บทที่ 165 ชิงโอกาส (1)
ผุ้คุมจัตุรัสแดงขุดกระดูกขาวท่อนเล็กๆ ออกจากดินโคลนอย่างระมัดระวัง แล้วหยิบมาพิจารณา
โครงกระดูกโชยกลิ่นเหม็น มีขนสีขาวเล็กๆ งอกเต็มผิวกระดูก ยังเหลือลวดลายเลือดที่เล็กละเอียดอยู่
“นี่คือ…ซากที่ผีดิบขาวระดับฉลักษณ์เหลือไว้” นางขมวดคิ้วกล่าวขณะพลิกกระดูกท่อนนี้ไปมา
“ไม่ได้สลายไป ประหลาดจริงๆ” ผู้คุมจัตุรัสแดงรู้สึกแปลกใจ ในฐานะยอดฝีมือขั้นสูงสุดของระดับฉลักษณ์ ผีดิบขาวยังทิ้งซากเอาไว้หลังตายไปแล้ว
“ต้องบอกว่านี่เป็นเรื่องพิสดาร ผู้เข้มแข็งอย่างพวกเราถ้าเกิดตายไป วิญญาณจะสลายอย่างแท้จริง ต่อให้เขาเป็นผีดิบ ก็ไม่มีทางทิ้งซากศพไว้ ตัวตนที่สังหารเขาจะกลืนกินศพของเขา หรือต้องกลายเป็นฝุ่นผงเท่านั้น”
“แปลกประหลาด…จริงๆ…” สตรีกางร่มแสดงสีหน้างุนงงเช่นกัน
“เจ้าดูแถวๆ นี้ไปก่อน ข้าจะไปหาไกลๆ ตามกลิ่นอายของกระดูกท่อนนี้” ผู้คุมจัตุรัสแดงครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“เจ้าค่ะ” สตรีกางร่มขานรับ
มองผู้คุมจัตุรัสถือกระดูกเดินไปอีกทาง พอไปถึงต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ห่างๆ นางโบกมือขึ้นข้างหนึ่ง วิญญาณเร่ร่อนสีขาวหลายตนพุ่งไปทั่วสี่ทิศ
วิญญาณเร่ร่อนเหล่านี้หาเบาะแสที่อาจจะเจอจากซากไปทั่ว ภายใต้การควบคุมอย่างละเอียดของนาง
วิธีการค้นหาของวิญญาณเร่ร่อนต่างจากคน สิ่งที่พวกมันหาไม่ใช่ร่องรอยที่เหลืออยู่ แต่เป็นกลิ่นอายที่หลงเหลือ
เส้นแสงสาดลอดร่องแยกระหว่างใบไม้ลงมาเฉียงๆ กลายเป็นลำแสงหลายลำ ส่องต้องตัวสตรีกางร่ม และบริเวณรอบๆ
นางเดินในป่าอย่างไร้สติอยู่บ้าง คล้ายกับใจลอย
ฟ้าว
ทันใดนั้นวิญญาณเร่ร่อนตนหนึ่งบินมาถึงด้านหน้าของนาง พึมพำอะไรสักอย่างเบาๆ
สตรีกางร่มเงยหน้าขึ้นตั้งใจฟัง แต่พร้อมกับที่วิญญาณเร่ร่อนพึมพำออกมา สีหน้านางค่อยๆ ปรากฏความประหลาดใจ
ลู่เซิ่งสังหารทูตเขตแดนของจวนอู๋โยวที่นี่ไปนานแล้ว คิดไม่ถึงก่อนหน้านี้ไม่เจอเบาะแส ตอนนี้กลับพบปัญหา
วิญญาณเร่ร่อนตนนี้ค้นพบซากวิญญาณเหมือนกันตนหนึ่ง
ซากวิญญาณนี้แม้ไร้สติปัญญา มีแค่สัญชาตญาณเหมือนสัตว์ป่า แต่ในความทรงจำที่เหลืออยู่ของมันคล้ายมีของบางอย่าง
“พาข้า…ไปดู…” สตรีกางร่มนึกถึงลู่เซิ่ง นึกถึงพี่สาว และตาข่ายในร่างตนเอง
วิญญาณเร่ร่อนตนนั้นพานางมาถึงหุบเขาแห่งหนึ่ง ซากศพโครงหนึ่งนอนแผ่อยู่ในหุบเขา มีบุรุษร่างกึ่งโปร่งแสงคนหนึ่งยืนอยู่ข้างโครงกระดูก คอของเขาบิดอย่างประหลาด แสดงว่าคอหักตายเพราะถูกชนอย่างแรง
วิญญาณเร่ร่อนบินวนรอบตัวเขา ไม่ให้เขาไป
สตรีกางร่มเดินเข้าไปทีละก้าว ยื่นมือไปกดบนตัววิญญาณเร่ร่อน
ภาพมากมายโผล่ขึ้นในดวงตาของนางด้วยความเร็วสูง
โฮก!
ทันใดนั้นใบหน้าดุร้ายที่คุ้นเคยแวบขึ้นมาตรงหน้านาง
อา!
นางตกใจถอยกรูด หอบหายใจอย่างแรง สีหน้าขาวซีด นางไม่จำเป็นต้องหายใจด้วยซ้ำ แต่ว่าตอนที่ใบหน้าอันน่ากลัวดุดันนั้นโผล่มา นางก็อดเคลื่อนไหวแบบนี้โดยสัญชาตญาณไม่ได้
ลู่เซิ่ง
เขานี่เอง!
สตรีกางร่มร่ำร้องในใจ สิ่งที่นางได้เห็น จากบนตัววิญญาณเร่ร่อนในพริบตาเมื่อครู่ เป็นใบหน้าของลู่เซิ่ง
วิญญาณเร่ร่อนตนนี้เห็นลู่เซิ่งสังหารทูตเขตแดนของจวนอู๋โยวด้วยตาตัวเอง
สตรีกางร่มยืนอยู่กับที่ เงียบขรึมสักพัก
“พวกเจ้าจงไป…ที่อื่นก่อน…หาต่อไป ที่นี่…ข้าจะไต่สวน… คนเดียว” นางสั่ง
วิญญาณเร่ร่อนไม่มีสติ รู้จักแค่กระทำตามคำสั่ง จึงแยกย้ายไปทางใครทางมัน เหลือแค่สตรีกางร่มคนเดียว
นางจ้องมองวิญญาณเร่ร่อนที่เป็นบุรุษตนนั้น ทันใดนั้นก็คว้ามือไปบีบหน้าอกของวิญญาณเร่ร่อนตนนั้นทันที
ตูม!
วิญญาณเร่ร่อนระเบิดกระจายในพริบตา ยังไม่ทันร้องโหยหวน ก็ถูกนางขยี้แหลก
สตรีกางร่มชักมือกลับมาเงียบๆ มองจุดแสงของวิญญาณเร่ร่อนที่กระจายตัวไป อีกมือหนึ่งกดร่มแดงลงปกปิดใบหน้า
‘จะให้เขาถูกท่านพี่พบไม่ได้…คนผู้นั้น…คนผู้นั้น…’ นางตัวสั่นระริก ‘อยู่อย่างสงบสุขเช่นนี้ต่อไป ดีมากมิใช่หรือ… ไม่มีปัญหาอะไร เหมือนกับเมื่อก่อน’
นางกดหน้าอกเบาๆ หลับตา ก่อนจะลืมตาขึ้นใหม่ จากนั้นค่อยหมุนตัวเดินกลับเส้นทางขามา
…
แกร่ก
รองเท้าหนังเหยียบลงบนกิ่งไม้แห้ง ส่งเสียงหักดังขึ้น
สวีชุยสวมชุดรัดรูปสีเขียวเข้ม ด้านหลังคือลู่เซิ่ง ทั้งสองคนกำลังฝ่าป่าไม้แห้งอันหนาทึบ
“ทะลุตรงนี้ไป ก็จะเป็นฐานที่มั่นของพันธมิตรบู๊แล้ว” ลู่เซิ่งยืนอยู่ด้านหน้าต้นไม้ใหญ่ขนาดหนึ่งคนโอบ เงยหน้ามองกิ่งใบที่บดบังท้องฟ้า
ลิงตาแดงฝูงหนึ่งห้อยอยู่ระหว่างคาคบ จ้องมองพวกเขาด้วยดวงตาคลุ้มคลั่ง
“ประมุขพรรค จำเป็นต้องติดต่อตรงๆ หรือไม่” สวีชุยบังอยู่ด้านหน้าเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“แน่นอน พวกเรามาในครั้งนี้ ไม่ได้มีเป้าหมายเดียว” ลู่เซิ่งยิ้ม เลียริมฝีปาก
เช้ง…
สวีชุยค่อยๆ ชักดาบออกมา คมดาบที่ส่องประกายยิ่งมายิ่งยืดออก ยิ่งมายิ่งเย็นเยียบกลางผืนป่า
พริบตานั้น ลิงตาแดงฝูงใหญ่บนศีรษะทั้งสองก็โผลงมา
พวกมันมีเล็บแหลม ไม่ใช่ลิงป่าทั่วไป แต่ละตัวเคลื่อนไหวปราดเปรียว เหมือนกับยอดฝีมือในยุทธภพ
ลิงหลายสิบตัวพุ่งลงมาหาทั้งสองอย่างมืดฟ้ามัวดิน
ฟุ่บ!
พริบตานั้น ในมือสวีชุยคล้ายเกิดเงากระบี่นับไม่ถ้วน เหมือนกับการระเบิดของกลุ่มแสงสีเงิน ส่องสว่างเพียงชั่วอึดใจ
แค่เสี้ยววินาที ลิงตาแดงที่พุ่งเข้ามาก็ตกลงมาเหมือนกับหยดฝน กระแทกใส่พื้น หยุดนิ่งไม่ไหวติง
เลือดซึมออกจากร่างของลิง ชโลมพื้นดิน
สวีชุยเก็บกระบี่ช้าๆ สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
นับตั้งแต่ประมุขพรรคถ่ายทอดวิชาให้ ความเร็วกระบี่ของเขาในตอนนี้ก็ยกระดับถึงขั้นที่ตนเองไม่อาจจินตนาการออกอีกแล้ว
สามารถมีพลังแบบนี้ได้ ต่อให้ร่างกายเกิดสภาพผิดปกติ เขาก็ไม่ถือสา
“ไปเถอะ” ลู่เซิ่งไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อย ระหว่างทางสวีชุยฆ่าสัตว์ป่าที่ดุร้ายแบบนี้ไปมากมาย
ตอนที่เขาถ่ายทอดปราณหยินหยางขวดสมบัติให้ ก็พบว่าร่างกายของสวีชุยรองรับคุณสมบัติของปราณหยินหยางขวดสมบัติไม่ไหว เลือดเนื้อในตัวเขาเริ่มถูกปราณขวดสมบัติที่เย็นมากเกินไปแช่แข็ง
เพราะความจำเป็น เขาจึงต้องทดลองถ่ายทอดวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานเข้าไปในปราณขวดสมบัติ เพื่อปรับสมดุลพลังยุทธ์ที่ส่งเข้าไป
คิดไม่ถึงว่าจะสำเร็จ
ปราณภายในวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานถูกปราณขวดสมบัติห่อหุ้มไว้ขณะไหลเข้าไปในตัวสวีชุย จากนั้นก็วางข่ายกระเรียนหยินอันใหม่อย่างรวดเร็ว
เมื่อมีข่ายกระเรียนหยิน ปราณภายในของสวีชุยก็เคลื่อนที่เข้าไปด้านในได้โดยตรง แล้วพลังระเบิดกับความเร็วฟื้นฟูปราณภายในก็พุ่งทะยาน
ส่วนที่น่ากลัวที่สุดในผลของข่ายกระเรียนหยินคือไม่มีคอขวด ฝึกฝนจนมีปราณภายในเท่าไหร่ ก็มีปราณภายในเท่านั้น
ดังนั้นพลังในปัจจุบันของสวีชุยจึงรุดหน้าพันลี้ในวันเดียว ยิ่งมายิ่งแข็งแกร่ง ลู่เซิ่งเพียงสร้างเวทีใหม่แก่เขา หรือควรบอกว่าสร้างคุณสมบัติใหม่
ข่ายกระเรียนหยินสร้างเครือข่ายเส้นลมปราณอันใหม่ให้ แน่นอนว่าคุณสมบัตินี้พึ่งพาเครือข่ายแม่ในตัวเขา
ตัวแม่กับตัวลูกของข่ายกระเรียนหยินมีการเชื่อมต่อและการตอบสนองที่ชัดเจนถึงขีดสุด ลู่เซิ่งรู้สึกได้รางๆ ว่า ถ้าเครือข่ายแม่ของข่ายกระเรียนหยินในตัวเขาพังทลาย เครือข่ายตัวลูกทั้งหมดก็จะเกิดปัญหาเช่นกัน
เขาได้สติกลับมา มองสวีชุยที่เดินอยู่ด้านหน้า
การถ่ายทอดวิชาเช่นนี้ใช้ปราณภายในของเขาเพียงห้าสิบวัน แต่สวีชุยที่สำเร็จมีอานุภาพเหนือกว่าระดับสำนึกปลอดโปร่ง ถึงขั้นไม่ต่างจากระดับผนึกจิตแล้ว
นี่มอบการพิสูจน์ที่ไม่เลวให้แก่เขา ภายหลังเขาสามารถสร้างยอดฝีมือระดับเอกะฟ้าเช่นนี้ได้ แน่นอนว่าถึงจะหาปราณภายในได้เรื่อยๆ แต่ก็ใช้ตามใจไม่ได้ ต้องคัดเลือกหน่ออ่อนที่ดี
ส่วนปราณภายในที่ใช้ไป เอาปราณภายในของยอดฝีมือคนอื่นๆ มาชดเชยก็พอ
สองคนเดินทางอีกครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็ออกจากป่าไม้แห้ง ตรงหน้าเปิดโล่ง เป็นชะง่อนผาแห่งหนึ่ง
ลู่เซิ่งเดินถึงปลายชะง่อนผา ก้มมองด้านหน้า
ด้านล่างเป็นบึงน้ำสีเขียวมรกตเหมือนกับแดนสวรรค์ น้ำตกสีขาวสี่สายตกลงด้านล่าง หอสีเงินที่งามวิจิตรตั้งอยู่ตรงกลาง
“เป็นที่ซ่อนที่งดงามจริงๆ!” ลู่เซิ่งอดถอนใจชมเชยไม่ได้
“ถ้าใต้เท้าชอบ วันหน้าพวกเราค่อยสร้างหน่วยย่อยแบบนี้” สวีชุยพูดอย่างนอบน้อม
“ชอบนั้นชอบ แต่จะเข้าไปอยู่จริงๆ เกรงว่าเสื้อผ้าคงไม่มีวันแห้ง” ลู่เซิ่งส่ายหน้า
ในตอนนั้นเอง
เขาเห็นเงาคนมากมายใต้ชะง่อนผาที่อยู่ห่างออกไป กำลังรุดมาทางเขาอย่างรวดเร็ว เงาคนเหล่านี้สวมชุดสีเขียวอ่อนแบบเดียวกันหมด แสดงว่าเป็นคนในองค์กรหนึ่ง
“ผู้มาเป็นใคร!?” เสียงราบเรียบกระจ่างชัดเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหูพวกลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งยิ้มๆ พาสวีชุยถอยไปด้านหลัง ไม่ทันไรก็ไปปรากฏตัวขึ้นอีกแห่งหนึ่งใต้ชะง่อนผานั้น
เฉียดผ่านกับผู้คนที่รุดมา เข้าพันธมิตรบู๊อย่างผ่อนคลาย
…
จางอู่หยาถือคัมภีร์เล่มหนึ่ง อ่านอย่างตั้งใจ แต่ไม่อาจสงบใจได้ ไม่ทราบเพราะอะไร หลังจากคดีหลี่ซุ่นซี ด้านในพันธมิตรบู๊ก็มีกลิ่นไม่ดีโชยมา
“เฮ้อ…”
เขาวางคัมภีร์ลง
“ท่านผู้นำปิดด่าน ในพันธมิตรสับสนอลหม่าน…” เขานึกถึงคำพูดที่หลิ่วฉินของตระกูลหลิ่วพูดขึ้นตอนช่วยหลี่ซุ่นซีออกไป
คำพูดนั้นเกี่ยวกับท่านผู้นำ
“ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไร” หญิงชราผมยาวสีขาวคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง “ข้าสำรวจพันธมิตรมารอบหนึ่ง พวกคนจากตระกูลขุนนางต่างก็หวาดหวั่น ไม่ทราบว่ารู้อะไรมา”
จางอู่หยาส่ายหน้า “จะอย่างไรได้ หลังจากน้องซุ่นซีถูกปรักปรำ ท่านผู้นำก็ปิดด่านมาตลอด จงอวิ๋นซิ่วตั้งกลุ่มขึ้นมาคุมเชิงกับก่วนเนี่ยน วันๆ เอาแต่กระทบกระทั่งกัน บรรยากาศแบบนี้ย่อมน่าหวาดหวั่น”
“วันที่พวกท่านไปแลกเปลี่ยนธัญญาหาร เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมหลังจากกลับมาทุกคนไม่พูดอะไรสักอย่างเดียว” หญิงชราชื่อจางหมิงกู แม้จะอายุเลยแปดสิบปีแล้ว แต่หน้าเด็กผมขาว นอกจากหลังค่อมไปบ้าง ก็ไม่มีโรคของคนชราแต่อย่างไร
“พูดไม่ได้ สัญญากับคนอื่นไว้แล้ว เรื่องนี้ท่านอย่าได้ถามอีก ตั้งใจพิจารณาอนาคตของคนแก่อย่างพวกเราดีกว่ากระมัง” จางอู่หยาโบกมือ “ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เกรงว่าพันธมิตรบู๊จะแตกฉานซ่านเซ็น คนของตระกูลขุนนางเหล่านั้นหากไม่มีท่านผู้นำ ก็ไม่มีวิธีสยบ”
“กลุ่มจิตเขียวของก่วนเนี่ยนเล่า”
“หลังจากเจอคนทรยศ ก็ยุบไปแล้ว” จางอู่หยาส่ายหน้า
“ยุบหรือ จะเป็นไปได้อย่างไร!” ด้านนอกประตูแว่วเสียงที่สาม
……………………………………….