บทที่ 154 มาถึง (2)
คฤหาสน์ตระลู่
ลู่เซิ่งนั่งอยู่หน้ารูปอีกาดำสี ข้างต้นสนสีเขียวขจีดั่งอาชาใหญ่ดาบทอง มือถือน้ำชาจิบช้า กลิ่นหอมจรุงใจแผ่กระจายทั่วโถงรับแขก แสดงถึงความสงบและความหนักแน่น
“คุกเข่า!”
มังกรเขียวทะยานถีบใส่หัวเข่าหยางอวิ๋นตู้ จนอีกฝ่ายทรุดลงตรงหน้าลู่เซิ่ง
หยางอวิ๋นตู้ไม่กล่าววาจา ตะเกียกตะกายจะลุกขึ้น ก็ถูกถีบจนคุกเข่าอีกรอบ เขาจึงจำเป็นต้องเชื่อฟัง ไม่ขยับอีก
ลู่เซิ่งมองบัณฑิตหนุ่มใบหน้างดงามตรงหน้า สีหน้าไม่แยแสสนใจ
“คิดดีรึยัง”
หยางอวิ๋นตู้ยิ้มอย่างเจ็บปวดใจ
“คิดไม่ถึงข้าผู้แซ่หยาง ลำบากซุ่มซ่อนมาหลายปี กลับถูกจับได้เพราะเรื่องนี้” เขาเงยหน้ามองลู่เซิ่ง
“ถ้าข้าไม่ยอมรับ ท่านจะทำเช่นไร”
ลู่เซิ่งปรายตามองเขา
“หย่าภรรยาหลวงในตอนนี้ เอาสินสอดมาแต่งลู่อิงอิงอย่างเป็นทางการ ไม่อย่างนั้นก็ตายทั้งบ้าน เจ้า…เลือกแบบไหน”
หยางอวิ๋นตู้พลันตะลึงงัน เขาฟังออกว่าลู่เซิ่งไม่ได้ล้อเล่น แต่คิดลงมืออย่างเด็ดขาดจริงๆ
เขาได้รับคำชี้แนะจากคนแปลกหน้าตั้งแต่เด็ก ลำบากฝึกฝนอวิชชา พลังเพิ่มขึ้นทุกวัน คิดไม่ถึงมาถึงระดับในตอนนี้ ยังถูกคนจับได้
“ท่านไม่กลัวว่าข้าจะหนีไปภายหลังหรือ” หยางอวิ๋นตู้ถามอีก
“ถ้าเจ้าหนี ข้าจะฆ่าเจ้าทั้งบ้าน” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างไม่นำพา
“แต่ข้าไม่ได้คบหากับลู่อิงอิงอย่างจริงใจ ท่านไม่กลัวว่าวันหน้า ข้าจะไม่ดีต่อนางหรือ”
“ไม่ดีก็ฆ่าเจ้าทั้งบ้านเหมือนกัน” ลู่เซิ่งพูดต่อ
หยางอวิ๋นตู้รู้สึกว่าคุยกับอีกฝ่ายไม่รู้เรื่องแล้ว ยอดฝีมือสำนึกปลอดโปร่งที่น่าเกรงขาม คุณชายผู้สง่างามเช่นเขา หรือจะถูกข่มขู่ให้อยู่กับลู่อิงอิงเช่นนี้จริงๆ
เขาไม่ยินยอม
“ยังมีปัญหาไหม” ลู่เซิ่งมองเขา
“พวกท่านเชื่อข้าจริงๆ หรือ เชื่อว่าข้าจะอยู่กับลู่อิงอิงต่อไป” หยางอวิ๋นตู้ไม่ยอมเชื่ออยู่บ้าง
“ไม่เชื่อ” ลู่เซิ่งตอบอย่างจริงจัง “แต่ข้าเชื่อดาบในมือ”
หยางอวิ๋นตู้ปวดหัว
อีกฝ่ายไม่สนใจว่าก่อนหน้านี้เขาเป็นโจรเด็ดบุปผาหรือไม่ ท่าทีของคนผู้นี้คือ ไม่สนว่าเป็นคนดีหรือไม่ จับยัดใส่กรง ถือดาบคุมไว้ เดี๋ยวก็เชื่อฟังเอง
จำเป็นต้องพูดว่า วิธีแบบนี้แม้หยาบกระด้าง แต่ก็ได้ผล
ผ่านไปไม่นาน หยางอวิ๋นตู้ก็ยินยอม พลังของเขาเมื่ออยู่ในมือลู่เซิ่งยังต้านนิ้วข้างเดียวไม่ได้ ทั้งมียอดฝีมือไม่รู้กี่คนล้อมอยู่ด้านนอก
ต่อให้คิดหนี อาณาเขตอันกว้างใหญ่ของแดนเหนือก็เป็นใต้หล้าของพรรควาฬแดง เขาจะหนีไปไหนได้
หลังจากจัดการเรื่องหยางอวิ๋นตู้แล้วเสร็จ ลู่เซิ่งก็ให้อวี้เหลียนจื่อคอยจับตาดู ส่วนตนเองกลับไปคฤหาสน์ลู่ พบปะกับผู้เยาว์ของตระกูล
ฤดูสารทเย็นเยือก ใบไม้ลอยว่อน
วันต่อมา
ในสวนเล็กๆ ของคฤหาสน์ลู่
ลู่เซิ่งกำลังสนทนาอยู่กับพวกลู่เทียนหยางและลู่อีอี คุยถึงการเปลี่ยนแปลงส่วนหนึ่งในบ้าน อีอีอาศัยในสถานศึกษาที่อื่น ยังมีการสนทนาขอคำชี้แนะด้านการเรียน
ครั้งนี้ผู้เยาว์ในบ้านมากันครบแล้ว
ลู่หงอิงลูกผู้พี่บุตรของลุงใหญ่ เดิมฝึกฝนวรยุทธ์ด้านนอก ครั้งนี้กลับบ้านก็ตามบิดาย้ายมาเมืองเลียบคีรี
ลู่หงอิงมีความสามารถ ท่วงท่าน่าเกรงขาม อายุยังน้อยก็มีจอนเสน่ห์ บวกกับฝึกฝนวรยุทธ์จึงพร้อมด้วยกำลังวังชา นั่งท่ามกลางผู้เยาว์ให้ความรู้สึกหนักแน่นราวเขาไท่ซาน
ลู่เทียนหยางยังเป็นเหมือนเดิม ลักษณะดั่งดื่มสุรามากไป ขอบตาดำจากการนอนไม่พอ
ลู่อีอีโตขึ้นไม่น้อย ก่อนหน้านี้มีบุคลิกของสตรีตระกูลใหญ่อันบริสุทธิ์ ตอนนี้มีความสง่างามที่มาจากความมั่นใจ และความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ กอปรกับนางมีรูปร่างหน้าตาที่ดี จึงค่อนข้างสะดุดตาในกลุ่มคนรุ่นเยาว์
ถัดมาคือจางซิ่วซิ่ว สตรีนางนี้จงใจนั่งใกล้ลู่เซิ่ง สวมเสื้อคอต่ำสีดำติดกับกระโปรงสั้น กระเซ้ากระแซะตัวลู่เซิ่งตลอดเวลา ลักษณะยั่วยวนรัญจวนใจ
นางเป็นลูกผู้น้องฝั่งตาของลู่เซิ่ง ไม่สนิทกันนัก ในตระกูลลู่ก็ไม่มีตำแหน่งใด คิดเกาะลู่เซิ่งก็เข้าใจได้
คนสุดท้าย คือดรุณีที่ลู่เซิ่งไม่ได้เจอบ่อยนัก
ซุนรั่วฉิง
เป็นบุตรีของน้องชายมารดา หรือก็คือน้าของเขา เป็นลูกผู้น้องเหมือนกับลู่อีอี
ลู่อีอีเป็นซุนจื่อนิ่งน้องสาวของมารดากับลู่เตี่ยนของตระกูลลู่แต่งงานกันและให้กำเนิด ลู่เตี่ยนเป็นเพราะไม่ใช่ญาติสายตรง ดังนั้นจึงนับญาติทางซุนจื่อนิ่ง
กล่าวง่ายๆ คือ ลู่อีอีเป็นบุตรีของน้าเขา
ที่เหลือมีญาติทางไกล รวมกันสิบกว่าคน ห้อมล้อมลู่เซิ่งที่อยู่ตรงกลาง
ทุกคนพูดคุยกันสนุกสนาน นั่งในศาลากลางสวนดอกไม้ ท่านหนึ่งคำข้าหนึ่งประโยค บรรยากาศปรองดอง
ขณะคุยกันอยู่ คนชุดดำเข้ามากระซิบข้างหูลู่เซิ่งหลายคำ
ลู่เซิ่งงงงัน จากนั้นใคร่ครวญ
“ข้ามีธุระต้องไปจัดการ พวกเจ้าคุยกันไปก่อน เรื่องหงอิงกับอีอี เดี๋ยวจะจัดการให้”
“พี่ใหญ่ท่านมีงาน พวกเราเป็นคนอยู่ว่าง กินดื่มเที่ยวยามว่างยังพอว่า หากทำให้ท่านเสียการเสียงานก็ไม่ดีแล้ว” ลู่หงอิงลุกขึ้นส่ง
“อือ มีปัญหาอะไรก็ให้คนส่งจดหมายไปที่ห้องเพาะดอกไม้หยกทอง ข้าไปก่อน” ลู่เซิ่งพยักหน้า
ทุกคนพากันลุกขึ้นส่งเขาออกจากสวนดอกไม้
ลู่เซิ่งออกจากตระกูลลู่ รถม้ารออยู่ด้านนอก เขาขึ้นรถ อวี้เหลียนจื่อนั่งคอยอยู่ด้านใน
“ประมุขพรรค” อวี้เหลียนจื่อโค้งตัวคารวะ
“เจอแห่งหนึ่งแล้วใช่หรือไม่ ตรวจสอบแล้วหรือ” ลู่เซิ่งถามเสียงขรึม
เขาคิดไม่ถึงว่าจะเจอยาล้ำค่าที่หลี่ซุ่นซีทิ้งไว้ให้เร็วขนาดนี้
“ตรวจสอบแล้ว มั่นใจสิบส่วนว่ามีแน่ เพียงแต่สถานที่อันตรายไปบ้าง” อวี้เหลียนจื่อตอบเสียงเบา “แรกสุดยืนยันว่าเป็นหญ้าผนึกวิญญาณ ทั้งหมดสองต้น ว่ากันว่ามีนายพรานกับคนเก็บยาเคยเห็นแต่ไกล แต่เป็นเพราะซ่อนอยู่ในม่านหมอก จึงเก็บไม่ได้ คล้ายมีสัตว์ร้ายเฝ้าอยู่”
ลู่เซิ่งพยักหน้า
“ยืนยันได้ว่าเป็นของจริงก็พอแล้ว” หลังยืนยันได้ว่าลายแทงสมบัติเป็นของจริง นั่นก็หมายความว่ายาล้ำค่าชนิดอื่นๆ ที่อยู่ด้านบนเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นของจริงทั้งหมดเช่นกัน
ยาล้ำค่ามีส่วนช่วยต่อเขามาก บางชนิดถึงขั้นลดการสูญเสียปราณหยินได้อย่างใหญ่หลวง การใช้ยาล้ำค่ากับวิชาหยินหยางกระเรียนหยก สามารถยกระดับขอบเขตวรยุทธ์ส่วนหนึ่งได้ ร่างกายไม่บาดเจ็บ
นี่ยังเป็นแค่ยาล้ำค่าทั่วไป
“ข้าจะกลับไปปิดด่าน” ลู่เซิ่งครุ่นคิด เรียบเรียงคำพูด เอ่ยว่า “ห้าวันให้หลัง ท่านระดมมือดีมา ทั้งหมดต้องเป็นมือหน้าไม้”
“รับทราบ!”
“นอกจากนี้ ผู้เยาว์ในบ้านข้า ลู่หงอิงกับลู่อีอี ท่านหาตำแหน่งว่างให้ที ไม่ต้องสำคัญเกินไป เอาที่สบายๆ ให้พอเลี้ยงตัวเองได้”
“ขอรับ”
จัดการทุกอย่างแล้วเสร็จ ลู่เซิ่งก็ไปหาเฉินอวิ๋นซี เยี่ยมภรรยาที่ยังไม่ได้แต่งและไม่ได้ออกเรือน ภายหลังก็กลับเรือวาฬแดง
พรรควาฬแดงที่ใหญ่โตส่วนใหญ่เป็นเหล่าระดับสูงจัดการหน้าที่ของตัวเอง เขาไม่ต้องลงมือเอง มีแต่ตอนเจอเรื่องใหญ่และจัดการเรื่องใหญ่ ค่อยให้เขาออกโรง
ดังนั้นเขาจึงมีพื้นที่และเวลามากพอสำหรับใช้สิ่งของที่ออกไปหามาในครั้งนี้
…
ในห้องสงบใจ
ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิ วางขี้ผึ้งสุคนธ์ทองไว้ด้านข้างหลายไห ยังมีน้ำแกงโอสถที่ปรุงดีแล้วสองถัง
‘ดีปบลู’ เขาสูดหายใจลึก เรียกเครื่องมือปรับเปลี่ยนที่ไม่ได้ตรวจสอบมานานออกมา
ในวิชาจำนวนมากที่ไม่เป็นระเบียบ สายตาเขาอยู่ที่วิชาเก้าพิฆาตแดงฉาน
‘ปราณหยินที่ได้จากพรรคชาในครั้งก่อนยังใช้ไม่หมด ครั้งนี้หลอมสภาพหยินโชติช่วงที่สอดคล้องกันได้’
สภาพหยางโชติช่วงได้มาหลังจากสำเร็จวิชาแข็งกร้าว สภาพหยินโชติช่วง ลู่เซิ่งรู้สึกว่าปราณหยินหยางขวดสมบัติคล้ายมีความหวังผนึกหลอม
‘พลังฝึกปรือของเราในตอนนี้แบ่งเป็นสองส่วนง่ายๆ คือกายเนื้อกับปราณภายใน’ ลู่เซิ่งจัดระเบียบความคิด
‘กายเนื้อเมื่อแข็งแกร่งพอ ปราณภายในก็จะควบแน่นต่อได้ ยิ่งควบแน่นปราณภายในมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งแข็งแกร่งเท่านั้น เวลารับมือภูตผีปีศาจจะมีพลังทำลายล้างที่แข็งแกร่งกว่าเดิม’
เขาพิจารณาวิชาแข็งกร้าวที่ไม่เป็นระเบียบซึ่งตัวเองได้เรียนรู้
‘เราฝึกวิชาแข็งกร้าวมากเกินไป แต่ว่าทั้งหมดไม่ซ้อนทับกันเอง พอประสานกันแล้ว จึงกลายเป็นสภาพที่แข็งแกร่งอย่างสภาพหยางโชติช่วง เมื่อรวมวิชาแข็งกร้าวกับวิธีฝึกฝนทั้งหมดเข้าด้วยกัน อาจจะมองวิชาแข็งกร้าวพวกนี้เป็นวรยุทธชนิดหนึ่ง แล้วดูแลแบบรวมๆ ได้’
เขาคิดในใจ ความคิดนี้เพิ่งปรากฏได้ไม่นาน
ทันใดนั้นบนเครื่องมือปรับเปลี่ยนสั่นเบาๆ วิชาแข็งกร้าวทั้งหมดเริ่มจางลง จากนั้นแต่ละแถวก็เริ่มหายไป สุดท้ายรวมตัวเป็นกรอบกรอบใหม่
[วรยุทธ์ปริศนา: ขอบเขตหยางโชติช่วง ผลพิเศษ: พละกำลังเพิ่มเป็นระดับหก สะท้อนกลับระดับสาม พลังทะลวงระดับสาม พลังป้องกันเพิ่มเป็นระดับสาม…]
ผลพิเศษของวิชาปรากฏทีละอย่าง ด้านหลังวรยุทธ์รวมที่ปรากฏขึ้นใหม่กลายเป็นชื่อยาวเฟื้อย
‘ทำแบบนี้ได้ด้วยหรือ’ ลู่เซิ่งงุนงง พลันยินดี
จำนวนกรอบบนเครื่องมือปรับเปลี่ยนมีจำกัด เขาเป็นห่วงว่าภายหลังจะฝึกฝนวรยุทธ์ใหม่ๆ ไม่ได้ คิดไม่ถึงจะรวมกันแบบนี้ได้
‘ในเมื่อวิชาแข็งกร้าวจำนวนมากแบบนี้รวมกันแล้วสามารถกระตุ้นสภาพหยางโชติช่วงได้ วรยุทธ์นี้ก็บอกได้ว่าเป็นวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดของการฝึกวิชาแข็งกร้าว งั้นก็ตั้งชื่อว่าวิถีหยางโชติช่วงก็แล้วกัน’ ลู่เซิ่งไตร่ตรอง
จากนั้นวรยุทธ์ปริศนาบนเครื่องมือปรับเปลี่ยน ก็เปลี่ยนชื่อเป็นวิถีหยางโชติช่วงโดยอัตโนมัติ
กรอบที่วิชาแข็งกร้าวยึดครองหายไปเป็นจำนวนมาก เครื่องมือปรับเปลี่ยนดูโล่งตากว่าเดิม
ลู่เซิ่งมองวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานกับปราณหยินหยางขวดสมบัติด้านใน
‘ยกระดับวิถีหยางโชติช่วง เพิ่มความแข็งแกร่งให้กายเนื้อก่อน’
ครั้งก่อนใช้ปราณหยินไปเกือบสามสิบหน่วย ไม่รู้ว่าเหลืออยู่เท่าไหร่ ลู่เซิ่งไม่มีวิธีวัดอย่างชัดเจน ได้แต่คำนวณคร่าวๆ ผ่านการไหลเวียนของปราณหยินที่เกิดขึ้นขณะถูกใช้
เขามองปุ่มกดด้านหลังวิถีหยางโชติช่วงบนเครื่องมือปรับเปลี่ยน ปราณหยินเรียนรู้ต่อได้อีกมาก
ช่วงนี้เขาตั้งใจศึกษาฝ่ามือลมปราณพันพฤกษาเผาไหม้ที่ได้มาใหม่ เป็นเพราะความเข้ากันได้กับคุณสมบัติธาตุหยางและระดับวิชาแข็งกร้าวของเขาสูงสุดขีด จึงเข้าสู่ขั้นต้นได้อย่างรวดเร็ว ตอนนี้วิชาลมปราณนี้หลอมรวมเข้าไปในวิถีหยางโชติช่วงแล้ว
[ยกระดับวิถีหยางโชติช่วงขั้นหนึ่ง] ลู่เซิ่งคิดในใจ
ครึ่กๆ!
พริบตานั้น เครื่องมือปรับเปลี่ยนพลันพร่ามัว
การเรียนรู้ยกระดับในครั้งนี้ของเขาแตกต่างจากก่อนหน้า
เป็นเพราะวิถีหยางโชติช่วงหลอมรวมมรรคายุทธ์วิชาแข็งกร้าวไว้หลายวิชา ยกระดับมันขั้นหนึ่ง ก็เท่ากับยกระดับวิชาแข็งกร้าวทั้งหมดระดับหนึ่ง
การสิ้นเปลืองแบบนี้ทำให้ลู่เซิ่งนึกเสียใจแล้ว…
ปราณหยินจำนวนมากถูกใช้อย่างบ้าคลั่งเหมือนคลื่นน้ำ ผิวหนังทั่วตัวเขาเริ่มกลายเป็นสีแดง ผมนับไม่ถ้วนสั่นไหวไม่เท่ากัน ยืดยาวขึ้นบนตัวเขาอย่างต่อเนื่อง
นี่ไม่ใช่ปราณภายใน ไม่ใช่วัตถุ แต่เป็นการสั่นสะเทือนหลายครั้ง การสั่นสะเทือนที่ไม่เท่ากันของเส้นผม
การสั่นสะเทือนนี้ยกระดับและปรับกายเนื้อของลู่เซิ่งอย่างบ้าคลั่ง
ถ้าเป็นจอมยุทธ์ธรรมดา อยากบรรลุระดับนี้ จำเป็นต้องเรียนรู้วรยุทธ์เหล่านี้ทั้งหมดจนทำลายขีดจำกัด ภายหลังยังต้องหลอมรวมเข้าด้วยกัน และเลื่อนขั้นพร้อมๆ กัน จนก่อให้เกิดการกระตุ้นกายเนื้อ ถึงจะบรรลุผลเช่นนี้ได้
หากไม่มีเครื่องมือปรับเปลี่ยน ต่อให้เป็นลู่เซิ่ง อย่างน้อยต้องใช้เวลามากกว่าร้อยปีถึงจะมีโอกาสทำให้เป็นจริงได้
……………………………………….