บทที่ 166 ชิงโอกาส (2)
“ก่วนเนี่ยน!?” ผู้ชราสองทั้งคนรีบลุกขึ้นไปเปิดประตู
เห็นก่วนเนี่ยนยืนอยู่ด้านนอกกับคนในกลุ่มจิตเขียวสี่คน มีมือกระบี่วัยกลางคนตัวยืดตรง บุคลิกคมกล้าคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังพวกเขา
“ท่านคือ…?” จางอู่หยาอยู่ในพันธมิตรบู๊มาสิบกว่าปี จำสมาชิกทั้งหมดที่เข้าร่วมได้สบาย แต่ว่าคนตรงหน้าเขาไม่เคยเจอมาก่อน
“ข้าน้อยสวีชุย เป็นมือขวาของใต้เท้าลู่เซิ่งประมุขพรรควาฬแดง” บุรุษผู้นั้นค่อยๆ ค้อมตัวลง กล่าวอย่างไม่ต้อยต่ำไม่สูงส่ง
ถ้าหากไม่ใช้สิ่งนั้น เขาก็ไม่ใช่คู่มือของชายชราผู้นี้ เทียบกับพลังที่พวกเขาได้มาจากการตรากตรำฝึกฝนเองแล้ว เขาที่พึ่งพาการถ่ายทอดวิชาของประมุขพรรค เดิมทีก็ด้อยมากกว่าขั้นหนึ่ง
ดังนั้นเขาจึงเคารพชายชราตรงหน้ายิ่ง
“ลู่เซิ่งประมุขพรรคลู่!?” จางอู่หยาตาเป็นประกาย “เขาให้ท่านมามีเจตนาใด”
“เข้าไปก่อนค่อยคุยกันเถอะ” สวีชุยเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
“ถูกต้องๆ!” จางอู่หยารีบพยักหน้า
หลังก่วนเนี่ยนนำคนเข้าห้อง ก็ทิ้งหนึ่งคนไว้เฝ้าระวังด้านนอก
ทุกคนเข้ามานั่งลง สวีชุยไม่ปกปิดเจตนาการมาของตัวเอง บอกความตั้งใจของลู่เซิ่งตรงๆ
พันธมิตรบู๊ในตอนนี้แตกต่างจากก่อนหน้า ผู้นำปิดด่านไม่ดูแล ในพันธมิตรโกลาหลวุ่นวาย คนไม่น้อยโดนปรักปรำ ทั้งยังฆ่าผิดตัว
คนแก่ๆ เช่นพวกจางอู่หยารอมาโดยตลอด รอผู้นำออกมาจัดการความวุ่นวาย น่าเสียดายจนถึงตอนนี้ ในพันธมิตรที่ตายก็ตาย ที่หนีก็หนี ไม่เห็นเงาผู้นำแม้แต่น้อย
นี่ทำให้พวกเขาหมดอาลัยตายอยากอยู่บ้าง
“จะอยู่ต่อทำอะไร!” ในห้องก่วนเนี่ยนอดสบถด่าเสียงดังไม่ได้ “พวกจงอวิ๋นซิ่วไม่รู้โดนดีอะไรเข้า ต้องกำจัดสายลับทั้งหมดให้จงได้ ขอแค่มีความน่าสงสัยเล็กน้อยก็ไม่ละเว้น! นี่มันยึดถือชีวิตคนเป็นผักปลา สังหารผู้บริสุทธิ์ไม่ใช่หรือ!? พันธมิตรบู๊มารดามัน ข้าอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว!”
“ดังนั้นท่านเลยพาเขามาพบพวกเราหรือ” จางอู่หยาเอ่ยเสียงทุ้ม
ก่วนเนี่ยนพลันชะงัก
“เป็นไร ไม่ได้หรืออย่างไร คนของกลุ่มข้าเกิดปัญหาเพียงแค่คนเดียว แต่พวกจงอวิ๋นซิ่วไม่พูดพร่ำทำเพลง จับคนของข้าไปสองคน! นางคิดทำอะไร จะแบ่งขั้วหรือ!?” เขาเริ่มหน้าแดงแล้ว
“ไปหลบอยู่ด้านนอกชั่วคราว ประมุขพรรคลู่ควรค่าให้การเชื่อถือ เพียงแต่ทางจวนอู๋โยว…” จางอู่หยากล่าวอย่างลังเล
“ตอนนี้จวนอู๋โยวเสียผู้ประกอบพิธีไปสองคนติดๆ กัน เอาตัวเองยังไม่รอด ไหนเลยจะมาสนใจพวกเรา” ก่วนเนี่ยนกล่าวอย่างไม่แยแส
จางอู่หยากับหญิงชราสบตากัน ต่างถอนใจในใจ
เป็นเพราะสูญเสียสาหัส เลยสงสัยพวกเรามากกว่าเดิม สภาพการณ์อาจเลวร้ายกว่านี้…
“แต่ว่าถ้าเป็นประมุขพรรคลู่ จะต้องไม่มีปัญหาแน่ พวกเราไปหลบที่พรรควาฬแดงได้” จางอู่หยาใคร่ครวญ กลับพบว่าวิธีนี้ใช้ได้
ยังไม่พูดถึงว่าลู่เซิ่งเป็นพี่น้องของหลี่ซุ่นซี ที่เขาสังหารทูตเขตแดนสี่คนของจวนอู๋โยว ก็ถือเป็นความแค้นใหญ่หลวง ไม่สามารถอยู่ร่วมกับจวนอู๋โยวได้ ศัตรูของศัตรูก็คือสหาย ทางเขาจะต้องไม่มีปัญหาแน่
“ประมุขพรรคของข้า เดิมทีเที่ยวนี้คิดมาจัดซื้อและแลกเปลี่ยนคัมภีร์ลับวิชาส่วนหนึ่ง กลับนึกไม่ถึงจะเจอเหตุการณ์แบบนี้ ผู้อาวุโสกับหัวหน้าก่วนเป็นคนคุ้นเคยกับพวกเรา ออกจากที่นี่หลบเลี่ยงความวุ่นวายชั่วคราวก็ไม่เลว” สวีชุยเอ่ยเสียงทุ้ม
“พวกเราขอพิจารณาดูก่อน…” จางอู่หยาขมวดคิ้ว คนจะฉลาดเมื่อแก่ตัว เขาไม่คิดว่าที่ลู่เซิ่งส่งคนมาในครั้งนี้ เพื่อรับพวกเขาไปหลบเลี่ยงความวุ่นวาย มากกว่าครึ่งน่าจะเพื่อคัมภีร์ลับที่พวกเขาครอบครอง ยังมีทรัพยากรสมบัติล้ำค่ามากมายของพันธมิตรบู๊ แม้ไม่ใช่ธัญญาหาร แต่เขาไม่เชื่อว่าลู่เซิ่งจะไม่หวั่นไหว
“ยังพิจารณาหาอะไรอีก! รีบไปเถอะ!” ก่วนเนี่ยนหงุดหงิดจริงๆ เขาเข้าใจความวุ่นวายในพันธมิตรบู๊ดีกว่าใคร ผู้คนกำลังใจเสีย โดยเฉพาะความขัดแย้งของยอดฝีมือธรรมดาที่มีระดับเอกะฟ้าเป็นตัวแทนกับตระกูลขุนนางยิ่งมายิ่งล้ำลึก ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เกรงว่าจะเกิดเรื่อง
“พวกเราไปแล้วคนอื่นๆ จะทำอย่างไร” จางอู่หยาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“ความตั้งใจของประมุขพรรคคือ พาไปได้เท่าไหร่ ก็ไปเท่านั้น” สวีชุยกล่าวอย่างจริงจังเช่นกัน “แน่นอนว่าทางตระกูลขุนนางต้องให้หัวหน้าก่วนตั้งใจเลือกสรรว่าใครน่าเชื่อถือ”
พอกล่าวคำพูดนี้ ไม่ว่าก่วนเนี่ยนหรือจางอู่หยา ต่างตกตะลึงเล็กน้อย
นี่จะ…ย้ายพันธมิตรบู๊ไปหมดเลยหรือ!
…
ลู่เซิ่งเดินเข้าห้องลับสำหรับปิดด่านอย่างแผ่วเบา
น้ำตกที่อยู่นอกหน้าต่างฝั่งตรงข้ามตกลงด้านล่าง ละอองน้ำลอยขึ้นมาตลอดเวลา
ในห้องลับมีแค่เบาะกลมสีเทาใบเดียว และโต๊ะเตี้ยเอาไว้วางกระถางธูป บนโต๊ะวางอาหารและน้ำส่วนหนึ่ง
ลู่เซิ่งมองกับข้าวที่อยู่ด้านบน ทั้งหมดบูดเน่าแล้ว ไม่ถูกแตะต้องแม้แต่น้อย แสดงว่าวางไว้ที่นี่มานาน
ห้องลับว่างเปล่าไม่มีคน ผู้นำที่สมควรปิดด่านอยู่นี่หายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่ทราบไปที่ไหน
‘ฉินอู๋เมี่ยน?’ เขากวาดตามองไปทั่วห้องลับ หยีตาลง ในอากาศนอกจากกลิ่นเน่าเสีย ยังได้กลิ่นคาวเลือดจางๆ
แต่ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับเขา เขามาที่นี่เพราะคิดจะพบกับผู้นำพันธมิตรบู๊ เพื่อดูว่าจะร่วมมือหรือหาประโยชน์ได้หรือไม่ กลับนึกไม่ถึงสิ่งที่เห็นจะเป็นภาพนี้
‘ผู้นำพันธมิตรบู๊คนนี้ลึกลับมาก…’ ลู่เซิ่งหาดูในห้องอยู่พักหนึ่ง ไม่ได้ผลลัพธ์อะไร จึงออกจากห้องมาอย่างเงียบงัน
เขาออกมาจากห้อง รวดเร็วอย่างน่าประหลาด เคลื่อนไหวปราดเปรียวในมุมอับที่คนทั่วไปมองไม่เห็น บางครั้งที่หลบไม่พ้นจริงๆ ก็ฟาดฝ่ามือใส่ผู้มาจนสลบไป
เพราะความเร็วและพลังระเบิด ไม่ทันไรเขาก็กลับมาถึงลานเล็กเมื่อก่อนหน้า
จงอวิ๋นซิ่วกับสตรีอีกสองคนกำลังรออยู่ที่นั่น
เห็นลู่เซิ่งมาถึง ทั้งสามคนมีสีหน้ายินดี
“ประมุขพรรคลู่! สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?!” จงอวิ๋นซิ่วรีบถาม
ลู่เซิ่งส่ายหน้าให้นางเล็กน้อย “ท่านผู้นำไม่ได้อยู่ในห้องลับแต่แรก”
“ว่าแล้ว!” จงอวิ๋นซิ่วสีหน้าเย็นชา นางไม่ได้สะเพร่าเหมือนก่วนเนี่ยน หลังจากเรื่องราวของหลี่ซุ่นซี นางก็เกิดความสงสัยว่าท่านผู้นำยังอยู่ที่นี่จริงๆ หรือไม่
สาเหตุที่ชักนำคนทำตัวเป็นปรปักษ์กับก่วนเนี่ยน เป็นเพราะต้องการอำพรางเจตนาที่แท้จริงของตัวเอง
“ในเมื่อประมุขพรรคเชิญ สภาพการณ์ของพันธมิตรในตอนนี้ท่านเองก็เห็นแล้ว ไม่เหมาะจะอยู่ต่อจริงๆ เพียงแต่…การไปยังพรรควาฬแดงจะทำให้ทางจวนอู๋โยวจับตาดูท่านหรือไม่” จงอวิ๋นซิ่วละเอียดอ่อนยิ่งกว่าก่วนเนี่ยน ขมวดคิ้วถาม
“เรื่องนี้ไม่ต้องห่วง ข้าเตรียมธัญญาหารไม่น้อยไว้อีกสถานที่หนึ่ง พวกท่านไปซ่อนตัวที่นั่นก่อน คอยจับตาดูการเปลี่ยนแปลงเงียบๆ ไม่ได้ให้กลับพรรควาฬแดง” ลู่เซิ่งตอบเรียบง่าย
“เช่นนี้ก็ขอรบกวนประมุขพรรคแล้ว” จงอวิ๋นซิ่วไตร่ตรอง ก่อนพยักหน้าอย่างจริงจัง
“ท่านคิดพาคนไปเท่าไหร่” ลู่เซิ่งถามเบาๆ
“ข้ากับพี่น้องอีกสองคน คนอื่นๆ ไม่น่าเชื่อถือ” จงอวิ๋นซิ่วพูดพลางส่ายหน้า “ตอนนี้ด้านในพรรค ข้าพบแล้วว่า นอกจากสายลับของจวนอู๋โยว ยังมีคนของขุมกำลังอีกขุมหนึ่ง พวกเราไม่มีวิธีแยกแยะแล้วว่าใครเชื่อใจได้”
“ช่วงก่อน มีคนค้นพบขี้นกของนกจดหมายแดงที่ใช้ส่งข่าวด้านนอกหุบเขา มีคนติดต่อกับคนนอกหุบเขา” สตรีอีกคนหนึ่งเอ่ยแทรก
ลู่เซิ่งความจริงกะจะไม่ปฏิเสธผู้มาอยู่แล้ว ขอแค่พลังแข็งแกร่ง เขาล้วนชมชอบ ข่ายกระเรียนหยินสามารถจัดการปัญหาได้ในครั้งเดียว
แต่ว่าตอนนี้รีบเร่ง พาคนไปมากไม่ได้ เกิดถูกผู้คุมจัตุรัสตามทันก็ยุ่งยากแล้ว ดังนั้นเขาจำเป็นต้องรีบพาคนที่รู้เรื่องไปซ่อนตัวก่อน
“เช่นนั้นก็ดี ข้าส่งคนไปติดต่อกับพวกก่วนเนี่ยนและจางอู่หยาแล้ว สักพักจะไปพร้อมกัน”
“ทั้งหมดแล้วแต่การจัดการของประมุขพรรค” จงอวิ๋นซิ่วประสานมือกล่าว
“ไม่ต้องเกรงใจ” ลู่เซิ่งยิ้ม “แต่ว่าก่อนหน้าจะไปพวกท่านจำเป็นต้องให้ข้าตรวจสอบด้วยตัวเอง ข้ามีวิธีหนึ่งที่แยกแยะได้คร่าวๆ ว่า ระหว่างพวกท่านมีสายลับและคนทรยศหรือไม่”
“อ้อ!?” พวกจงอวิ๋นซิ่วงุนงง
“เวลาบีบคั้น หนำซ้ำต้องใช้พลังยุทธ์ ดังนั้นได้แต่ระบุคนไม่กี่คน” ลู่เซิ่งเสริมหนึ่งประโยค
“ประมุขพรรคมั่นใจหรือ!?” จงอวิ๋นซิ่วสีหน้าเคร่งขรึมอย่างรวดเร็ว
“มั่นใจแปดส่วน”
“มากพอแล้ว!” จงอวิ๋นซิ่วตัดสินใจทันที “ถ้าทำได้ หวังว่าตอนนี้ท่านจะสามารถระบุตัวพวกเรา”
“ย่อมได้อยู่แล้ว” ลู่เซิ่งยิ้มอย่างเป็นมิตร ปราณหยินหยางขวดสมบัติจุดหนึ่งรวมตัวที่ปลายนิ้วของเขา
“แค่แตะก็ใช้ได้” เขายื่นนิ้วหาหน้าผากจงอวิ๋นซิ่วอย่างช้าๆ
ยอดฝีมือตระกูลขุนนางระดับทวิลักษณ์คนหนึ่ง ทดลองได้พอดีว่าปราณขวดสมบัติจะกลายเป็นข่ายกระเรียนหยินได้หรือไม่
ถ้าได้ ขอแค่จงอวิ๋นซิ่วไม่ทรยศ เขาก็จะไม่สั่งให้ทำงาน ถ้าเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายขึ้นก็เก็บเป็นแผนสำรอง
ชึบ
เมื่อนิ้วแตะหน้าผากของจงอวิ๋นซิ่ว ปราณขวดสมบัติสายหนึ่งมุดเข้าไปในร่างนางอย่างรวดเร็ว
ซู้ด…
เยื่อดำโผล่ขึ้นมา ปราณขวดสมบัติดิ้นรนเล็กน้อย แล้วระเบิดหายไปทันที
จงอวิ๋นซิ่วถอยหลังไปหลายก้าว สีหน้าเปลี่ยนแปลง จับจ้องลู่เซิ่ง
“สิ่งนี้มีอันตรายกับข้า! ประมุขพรรคลู่ท่านคิดทำอะไร!?”
‘อ้าว…ทำลายเยื่อดำไม่ได้…’ ลู่เซิ่งดวงตาปรากฏความผิดหวัง “นี่เป็นแค่วิธีการที่ใช้ทดสอบว่าเป็นสายลับหรือไม่ ท่านคิดหรือว่าลมปราณแค่นี้จะก่อให้เกิดอันตรายกับท่านได้”
จงอวิ๋นซิ่วพลันลังเล แต่ว่าเมื่อครู่นางรู้สึกได้ถึงความรู้สึกคุกคามที่อันตรายร้ายแรงจริงๆ หลังจากเยื่อดำป้องกันโดยสัญชาตญาณ นางก็รีบถอยหลัง
“ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร ประมุขพรรคเก็บวิธีนี้ไว้เถอะ พวกเราออกเดินทางตอนไหน”
“ตอนไหนก็ได้” ลู่เซิ่งแสดงสีหน้าเสียดาย ลดมือลง
ภายใต้การปกปิดของจงอวิ๋นซิ่ว ในคืนวันนั้น พวกนางก็รวมตัวกับพวกก่วนเนี่ยนและจางอู่หยา ทั้งหมดยี่สิบกว่าคน นำเอาคัมภีร์ลับถุงเล็กถุงใหญ่ออกจากพันธมิตรบู๊อย่างเงียบเชียบ เหลือแค่สมาชิกในพันธมิตรที่น่าสงสัยส่วนหนึ่ง
…
กลางดึก
ด้านนอกพันธมิตรบู๊ค่อยๆ ปรากฏเงาร่างสูงใหญ่ขึ้น
ผู้คุมจัตุรัสแดงยืนบนชะง่อนผา เพ่งมองหอสีเงินด้านล่าง สตรีกางร่มกับวิญญาณเร่ร่อนหลายตนยืนอยู่ด้านข้าง
“นี่คือพันธมิตรบู๊ สถานที่สวยงามดี”
“พวกเรา…จะตรวจสอบ…อย่างไร” สตรีกางร่มเอ่ยเบาๆ
“เข้าไปตรงๆ ถ้าไม่พูดก็ฆ่าทิ้ง” ผุ้คุมจัตุรัสแดงไม่รอสตรีกางร่มตอบ ก็กระโจนออกไปด้านหน้า ทะยานสู่หอเบื้องล่างเหมือนกับวิหค
“ใครบังอาจบุกพันธมิตรบู๊!”
เงาสีเขียวหลายสายพุ่งสวนมา แต่ละคนถือง่ามเหล็ก ดาบ และกระบี่ เป็นลูกหลานตระกูลขุนนางที่มีตำแหน่งหน้าที่ในพันธมิตร
แต่พอลูกหลานเหล่านี้เห็นผู้คุมจัตุรัสแดงกลางอากาศ สีหน้าเปลี่ยนแปลงโดยพลัน พากันทิ้งอาวุธ แล้วหมุนตัวคิดหลบหนี แสดงให้เห็นว่าจำนางได้
เปรี้ยง!
พื้นด้านหน้าหอถูกกระแทกเป็นหลุมใหญ่กว้างหลายหมี่
ผู้คุมจัตุรัสแดงค่อยๆ ลุกขึ้นจากในหลุม
……………………………………….