บทที่ 162 ทดลอง (4)
หวงชิวหยวนหรือ
ลู่เซิ่งไม่รู้จักหวงชิวหยวน คนที่เขาคุ้นเคยคือพรรคสองสามพรรคในเมืองเลียบคีรี คนพวกนี้ดูจากการแต่งกาย ไม่เหมือนคนของเมืองเลียบคีรี
“ขุนนางนอกราชการเซียวก็เชิญพวกท่านเหมือนกันหรือ” ลู่เซิ่งถามโดยไม่คิดอะไร
“ใช่แล้ว พวกเราต่างมาพบขุนนางนอกราชการเซียว” คนเหล่านี้รีบตอบอย่างเคารพ พรรควาฬแดงมีชื่อเสียงโด่งดังในแดนเหนือ ได้รับการยกย่องเป็นพรรคอันดับหนึ่งแห่งแดนเหนือ ถึงแม้ขุมกำลังของพวกเขาในแต่ละอาณาเขตจะไม่เลว แต่เทียบกับพรรควาฬแดงยังห่างกันไกล ต้องปฏิบัติด้วยความเคารพ
ลู่เซิ่งได้รับการยืนยันคำตอบ ก็ขมวดคิ้วน้อยๆ ก่อนพยักหน้า
“ข้าไปก่อนก้าวหนึ่ง”
“ประมุขพรรคตามสบายๆ” ทุกคนรีบผงกศีรษะ
ลู่เซิ่งออกจากประตู เห็นเซียวหงเย่ยืนรอเขาอยู่ด้านนอก
“ขออภัยด้วยพี่ลู่ คำสั่งของผู้อาวุโสในจวน เรื่องราวสำคัญ…” เซียวหงเย่ยิ้มอย่างหนักใจพลางประสานมือให้ลู่เซิ่ง
“พี่เซียวพูดอะไร ผู้อาวุโสมาถึงเมืองเลียบคีรี ผู้เยาว์อย่างข้ามาเยี่ยมเยือนถือว่าสมเหตุสมผล” ลู่เซิ่งยิ้มในหน้า เขากับเซียวหงเย่เดิมมีความสัมพันธ์เป็นเพื่อนร่วมงาน ไม่ได้มีการคบหาอะไร ย่อมไม่ต้องตีสนิท
“รองประมุขจวนเย่มาเอง ข้าก็ตกใจเหมือนกัน” เซียวหงเย่กล่าวอย่างจนปัญญา “ก่อนหน้านี้เพลิงไหม้ทางด้านนั้นทำลายทุกอย่างในวันเดียว ทำให้คนอกสั่นขวัญแขวนแล้ว ตอนนั้นคนผู้นั้นกลับมา รองประมุขจวนก็มาถึง แดนเหนืออุตส่าห์สงบลง หรือจะปั่นป่วนอีกครั้ง”
“คนผู้นั้นหรือ” ลู่เซิ่งเลิกคิ้ว คิ้วที่เพิ่งงอกจางมาก ทำให้เขายังคงดูดุร้ายเหมือนเดิม
“ไม่ใช่ผู้คุมจัตุรัสแดงหรอกหรือ” เซียวหงเย่ไม่รู้ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจพูดถึง “คนผู้นั้นเด็ดเดี่ยวเฉียบขาด พอกลับมาพบว่าบ้านถูกรื้อทำลาย ก็โมโหจนคลั่ง จับคนจำนวนมากในคราวเดียว แม้แต่รองประมุขจวนของข้าก็จำเป็นต้องตรวจสอบด้วย มีแต่เรื่องน่าวิตกจริงๆ”
“ผู้คุมจัตุรัสแดงกลับมาแล้วหรือนี่” ลู่เซิ่งแสดงความกระวนกระวายที่เหมาะกับเวลา อย่างไรก่อนหน้านี้เขาก็เป็นขุมกำลังในสังกัดตระกูลเจิน ตระกูลเจินกับจัตุรัสแดงเป็นศัตรูกัน ถ้าผู้คุมจัตุรัสแดงเพลิงโทสะพวยพุ่ง มาระบายกับพรรควาฬแดง นั่นก็อันตรายจริงๆ แล้ว
ดังนั้นการเฉยเมยในเวลานี้ กลับเป็นการแสดงออกที่ผิดปกติ
“ประมุขพรรครีบแจ้งคุณหนูจิ่วหลี่โดยเร็วที่สุดจะดีกว่า” เซียวหงเย่เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
ลู่เซิ่งสีหน้ากลับเป็นปกติ พยักหน้าน้อยๆ
“ขอบคุณพี่เซียวที่บอก ลาก่อน” เขาผลุนผลันจากไป พาสวีชุยขึ้นรถม้า ไม่ทันไรก็หายไปในม่านวิกาล
เซียวหงเย่ยืนหน้าประตูมองตามจนเขาจากไป ค่อยกลับไปด้านหน้าประตูโถงหลัก ตอนนี้บุรุษวัยกลางคนหลายคนที่เพิ่งเข้าไป ออกมาพร้อมกับเหงื่อที่แตกเต็มศีรษะ พากันคารวะเขา แล้วรีบผละไป
เซียวหงเย่รอคนจากไป จึงเข้าไปในโถงหลัก
“รองประมุขจวน” เขามองเงาคนที่ยืนหันหลังให้ “เรื่องที่ผู้คุมจัตุรัสแดงกลับมาได้แจ้งให้ตระกูลซั่งหยางทราบแล้ว”
“อือ ดีแล้ว” เย่หลิงม่อหมุนตัวมา “ซั่งหยางจิ่วหลี่เป็นอัจฉริยะอันดับสองของตระกูลซั่งหยาง ตอนนี้กำลังปิดด่าน เกรงว่ากำลังเลื่อนจากระดับสัตตะลักษณ์ คิดก้าวสู่ระดับอสรพิษ อัจฉริยะแบบนี้ถ้าเข้าสู่ระดับอสรพิษ เกรงว่าตระกูลซั่งหยางจะมีตัวเลือกประมุขตระกูลเพิ่มมาอีกคน”
“ถูกต้อง” เซียวหงเย่พยักหน้า “เมื่อเป็นแบบนี้ ตระกูลซั่งหยางจะต้องให้ความสำคัญกับซั่งหยางจิ่วหลี่เพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่ง คุณหนูซั่งหยางจิ่วหลี่ผู้นี้ใจร้อนขี้โมโห ส่วนผู้คุมจัตุรัสแดงก็ไม่เกรงฟ้ากลัวดิน…” เขาไม่ได้พูดประโยคหลังต่อ
“ข้าเข้าใจความหมายของท่าน” เย่หลิงม่อยิ้มๆ “ดูการเปลี่ยนแปลงเงียบๆ ก็พอ”
…
ลู่เซิ่งพอกลับมาถึงเรือวาฬแดง ก็เข้าสู่ห้องสงบใจเพื่อปิดด่านทันที ขณะเดียวกันก็พาสตรีกางร่มมาด้วย
เขาเดินวนรอบสตรีกางร่มสองสามรอบ เหมือนกับกำลังสำรวจอีกฝ่าย และเหมือนกำลังพิจารณาอะไรบางอย่าง
สตรีกางร่มกลัวจนไม่กล้าขยับเขยื้อน
เวลาค่อยๆ ผ่านไป
ไม่นานนักลู่เซิ่งก็พลันเอ่ย
“พี่สาวเจ้ากลับมาแล้ว…”
สตรีกางร่มงงงัน ก่อนจะยินดี กำร่มแดงไว้แน่น
“จริง…หรือ”
“เจ้าอยากกลับไปหรือไม่” ลู่เซิ่งยิ้มพลางมองนาง
สตรีกางร่มลังเล นางไม่รู้ว่าลู่เซิ่งกล่าวคำพูดนี้มีเจตนาใด แต่ว่าดูจากเปลือกนอกของอีกฝ่าย คล้ายไม่เหมือนคนที่จะปล่อยนางไปง่ายๆ
“พี่สาวเจ้ามีอันตายมาก ตอนนี้ข้าเองก็มีอันตรายมากเหมือนกัน ศัตรูของพี่สาวเจ้า ก็คือศัตรูที่้ข้ากำลังตามหา ดังนั้นข้ายินดีปล่อยเจ้ากลับไป แน่นอนว่าต้องมีเงื่อนไข” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม จงใจพูดกำกวม
“เงื่อนไขอะไร” แม้จะตื่นเต้นประหลาดใจ รอบนี้สตรีกางร่มกลับไม่ติดอ่างแล้ว
“ข้าจะปล่อยเจ้ากลับไปในเวลาที่เหมาะสม ของบนร่างเจ้า ข้าจะไม่ปลดไว้ ขอแค่เจ้าไม่พูดเรื่องเกี่ยวกับข้า ไม่บอกความลับกับพี่สาวเจ้า ของสิ่งนั้นก็จะไม่ทำงาน” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างผ่อนคลาย “เงื่อนไขในการปล่อยเจ้ากลับไปคือ เจ้าจำเป็นต้องอยู่ข้างกายผู้คุมจัตุรัสแดง ช่วยข้าปกปิดเรื่องจัตุรัสแดงถูกข้าทำลาย”
สตรีกางร่มเงียบงัน
ช่วงนี้นางรู้สึกได้ว่า เมล็ดพันธุ์ประหลาดเม็ดนั้นประสานกับร่างกายของตนสมบูรณ์แล้ว ตอนนี้ถ้าคิดจะเอาของสิ่งนั้นออกมา ได้แต่ดึงออกพร้อมกับกายและวิญญาณเก้าส่วน ผลลัพธ์สุดท้ายคือวิญญาณสลาย
นางไม่อยากตาย แต่ก็ไม่คิดทรยศพี่สาวเช่นกัน
“ข้า…จะไม่…ทรยศท่านพี่…ให้ตายก็ไม่ทำ” สตรีกางร่มดวงตาฉายแววเด็ดเดี่ยว
“ข้าจะไม่ทำร้ายพี่สาวเจ้า และไม่มีความสามารถนี้เช่นกัน” ลู่เซิ่งยิ้มเอ่ย “ข้าแค่อยากปกป้องตัวเอง มีชีวิตอยู่ต่ออย่างสงบสุข แค่นี้เท่านั้น เงื่อนไขแค่นี้เจ้าคงจะให้ข้าได้กระมัง”
สตรีกางร่มใคร่ครวญ นางทดลองมาหลายวิธีแล้ว แต่ไม่อาจขับของสิ่งนั้นในร่างออกไปได้
ถ้าหากบอกว่าตระกูลขุนนางอาศัยการขุดค้นตนเองเพื่อให้ได้มาซึ่งพลัง ถ้าอย่างนั้นภูตผีเช่นพวกนางก็อาศัยการกลืนกินความกลัว เลือด และพลังงานเสริมความแข็งแกร่งให้ตัวเอง
ภูตผีควบคุมร่างกายของตัวเองได้ละเอียดอ่อนเหมือนกับคนจากตระกูลขุนนาง
ความละเอียดอ่อนในการควบคุมของนางที่อยู่ในฐานะรองผู้คุมจัตุรัสย่อมสูงกว่า แต่ยังคงไม่อาจกำจัดของเล่นชิ้นนั้น
สตรีกางร่มรู้ว่าท่านพี่ของนางก็ทำไม่ได้เหมือนกัน เป็นเพราะพูดถึงการควบคุมอย่างละเอียด ท่านพี่ของนางยังสู้นางไม่ได้
พลังของท่านพี่ของนางแข็งแกร่งมากถึงขั้นที่ตัวเองก็ควบคุมไม่ได้ทั้งหมด ปกติแล้วจะไม่ลงมือง่ายๆ เกิดลงมือก็จะควบคุมความแข็งแกร่งไม่ได้ ดังนั้นด้านการควบคุมอย่างละเอียด นางกลับเหนือกว่าขั้นหนึ่ง
ก่อนที่จะรู้ว่าพี่สาวรับมือกับของเล่นสภาพตาข่ายนี้ได้หรือไม่ นางเมื่อทำไม่ได้ ก็ไม่กล้าเปิดเผยเรื่องนี้
สตรีกางร่มเงยหน้ามองลู่เซิ่งที่อยู่ด้านหน้า
“ท่านรับปากว่าจะ…ปล่อยข้าไปจริงๆ หรือ”
“ข้าไม่มีความจำเป็นต้องหลอกเจ้า” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างสงบ
สตรีกางร่มทราบความลับของเขามากมาย อย่างเช่นการสังหารผู้ประกอบพิธีจวนอู๋โยว และการทำลายจัตุรัสแดง ดังนั้นไม่อาจปล่อยนางไปง่ายๆ
เมื่อลู่เซิ่งพูดแบบนี้ ย่อมมีแผนการของตัวเอง
“ย่อมไม่ใช่ตอนนี้” ลู่เซิ่งเสริมประโยคหนึ่ง ตอนนี้เขากำลังถ่วงเวลา รอการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณสมบัติหลังการประสานหยินหยางของตนลอกคราบโดยสมบูรณ์
ส่วนที่จะปล่อยสตรีกางร่ม ตกลงแล้วจะปล่อยนางจริงหรือไม่ บางทีแม้แต่สตรีกางร่มเองยังไม่เชื่อ
หลายวันมานี้ ลู่เซิ่งขุดค้นความสามารถของข่ายกระเรียนหยินจนปรุโปร่งแล้ว
ควบคุมวิญญาณ กลืนกลายวิญญาณ ทำให้มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของปราณขวดสมบัติโดยสิ้นเชิง สตรีกางร่มกับภูตผีที่ถูกทำเป็นตัวทดลองหลายตน เป็นตัวอย่างที่มีชีวิต
“เจ้าคิดดู พวกเรากับพวกเจ้า จัตุรัสแดงไม่ได้มีความแค้นเทียมฟ้า ไม่มีความจำเป็นต้องฆ่าฟันกับผู้คุมจัตุรัสของพวกเจ้า” ลู่เซิ่งอธิบาย “คู่แค้นคบง่ายฆ่ายาก เพียงแค่ทำลายผีป่าวิญญาณเลวส่วนหนึ่งกับบ้านเรือน อีกเดี๋ยวสร้างให้เจ้าก็ได้ เชื่อว่าเจ้าคงไม่อยากให้ผู้คุมจัตุรัส พี่สาวของเจ้าสู้กับตระกูลซั่งหยางของข้าเหมือนกัน”
สตรีกางร่มอดพยักหน้าช้าๆ ไม่ได้
“แต่ว่า…”
“ไม่มีแต่” ลู่เซิ่งอ้อมไปด้านหลังนาง แสยะยิ้ม “ขอแค่เจ้าไม่ทำสิ่งที่ส่งผลเสียต่อข้า ข้าก็จะไม่สั่งให้ของในตัวเจ้าทำงาน พวกเราปรองดองกันแบบนี้ ดียิ่งไม่ใช่หรือ”
“เจ้าคิดดู เจ้าทำเพื่อพี่ของเจ้า ถ้าหากนางสังหารข้าเพราะเจ้า ตำแหน่งในตระกูลของยอดฝีมืออย่างข้า เจ้าก็พอคาดเดาได้ เมื่อเป็นแบบนี้ พวกเจ้าจะกลายเป็นศัตรูคู่แค้นของตระกูลซั่งหยาง เจ้าคิดว่าพี่สาวของเจ้าจะต้านขุมกำลังยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นหนึ่งในเก้าตระกูลแห่งจงหยวนด้วยตัวคนเดียวไหวหรือ” ลู่เซิ่งใช้บารมีคนเบื้องหลัง
สตรีกางร่มที่น่าสงสารไม่รู้เลยว่าในสายตาของตระกูลซั่งหยาง ลู่เซิ่งเป็นแค่คนตัวเล็กๆ ที่เป็นผู้นำค่ายพรรคธรรมดา ไหนเลยมีตำแหน่งหรือความสำคัญ
“ดังนั้นถ้าเจ้าจะทำเพื่อพี่สาวของเจ้าจริงๆ เรื่องนี้สมควรช่วยข้าปกปิดไว้ ข้าเอาของคืนเจ้าได้หมด” ลู่เซิ่งพูดเสริม “ขอแค่เจ้าช่วยข้าปกปิด ก็จะดีกับพวกเราทุกฝ่าย ถึงตระกูลซั่งหยางจะแข็งแกร่ง แต่ชีวิตของข้าคนเดียวไม่คุ้มจะแลกกับพวกเจ้า”
“แต่ข้า…ควรพูดอย่างไร…” สตรีกางร่มหวั่นไหว ต้องยอมรับว่าสิ่งที่ลู่เซิ่งพูดมีเหตุผล
ถ้านางกลับไปเผยความจริงตรงๆ ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดคือท่านพี่ผู้คุมจัตุรัสสังหารลู่เซิ่งด้วยความเดือดดาล จากนั้นโดนตระกูลซั่งหยางไล่ฆ่า มีบ้านแต่กลับไม่ได้ อย่างไรยอดฝีมือที่สูงกว่าระดับตรีลักษณ์สักคน ไม่ว่าจะเป็นตระกูลไหน ก็นับได้ว่าเป็นยอดฝีมือทั้งสิ้น ฆ่ายอดฝีมือตระกูลขุนนางที่เดิมก็มีอยู่ไม่มากแบบนี้ไป เท่ากับท้ารบอีกฝ่าย เพื่อสร้างตัวอย่าง ปกปักษ์อำนาจบารมี ตระกูลซั่งหยางจะต้องไม่ละเว้นท่านพี่
ต่อให้เปิดเผยว่าลู่เซิ่งทำลายจัตุรัสแดง ฆ่าผู้ประกอบพิธีจวนอู๋โยว อย่างมากสุดเขาก็ได้รับโทษเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถึงอย่างไรไม่ว่าจัตุรัสแดงหรือจวนอู๋โยว เมื่อเทียบขุมกำลังกับหนึ่งในเก้าตระกูลแห่งจงหยวน ก็ยังห่างกันไกลยิ่ง
สตรีกางร่มครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดก็ค่อยๆ อ้าปาก
“ข้า…ตอบรับท่าน…”
“ทำถูกแล้ว” ลู่เซิ่งยิ้มอย่างพอใจ ถ้าหากว่าสตรีกางร่มผิดสัญญา เขาก็ฆ่านางทิ้งได้ทันทีเช่นกัน
ประสิทธิภาพของข่ายกระเรียนหยินแข็งแกร่งกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้มาก หลังจากปราณขวดสมบัติหยั่งรากลึกแล้ว หลายๆ ครั้งถึงขั้นแสดงการควบคุมอันสมบูรณ์แบบ
ความรู้สึกนี้เหมือนกับกำลังเขียนโปรแกรม
ชาติก่อนเขาเป็นมือดีที่เขียนเครื่องมือปรับเปลี่ยนในเกมได้เอง หลังจากกลับมาได้สองสามวัน เขาก็ศึกษาความสามารถนี้มาโดยตลอด
หลังจากเข้าใจหลักการของข่ายกระเรียนหยินโดยสมบูรณ์ เขาก็เรียนรู้การใช้มันควบคุมวิญญาณให้เคลื่อนไหวตามใจ ถึงขั้นใช้พลังของตัวเองได้ในขั้นเบื้องต้น
การควบคุมนี้เห็นผลบนตัวสตรีกางร่ม นี่เป็นเงื่อนไขของเป้าหมายและแผนการต่อจากนี้ของเขาเช่นกัน
…
บนซากของจัตุรัสแดง
ผุ้คุมจัตุรัสแดงยืนกอดอก หลังพิงกำแพงที่พังบางส่วน มองอิฐกระเบื้องกองใหญ่ที่อยู่รอบๆ ลอยขึ้นมา จากนั้นก็เรียงกันเป็นรั้วแนวใหม่
กลางวันแสกๆ นางสั่งให้วิญญาณเร่ร่อนที่เพิ่งจับมา สร้างหน่วยหลักจัตุรัสแดงแห่งใหม่
ขณะขะมักเขม้นกับการบัญชาการก่อสร้าง ทันใดนั้นนางก็หมุนตัวไปมองเงาร่างสูงชะลูดที่เดินมาแต่ไกลด้วยตาเป็นประกาย
ฟ้ามืดหม่น แต่ครั้นเงาร่างนั้นค่อยๆ เข้ามาใกล้ กลับทำให้บนใบหน้าผู้คุมจัตุรัสแดงปรากฏความอ่อนโยนอย่างไม่อาจควบคุมได้
“อิงอิง เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” นางเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปใช้แขนข้างหนึ่งโอบสตรีกางร่มไว้ ไม่ขยับเขยื้อน
สตรีกางร่มตัวสั่นเทา จิตใจยินดี แต่พอนึกถึงการนัดหมายของลู่เซิ่งก่อนหน้านี้ นางก็บังเกิดความหดหู่ใจโดยไม่รู้สาเหตุ
……………………………………….