บทที่ 164 เคลื่อนไหว (2)
‘การกระตุ้นที่รุนแรง นี่มันปราณหยางไม่ใช่หรือไง’ ลู่เซิ่งตื่นเต้น ‘หมายความว่าปราณหยางของเราในตอนนี้แข็งแกร่งเกินไปจนของอย่างอื่นต้านทานไม่ได้แล้ว’
เขาครุ่นคิด ก่อนกัดนิ้วชี้ แล้วบีบเลือดสีแดงเหนียวๆ หยดหนึ่งออกมา
เลือดหยดลงบนพื้นดังแหมะ
ซู่…
สิ่งที่ทำให้ลู่เซิ่งตะลึงตาค้างคือ เลือดบนพื้นขยายตัวอย่างรวดเร็วและคลุ้มคลั่ง
เดิมทีตอนตกใส่พื้นมีขนาดเท่าเล็บ
ไม่กี่อึดใจให้หลัง ก็ขยายจนใหญ่เท่าฝ่ามือ
เขารออยู่ด้านข้าง ดูเลือดหยดนี้กลืนกินเหล็กผืนใหญ่บนพื้นจนกลายเป็นหลุมขนาดเท่ากำปั้น สุดท้ายคล้ายเป็นเพราะเซลล์บ่งตัวถึงขีดจำกัด จึงค่อยๆ หยุดลง
‘กินได้กระทั่งโลหะหรือ’ ลู่เซิ่งยื่นมือไปหยิบขุยลักษณะเหมือนเนื้อจากบนพื้น ขุยเหล่านี้เหมือนองค์ประกอบที่แยกตัวออกมาหลังจากเลือดหยดนั้นกลืนกินโลหะ
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นผลลัพธ์อันสุดยอดซึ่งปรากฏขึ้นเมื่อร่างกายแข็งแกร่งถึงจุดสูงสุด
ลู่เซิ่งยกนิ้วขึ้นดูปากแผลที่กัดไปเมื่อครู่ ปากแผลสมานแล้ว ของแหลมสีเทาอมเขียวปกคลุมผิวอีกครั้ง
จ๊อก…
อยู่ๆ รู้สึกก็รู้สึกถึงความหิวโหยจากท้อง
ร่างกายเขาหดลงอย่างรวดเร็ว กลับเป็นมนุษย์ในสภาพหยินโชติช่วง จากนั้นก็เทก้อนข้าวย่อส่วนสำหรับบรรเทาความหิวออกมากำหนึ่ง
ก้อนข้าวที่ใช้วัตถุดิบหลายชนิดเช่นงา ถั่วลิสง น้ำตาล เส้นข้าวทำขึ้นมานี้ รับประทานก้อนหนึ่งถือได้ว่ารับประทานไปหนึ่งมื้อ หนึ่งก้อนมีขนาดเท่าผลเหอเถา (วอลนัต) ค่อนข้างสะดวก
เขาเก็บกวาดสภาพเละเทะในห้องสงบใจ เปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนเดินออกประตูหิน
“ข้าปิดด่านนานแค่ไหน” ลู่เซิ่งสูดหายใจลึก แสงอาทิตย์ด้านหน้ากระจ่างตา เป็นยามกลางอู่แล้ว
“เรียนประมุขพรรค ผ่านไปสองชั่วยามแล้ว” องครักษ์ใกล้ชิดตอบเบาๆ
“ซ่งเจิ้นกั๋วมาถึงแล้วหรือ”
“มารออยู่นานแล้ว”
ลู่เซิ่งพยักหน้า เรียกคนมานำทาง ไปอาบน้ำแต่งตัว แล้วไปพบซ่งเจิ้นกั๋วที่สวนดอกไม้
ดอกเหมยเบ่งบานในสวนดอกไม้ กลีบดอกสีขาวเกลื่อนกลาดบนต้นไม้และผืนดิน ส่งกลิ่นหอมปะทะจมูก
ซ่งเจิ้นกั๋วสวมชุดรัดรูปสีเทา นั่งกระวนกระวายอยู่หน้าโต๊ะหินตัวหนึ่งอยู่ด้านใน
อยู่ๆ เขาก็ถูกพามาถึงสถานที่อันงดงามตระการตาแบบนี้ คุณชายที่เห็นโลกมามากย่อมทราบว่าที่แบบนี้ไม่ใช่ที่ที่ขุมกำลังธรรมดาจะมีได้
แม้ผู้มาจะแสดงเทียบเชิญของอาจารย์ลู่ แต่ก่อนจะเจออาจารย์ลู่ ใจเขาก็เต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ
“เจิ้นกั๋ว” ลู่เซิ่งย่างเท้าเข้าสวนดอกไม้
“อาจารย์ลู่!” ซ่งเจิ้นกั๋วลุกขึ้น ในที่สุดใบหน้าก็ผ่อนคลาย “ข้ากังวลมาตลอดว่าใครพาข้ามาสถานที่แบบนี้ ที่แท้เป็นอาจารย์ลู่นี่เอง!” เขาเดาออกแต่แรกแล้วว่าลู่เซิ่งไม่ธรรมดา กลับนึกไม่ถึงว่าจะร้ายกาจถึงระดับนี้ ดูจากท่าทีของคนที่พาเขามาเหล่านั้น เขามองออกว่าลู่เซิ่งมีบารมีสูงมากในจิตใจของคนเหล่านี้
“ร่างกายเป็นอย่างไรบ้าง” ลู่เซิ่งนั่งลง มองซั่งเจิ้นกั๋วที่กระวีกระวาดเติมสุราให้เขา
“กล่าวไปก็น่าประหลาด นับตั้งแต่อาจารย์ลู่ชี้แนะข้าครั้งล่าสุด ศิษย์พอกลับไปรู้สึกพลังยุทธ์รุดหน้าพันลี้ในวันเดียว ตอนนี้ปรับขั้นตอนเบื้องต้นของเคล็ดสนหนึ่งสำนึกให้มั่นคงได้แล้ว” ซ่งเจิ้นกั๋วมีใบหน้ายินดี
“ยื่นมือมา” ลู่เซิ่งจับชีพจรของเขา ถ่ายเทปราณภายในเข้าไปเพื่อตรวจสอบสภาพร่างกายของอีกฝ่าย
ไม่ผิดจากที่คาดไว้ ปราณภายในด้านในร่างซ่งเจิ้นกั๋ว เปลือกนอกเป็นเคล็ดสนหนึ่งสำนึก ความจริงเป็นปราณขวดสมบัติที่เขาใส่ไว้ในตอนนั้น
แต่ว่าปราณภายในนั้นคล้ายแข็งแกร่งขึ้นส่วนหนึ่ง ไม่สังเกตอย่างละเอียดก็ดูไม่ออก แต่ขอแค่เขาคิด ก็ดึงปราณภายในสายนี้ออกมาได้ตลอด ทำให้ซ่งเจิ้นกั๋วสูญเสียความสำเร็จทั้งหมดก่อนหน้า แม้แต่รากฐานปราณภายในในร่างก็พลังทลายโดยสิ้นเชิง
‘เป็นความสามารถชั่วร้ายจริงๆ…’ ลู่เซิ่งสะท้อนใจ แต่ไม่แสดงออกทางสีหน้า
“พัฒนาการใช้ได้ ต่อจากนี้ท่านฝึกวิชาที่ประสานกันได้แล้ว ข้ามีวิชาหมัดชุดหนึ่ง ไม่มีผลโจมตี ทำได้แค่หล่อเลี้ยงร่างปรับเลือดลม ชื่อหัตถ์เชื่อมชีพจร ท่านลองเรียนดู”
ลู่เซิ่งไม่คิดจะช่วยหาทางลัดให้ซ่งเจิ้นกั๋ว เดินอย่างมั่นคงไปตามลำดับขั้นตอนก็ดีแล้ว ส่วนการแก้แค้น คู่แค้นของซ่งเจิ้นกั๋วคือจัตุรัสแดง ด้วยวรยุทธ์ของเขาต่อให้ฝึกฝนชั่วชีวิต ก็ไม่ใช่คู่มือของภูตผีที่อ่อนแอที่สุดของจัตุรัสแดงอยู่ดี นี่ความจริงไม่มีความหมาย
ลู่เซิ่งคิดให้เขาตั้งใจฝึกฝนอย่างเป็นลำดับขั้นตอน ไม่เร็วไม่ช้า เอาแค่หนีได้ตอนเผชิญภูตผีธรรมดาก็ใช้ได้แล้ว
สอนวิชาหมัดจบ ลู่เซิ่งยืนยันผลของปราณขวดสมบัติได้ว่า สามารถยกระดับและควบคุมพลังฝึกปรือของคนอื่นๆ ได้จริงๆ เมื่อเป็นแบบนี้ เงื่อนไขบ่มเพาะทหารเดนตายที่ใช้ได้ก็เป็นรูปเป็นร่างแล้ว
ลู่เซิ่งให้คนส่งซ่งเจิ้นกั๋วกลับเข้าเมือง แล้วเริ่มวางแผนชุบเลี้ยงคนที่ใช้การได้ส่วนหนึ่ง
ด้วยระดับชั้นของเขาในตอนนี้ หากเจอปัญหาจริงๆ คนที่จะช่วยเขาได้อีกแรงในพรรควาฬแดงที่ใหญ่โต ไม่มีสักคนเดียว
‘เราจำเป็นต้องมีขุมกำลังลับซึ่งแข็งแกร่งมากพอ มาคอยปกป้องญาติมิตร และจัดการเรื่องราวระดับพันธนาการส่วนหนึ่ง การไปพันธมิตรบู๊ในครั้งนี้ อาจเจอโอกาส ยอดฝีมือระดับเอกะฟ้าเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว’
พันธมิตรบู๊รวบรวมยอดฝีมือระดับเอกะฟ้าไว้ไม่น้อย คอยร่วมมือกับพวกเขาต่อสู้กับตระกูลขุนนาง แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือแม้จะเจอจวนอู๋โยว ก็ได้แต่หลบซ่อนไปทั่ว ใช้การไม่ค่อยได้
ลู่เซิ่งครั้งนี้ด้านหนึ่งเตรียมจัดการเรื่องราวพยานในเหตุการณ์ อีกด้านหนึ่งคือรวบรวมคัมภีร์ลับให้มากพอ สุดท้ายดึงตัวยอดฝีมือมาเป็นพวก ทดลองชุบเลี้ยงผู้เข้มแข็งมรรคายุทธ์ที่คุกคามระดับพันธนาการได้
เขาค้นพบผ่านซ่งเจิ้นกั๋วว่า ขอแค่ถ่ายปราณขวดสมบัติเข้าไป ก็จะเพิ่มพลังฝึกปรือให้แก่ยอดฝีมือเหล่านี้ได้ แต่ว่าระดับกับสัดส่วนที่เพิ่มยังไม่ชัดเจนนัก
“ไปเรียกสวีชุยมา”
ลู่เซิ่งใคร่ครวญสักพัก แล้วออกคำสั่ง
“ขอรับ!”
ไม่ทันไรสวีชุยก็มาถึงสวนดอกไม้ คุกเข่าข้างหนึ่งให้ลู่เซิ่ง
“คำนับประมุขพรรค”
“เจ้าตามข้ามา” ลู่เซิ่งนำเขาออกจากสวนดอกไม้ วิ่งไปถึงลานฝึกวรยุทธ์อีกแห่ง
ขณะเดียวกันเขาก็สั่งห้ามไม่ให้ทุกคนเข้าไปรบกวน
“อาชุย เจ้าติดอยู่ในระดับสำนึกปลอดโปร่งมานานเท่าใดแล้ว” ลู่เซิ่งยืนอยู่ด้านหน้า หน้าต่างไม้ หันหลังให้เขา มองไปยังที่ไกล
ห่างออกไป จากสายน้ำกว้างขวาง กลายเป็นสันดอนสีเขียวเข้มหลายแห่ง นักตกปลาหลายคนนั่งบนสันดอน เรือใบจอดอยู่ข้างๆ
นกสีขาวส่งเสียงร้องพร้อมโฉบผ่านสันดอน ลมพัดผิวน้ำจนเกิดระลอกคลื่นเหมือนเกล็ดหลายชั้น
บนน่านน้ำของเรือวาฬแดงที่อยู่ใกล้ๆ ยังมีพลพรรคส่วนหนึ่งใส่แค่กางเกงขาสั้น ลอยๆ จมๆ ในแม่น้ำที่เย็นเยียบ กำลังว่ายน้ำออกกำลังกาย
“สามปีแล้ว…” สวีชุยตอบอย่างเคารพ
สำหรับพรรควาฬแดงในปัจจุบัน การดำรงอยู่ของลู่เซิ่งเปรียบได้กับตระกูลเจินในตอนนั้น สะกดภูตีผีทั่วทั้งแดนเหนือไม่ให้เหิมเกริม ความปลอดภัยของคนมากกว่าหมื่นคนในพรรคฝากไว้บนร่างของคนหนุ่มสูงใหญ่ตรงหน้าผู้นี้
ดังนั้นเขาจึงเคารพนับถือลู่เซิ่งมากกว่าเดิม
“ปีนี้เจ้าอายุสามสิบหก ชั่วชีวิตของคนคนหนึ่งจะมีเวลาให้เสียอีกเท่าไหร่” ลู่เซิ่งกล่าวราบเรียบ ละสายตากลับมามองดูสวีชุย
“สวีชุยเองก็ทราบ…เพียงแต่ก้าวนี้สุดท้ายแล้ว สุดท้ายแล้ว…” สวีชุยมีสีหน้าหดหู่
“ถ้ามีโอกาสทำให้เจ้าเข้าสู่ระดับสำนึกปลอดโปร่ง ได้พลังในระดับที่เทียบเท่ากัน แต่ภายหลังต้องพึ่งพาข้า เจ้าจะเลือกอย่างไร” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
สวีชุยงุนงง เงียบงันลง
สีหน้าเขามีแววดิ้นรนเล็กน้อย มือกำด้ามดาบข้างเอวแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนข้อกระดูกเป็นสีขาว
เนิ่นนานให้หลัง…
เขาสูดหายใจช้าๆ
“อาชุย…ยินดี!”
ลู่เซิ่งหันกลับมาประจัญหน้ากับเขา
“ข้าจะทำให้เจ้าเลื่อนระดับพลังได้ผ่านวิธีการส่วนหนึ่ง ทว่า…การเลื่อนระดับนี้จะทำให้เจ้าไม่อาจใช้วรยุทธ์กับข้าได้ตลอดกาล นี่ไม่ใช่ยาพิษ และไม่จำเป็นต้องกำหนดเวลาแก้พิษ แต่นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พลังฝึกปรือของเจ้าจะขึ้นอยู่กับตัวข้าชั่วนิรันดร์” ลู่เซิ่งอธิบายอย่างละเอียด
“นี่ถือเป็นเกียรติของข้าน้อย!” สวีชุยกล่าวอย่างแน่วแน่
ลู่เซิ่งงุนงงเล็กน้อย จากนั้นคิดว่าที่นี่ไม่ใช่โลกใบก่อน
คนของที่นี่ไม่ได้คิดสลับซับซ้อน ในยุคที่ความซื่อสัตย์เป็นความดีงาม ตงฉินไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ได้รับความเคารพจากผู้คน
แม้แต่นักรบเดนตายที่แท้จริงยังมีคนยินยอมเป็น ปัญญาชนที่ขุนนางเลี้ยงไว้ยินดีชักดาบพุ่งไปตายเพื่อตอบแทนบุญคุณ
เรื่องนี้ไม่ได้ปรากฏแค่ในนิยายเท่านั้น
ลู่เซิ่งเห็นความแน่วแน่และความศรัทธาในดวงตาของสวีชุย พลันนึกถึงบารมีอันยิ่งใหญ่ในพรรคของตัวเอง ณ เวลานี้
“หวังว่าเจ้าจะไม่เสียใจทีหลัง” เขาลดเสียงกล่าว
สวีชุยก้าวขึ้นมาข้างหน้า คุกเข่าลงข้างหนึ่ง
“ข้าน้อยไม่มีทางเสียใจ!”
ลู่เซิ่งจ้องมองเขา เงียบงันสักพัก
“ปราณภายในที่เจ้าฝึกฝนมาความจริงขาดอีกก้าวก็จะข้ามประตูได้ แต่เป็นเพราะขาดความคมกล้า เจ้าละล้าละหลังอยู่ที่ธรณีประตูนี้นานเกินไป จนค่อยๆ เกิดความท้อแท้ วันนี้ข้าจะช่วยเจ้าอีกแรง!”
สวีชุยเงยหน้าขึ้น งุนงงอยู่บ้าง
ตอนที่เขาเกิดความสงสัย กลับเห็นเงาร่างที่อยู่ตรงหน้าพร่ามัว เงาที่หลงเหลือพุ่งปราดเข้าหาตน
“เอกภพไร้สิ้นสุด หยินหยางกระเรียนหยก!”
ฟิ้ว!
มือที่เหมือนหยกขนาดใหญ่ข้างหนึ่งทาบลงบนหน้าผากเขาอย่างช้าๆ
พริบตานั้น ปราณภายในที่บริสุทธิ์ยิ่งใหญ่สายหนึ่งทะลักเข้าสู่ร่างเขา สวีชุยรู้สึกว่าร่างกายขยายขึ้นเหมือนถูกเป่าลม
ผิวหนัง กล้ามเนื้อ อวัยวะภายในเกิดความเจ็บปวด เขาอยากร้องออกมาอย่างอดไม่ได้ แต่ฉุกคิดได้ว่าประมุขพรรคกำลังถ่ายทอดวิชา พลันกัดฟันข่มความเจ็บปวดไว้
มือขวาของลู่เซิ่งขยายใหญ่เล็กน้อย ลมปราณสีแดงจางๆ หลายสายวนเวียนอยู่ทั่วราง นั่นเป็นตาข่ายโลหิตของวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานที่ลอยขึ้นมาเอง
ปราณสีแดงลอยวนอย่างช้าๆ รอบคนทั้งสอง
เขาพลันยกตัวสวีชุยขึ้น ปล่อยให้ร่างกายอีกฝ่ายพลิกไปมากลางอากาศ
เปรี้ยง!
กระแทกฝ่ามือออกไป
ฝ่ามือขวาของลู่เซิ่งกระแทกใส่ทรวงอกสวีชุย
ปราณหยินหยางขวดสมบัติไหลบ่าเข้าสู่ร่างอีกฝ่ายอย่างคลุ้มคลั่ง สวีชุยกัดฟันอย่างเจ็บปวด กล้ามเนื้อทั่วร่างเริ่มบิดเบี้ยวและกระตุกอย่างแรง ผิวหนังค่อยๆ มีจุดเลือดเล็กๆ ซึมออกมา
พลังฝึกปรือหลายร้อยปีของลู่เซิ่งแม้จะถ่ายเทเข้าไปให้เขาเล็กน้อย ก็ทำให้เขายากจะรับไหว
ต่อให้เป็นลู่เซิ่ง ตอนนั้นก็ยังยกระดับทีละขั้นๆ จากนั้นรอร่างกายชินแล้ว ค่อยยกระดับครั้งต่อไป
การถ่ายปราณภายในปริมาณมากเช่นนี้รวดเดียว ไม่เคยมีมาก่อน
พร้อมกับที่ปราณภายในมหาศาลทะลักเข้าไป กล้ามเนื้อสวีชุยถึงกับปรากฏการบิดเบี้ยวคล้ายกลายพันธุ์
ตุ่มสีแดงเลือดขนาดเท่าเล็บหลายจุดค่อยๆ นูนขึ้นบนทรวงอกของเขา ตุ่มเลือดหนาแน่นปกคลุมพื้นที่ขนาดเท่ากำปั้น
จากนั้นเส้นเลือดสองเส้นก็งอกออกมาตรงตุ่มเลือด ยืดไปยังแขนสองข้างของสวีชุย
พลังสายหนึ่งซึ่งแข็งแกร่งกว่าที่เขาจินตนาการไม่รู้กี่เท่า กำลังไหลเชี่ยวพลิกตัวในร่างของเขา
กลางลานฝึก ทั้งสองคนไม่ขยับเขยื้อน สวีชุยถูกลู่เซิ่งประทับฝ่ามือใส่หน้าอก ลอยนิ่งอยู่กลางอากาศเหมือนกับติดอยู่บนมือของเขา
ควันสีแดงนับไม่ถ้วนหมุนวนรอบคนทั้งสอง
……………………………………….