่ายทอดมา
เฉินอวิ๋นซีกลับเป็นห่วงว่าลู่เซิ่งจะโกรธที่นางหลบเมื่อก่อนหน้านี้ ตอนนี้จึงคิดจะชดเชยให้เขา
‘ก่อนหน้าเราหลบพี่เซิ่ง ข้าชดเชยให้ เขาชอบขาข้า ก็ให้เขาแตะขาข้าก็พอ’ นางยังคงละอายต่อขาของตัวเอง ทั้งมีความคิดหยั่งเชิงลู่เซิ่ง ถ้าเขาไม่รังเกียจขายาวๆ ของนางจริงๆ จะต้องไม่หลบ
แม้บุรุษสตรีไม่อาจสัมผัสกัน เฉินอวิ๋นซีก็คิดอย่างไร้เดียงสาว่า อย่างไรก็ให้พี่เซิ่งแตะเล็กน้อย เพียงเล็กน้อยไม่เป็นไร นางชอบพี่เซิ่ง ตัดสินใจแล้วว่าต้องเป็นเขา สัมผัสเล็กน้อยไม่นับว่าเกินเลย
เฉินอวิ๋นซีคิดไม่ผิด ดูจากกระแสเปิดเผยของเมืองเลียบคีรีและแดนเหนือ สัมผัสขาไม่นับเป็นอะไรจริงๆ แต่นางกลับไม่ทราบว่า บุรุษพอเกิดไฟราคะขึ้นมา ภายหลังคิดจะผลักไสเขาง่ายๆ อีก แบบนั้นก็ยากแล้ว…
ลู่เซิ่งที่ด้านหลังนางตอนนี้สองตาร้อนผ่าว อุณหภูมิบนร่างสูงขึ้น ลูบไล้หลังขาอ่อนนาง อุณหภูมิระหว่างทั้งสองคนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
มือลู่เซิ่งเริ่มขยับไปด้านหน้าช้าๆ ลูบส่วนสำคัญของเฉินอวิ๋นซี
เฉินอวิ๋นซีร่างเริ่มร้อน อ่อนระทวย คิดผลักลู่เซิ่งออก กลับพบว่าเทียบแรงของตนกับอีกฝ่าย เหมือนกับมดแดงเขย่าต้นไม้ ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึง
“คุณชาย!”
ทันใดนั้นนอกห้องส่วนตัวแว่วเสียงร้องเรียก เพลิงราคะในใจลู่เซิ่งมอดดับลง
“เรื่องอันใด” ลู่เซิ่งสูดหายใจลึก เขาทราบว่าถ้าไม่มีเรื่องใด องครักษ์ใกล้ชิดเหล่านี้จะไม่รบกวนเขา
ปราณหยินหยางขวดสมบัติโคจร สะกดเพลิงราคะในใจ ดวงตากระจ่าง ชักมือกลับจากขาอ่อนของเฉินอวิ๋นซี
“มีจดหมายด่วนส่งมา” องครักษ์ใกล้ชิดนอกประตูตอบเสียงทุ้มต่ำ
ลู่เซิ่งผละจากเฉินอวิ๋นซี เดินไปเปิดประตู รับจดหมายผนึกเทียนฉบับหนึ่งจากในมือองครักษ์ใกล้ชิด
เปิดจดหมายอ่านเนื้อหา ลู่เซิ่งสองตาเคร่งเครียด
หลี่ซุ่นซีเกิดเรื่องแล้ว
พี่น้องตระกูลหลิ่วเป็นคนส่งจดหมายมา ในพันธมิตรบู๊ตรวจสอบคนทรยศ เจอคนห้าคนมีปัญหา หลี่ซุ่นซีถูกคนใส่ร้ายโดยไม่รู้ตัวในการตรวจสอบครั้งหนึ่ง คนอื่นๆ เจอเบาะแสไม่น้อยในที่อยู่ของเขา เบาะแสเหล่านี้บ่งชี้ว่าเขาฆ่าคนเก่าแก่คนหนึ่งในพันธมิตร
ผู้นำพันธมิตรบู๊โกรธกริ้ว กักขังเขาไว้ ตอนนี้กำลังรอการตัดสิน หลิ่วฉินเขียนจดหมายมา ขอให้เขาไปเป็นพยานแทนหลี่ซุ่นซี พิสูจน์ว่าเขาไม่ใช่ฆาตกร ถ้าทำได้ ขอให้เขาช่วยเหลือเมื่อมีโอกาส สหายเพียงหนึ่งเดียวที่ควรค่าแก่การเชื่อถือ มีแต่หลี่ซุ่นซีแล้ว
แต่ลู่เซิ่งกลับได้กลิ่นผิดปกติจากในเรื่องราวนี้
เขาค่อยๆ พับจดหมาย ประกบสองมือ เร่งเร้าปราณเข็มทิ่มแทง เสียดสีจดหมายกลายเป็นผุยผงในพริบตา
……………………………………….
[1] เค่อ หน่วยวัดเวลาของจีน หนึ่งเค่อเท่ากับประมาณ 15 นาที